ความสัมพันธ์ในครอบครัว: คำแนะนำจากนักจิตวิทยาเพื่อความอยู่ดีมีสุขในบ้าน จิตวิทยาครอบครัว

แต่ละครอบครัวเป็นกลุ่มทางสังคมและจิตวิทยาเล็กๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและไว้วางใจอย่างลึกซึ้งระหว่างคู่สมรส พ่อแม่และลูก กิจกรรมทางสังคม โครงสร้าง บรรยากาศทางศีลธรรมและจิตใจไม่เพียงแต่ขึ้นกับสภาพทั่วไปและรูปแบบเท่านั้น แต่ยังขึ้นกับสถานการณ์เฉพาะที่ครอบครัวก่อตัว ชีวิตและหน้าที่การงานด้วย ท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ ได้แก่ ระดับการศึกษาและวัฒนธรรมของสมาชิกในครอบครัว สถานการณ์ทางการเงิน ประเพณีและค่านิยมที่พวกเขายึดถือและถูกชี้นำในแผนชีวิตและแรงบันดาลใจ ที่อยู่อาศัย ความผูกพันทางสังคมของครอบครัว คุณธรรม ความเชื่อมั่นของคู่สมรสซึ่งความสามารถของครอบครัวส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการรวมและการติดต่อกัน สถานการณ์ทั้งหมดเหล่านี้ย่อมทิ้งรอยประทับบนธรรมชาติของความสัมพันธ์ในครอบครัว กำหนดลักษณะเฉพาะของความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โครงสร้างและหน้าที่ของครอบครัว ครอบครัวมีขนาดใหญ่และเล็ก ครอบครัวสมัยใหม่ในประเทศส่วนใหญ่อยู่ในหมู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวใหญ่ในทุกวันนี้อยู่รอดได้เฉพาะในรูปแบบของสหพันธ์ขนาดเล็กเท่านั้น ในเวลาเดียวกันครอบครัวที่แต่งงานแล้วขนาดเล็กมักมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับครอบครัวของพ่อแม่ของภรรยาและสามีแม้ว่าครอบครัวเล็กจะรักษาความสัมพันธ์กับครอบครัวของญาติคนอื่น ๆ ของคู่สมรสแต่ละคน

โดยเฉลี่ยแล้ว ครอบครัวหนึ่งมี 3-4 คน และความแตกต่างระหว่างครอบครัวในเมืองและชนบทนั้นไม่มีนัยสำคัญ

หัวใจของทุกครอบครัวคือสามี ภรรยา และลูกๆ ของพวกเขา บ่อยครั้งที่พ่อแม่ของคู่สมรสอาศัยอยู่กับพวกเขา สมาชิกในครอบครัวแต่ละคนซึ่งมีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับสมาชิกคนอื่น ๆ มีบทบาทบางอย่างในนั้นดูแลตอบสนองความต้องการบางอย่างของแต่ละคนและทุกคนในครอบครัวโดยรวมตลอดจนผลประโยชน์ของสังคม คุณสมบัติส่วนบุคคลของคู่สมรสลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากำหนดลักษณะของครอบครัวและลักษณะเฉพาะของการดำเนินการตามหน้าที่โดยธรรมชาติ

การสื่อสารในครอบครัวช่วยให้มั่นใจถึงความสม่ำเสมอและจุดเน้นของความพยายามของคู่สมรสในการบรรลุเป้าหมายบางอย่างที่สำคัญสำหรับครอบครัวตลอดจนเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของบุคคลในความใกล้ชิดทางวิญญาณกับคนที่คุณรัก ในระหว่างการสื่อสารดังกล่าว คู่สมรสแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นความลับและสำคัญสำหรับพวกเขาเท่านั้น เอาใจใส่ เข้าใจซึ่งกันและกันดียิ่งขึ้น เสริมสร้างตนเองทางปัญญาและศีลธรรม การสื่อสารทางจิตวิญญาณระหว่างคู่สมรสมีความเชื่อมโยงกับความสนิทสนมอย่างแยกไม่ออก

ครอบครัวเป็นหน่วยทางสังคมและเศรษฐกิจซึ่งภายในครัวเรือนและงบประมาณของครอบครัวมีการจัดหาหรือการผลิตและการจัดการบริโภคสินค้าและบริการต่างๆความพึงพอใจของความต้องการอาหารเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย ฯลฯ สถานที่ การดำเนินการตามหน้าที่ทางเศรษฐกิจนี้ขึ้นอยู่กับคู่สมรสเป็นหลัก ความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งของอาชีพที่เลือกรับประกันค่าจ้างให้กับคู่สมรสและความมั่งคั่งของครอบครัว

การจัดสันทนาการทางวัฒนธรรมเป็นหนึ่งในหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของครอบครัว คุณลักษณะเฉพาะของการพักผ่อนในครอบครัวคือบรรยากาศของอารมณ์ความรู้สึกอบอุ่นซึ่งทำให้บุคคลสามารถเปิดใจได้อย่างเต็มที่และจริงใจ บุคคลนี้เป็นหนึ่งในผู้ที่รู้จักเขาดี เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น (แม้ว่าเขาต้องการให้เขาดีขึ้น)

หน้าที่การศึกษาของครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่ง เด็กเกิดและเติบโตในครอบครัว หน้าที่เหล่านี้ดำเนินการโดยครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่งและไม่สามารถถูกแทนที่ได้ ครอบครัวไม่เพียงดูแลสมาชิกที่อายุน้อยกว่าเท่านั้น แต่ยังดูแลผู้สูงอายุและผู้สูงอายุด้วย ในครอบครัวคนชราควรอยู่ในสภาพที่สบายที่สุด ผู้ปกครองที่ขัดสนในวัยชราและในกรณีทุพพลภาพมีสิทธิได้รับการสนับสนุนจากเด็ก พ่อแม่คือผู้ปกครองตามธรรมชาติของลูก พวกเขามีหน้าที่ดูแลพัฒนาการทางร่างกายของเด็กตลอดจนปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของพวกเขา

หน้าที่การเป็นตัวแทนของครอบครัวเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นพฤติกรรม "ในนามและผลประโยชน์" ของครอบครัวในการติดต่อกับเพื่อนบ้าน คนรู้จัก โรงเรียน และสถาบันสาธารณะต่างๆ

การแต่งงาน "ทำหน้าที่" ได้ดีกว่า ปฏิสัมพันธ์ของคู่สมรสก็จะยิ่งกว้างขึ้น แต่องค์ประกอบของหน้าที่ในการแต่งงานโดยเฉพาะอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขั้นตอนของการพัฒนาครอบครัวและเงื่อนไขเฉพาะของการดำรงอยู่ ความล้มเหลวของครอบครัวในการทำหน้าที่บางอย่างอาจไม่ส่งผลต่อความเข้มแข็งของการแต่งงานหากคู่สมรสทั้งสองหมดความสนใจในกิจกรรมบางประเภท หากความสนใจหายไปเพียงคนเดียวและความปรารถนาของอีกฝ่ายที่จะร่วมมือในด้านใด ๆ ของกิจกรรมครอบครัวไม่พบการตอบสนองที่จำเป็นจะมีแหล่งที่มาของความไม่พอใจกับพันธมิตรซึ่งเป็นแหล่งที่มาของความขัดแย้ง

นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นที่คู่สมรสหนึ่งหรือทั้งคู่หลังจากจดทะเบียนสมรสแล้วพยายามที่จะรักษาวิถีชีวิตแบบโสด ฟังก์ชันส่วนใหญ่ยังคง "ไม่เปิดใช้งาน" การแต่งงานในกรณีนี้มีอยู่ในนามเท่านั้น

ลักษณะทางสังคมของหน้าที่ของครอบครัว ครอบครัวเป็นหนึ่งในกองกำลังทางสังคมที่มีผลกระทบสำคัญต่อชีวิตทางสังคมในแทบทุกด้านตั้งแต่เศรษฐกิจไปจนถึงวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณ แก่นของวัตถุประสงค์ทางสังคมของครอบครัวคือความสามารถในการสร้างบุคคล พัฒนาความชอบและกิจกรรมทางสังคมของเขา แนะนำให้เขาเข้าสู่สังคมในฐานะพลังการผลิตและในฐานะส่วนหนึ่งของผู้คนในชั้นเรียน โครงการ CPSU นั้นอยู่ในครอบครัวว่า "รากฐานของอุปนิสัยของบุคคล ทัศนคติในการทำงาน ค่านิยมทางศีลธรรม อุดมคติ และวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุด" ได้ก่อตัวขึ้น

แน่นอนว่าแต่ละครอบครัวสามารถมีส่วนร่วมในการตอบสนองความต้องการของสังคมได้เฉพาะเท่าที่สามารถทำได้ แต่ทุกครอบครัวก็สามารถตอบสนองพวกเขาได้อย่างเต็มที่ ในตัวของลูก ผู้ปกครองต้องการมีและมีบุตรหรือธิดาที่เป็นพลเมืองที่คู่ควรในประเทศของตน มีคนงานในอนาคตและผู้พิทักษ์ โดยการทำหน้าที่ในการคลอดบุตรและเลี้ยงดูบุตร ครอบครัวจะรับรองการสืบพันธุ์ในเชิงปริมาณของประชากร โดยการเลี้ยงดูบุตรธิดาอย่างเหมาะสม ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการสืบพันธุ์และการพัฒนาคุณภาพประชากรของประเทศ โดยผ่านกิจกรรมนี้ ซึ่งเอฟ. เองเกลส์อธิบายว่าเป็น “การผลิตตัวมนุษย์เอง” ครอบครัวได้ส่งต่อความก้าวหน้าทางสังคมไปยังคนรุ่นใหม่ และเชื่อมโยงเวลาเข้าด้วยกัน

น่าเสียดายที่เราไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญมหาศาลอย่างแท้จริงที่การดำเนินการตามหน้าที่ของครอบครัวที่คุ้นเคยในแต่ละวันมีต่อสังคม ยิ่งกว่านั้น บางครั้งใครๆ ก็ได้ยินว่าครอบครัวมีอายุยืนกว่าประโยชน์ของมัน ที่มันกำลังสวดอ้อนวอนให้ทำโดยปราศจากมัน เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ การยกเลิกครอบครัวจะหมายถึงการลงนามในหมายตายสำหรับสังคมมนุษย์เช่นกัน การตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการแทนที่ครอบครัวด้วยความรักที่เรียกว่า "อิสระ" ถือเป็นการต่อต้านวิทยาศาสตร์และผิดศีลธรรม ความรักที่แท้จริง (เพียงแค่รักโดยไม่มีคำคุณศัพท์ "ฟรี") เชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องความสุขส่วนตัวอย่างแยกไม่ออกไม่สามารถเป็นอิสระในตัวเองได้และมุ่งเน้นไปที่การแต่งงานและการสร้างครอบครัวอย่างเคร่งครัด การพบกันของคู่รักที่แยกจากกันอย่างรวดเร็วทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจอย่างสุดซึ้งและความปรารถนาที่ไม่อาจต้านทานได้ที่จะรวมกันตลอดไป ดังนั้นการยกเลิกครอบครัวรวมถึงการแทนที่จึงไม่เพียงไม่จำเป็นเท่านั้น แต่ยังเป็นไปไม่ได้อีกด้วย วิธีสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวและช่วยให้พ้นจากข้อบกพร่อง - นั่นเป็นคำถามเดียวที่ยอมรับได้และคู่ควร การแก้ปัญหาเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงความสัมพันธ์ในครอบครัว - ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวในกระบวนการดำเนินการตามหน้าที่ของครอบครัว

คุณค่าของคุณสมบัติส่วนตัวของคู่สมรส เนื้อหาและการจัดความสัมพันธ์ในครอบครัว สถานะของครอบครัวและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดต่อกันหรือการสลายตัวขึ้นอยู่กับคุณสมบัติส่วนบุคคลของคู่สมรสหลักการชีวิตทัศนคติทางอุดมการณ์และศีลธรรมเป็นหลัก ในเรื่องนี้ มีคำถามว่า บุคคลโดยทั่วไป และบุคคลสังคมนิยมโดยเฉพาะคืออะไร? ไม่ใช่ทุกคนที่จะตอบได้ชัดเจนเพียงพอ ในความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ บุคลิกภาพคือชุดของคุณสมบัติสำคัญทางสังคมที่มั่นคงของบุคคล คุณสมบัติเหล่านี้สามารถเป็นได้ทั้งบวกและลบ ประเด็นหลักคือ โลกทัศน์ ความเชื่อ แผนชีวิตและเป้าหมาย ความสามารถในการตัดสินใจและดำเนินการ ลักษณะบุคลิกภาพเหล่านี้เป็นตัวกำหนดทิศทางทั่วไป เช่นเดียวกับความสามารถในการจัดการตนเอง การกระทำ และความสัมพันธ์กับโลกภายนอก เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเกิดขึ้นของครอบครัวสังคมนิยมอย่างแท้จริงคือโลกทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ของมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ของคู่สมรสทั้งสอง นั่นคือ บุคลิกสังคมนิยมของบุคลิกภาพของพวกเขา ในความเป็นธรรมควรกล่าวว่าในหมู่พลเมืองโซเวียตมีผู้ที่ยอมรับหลักการของศีลธรรมที่แปลกใหม่สำหรับเรา ครอบครัวของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาอาจจะดูเหมือนมั่นคง แต่ก็ไม่สามารถทำหน้าที่หลักของพวกเขาได้สำเร็จ เพื่อที่จะเป็นเซลล์ที่เต็มเปี่ยมของสังคมสังคมนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่นี้ เราหมายถึงครอบครัวที่มุ่งสู่วัตถุนิยม "ชีวิตที่สวยงาม" โดยสูญเสียแหล่งรายได้ที่ไม่ใช่แรงงาน เช่น การใช้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการเพื่อผลกำไร การเก็งกำไร การลักเล็กขโมยน้อยและการโจรกรรมขนาดใหญ่ในสถานประกอบการ และฟาร์มส่วนรวม การฉ้อโกง และอื่นๆ ตัวแทนของครอบครัวเหล่านี้มักจะโอ้อวดเกี่ยวกับ "การปฏิบัติ" "ความสามารถในการดำรงชีวิต" ของพวกเขา แต่โลกภายในของพวกเขาเช่นโลกแห่งความสัมพันธ์ในครอบครัวของพวกเขานั้นยากจนและในท้ายที่สุดพวกเขามักจะจ่ายเงินเพื่อ เป็น “ชีวิตที่สวยงาม” กับการสูญเสียรูปลักษณ์ของมนุษย์ และบ่อยครั้งการล่มสลายของครอบครัว โศกนาฏกรรมส่วนตัว และโศกนาฏกรรมของเด็ก ในกรณีที่โลกทัศน์ มุมมองทางอุดมการณ์ของคู่สมรส (หรือบุคคลที่ประสงค์จะแต่งงาน) ไม่เข้ากัน ครอบครัวจะไม่ปรากฏเป็นหน่วยที่มั่นคงของสังคม ความแตกต่างในอุดมการณ์เป็นตัวกำหนดความแตกต่างในความต้องการ เป้าหมาย อุดมคติ ดังนั้นความแตกต่างในการกระทำและพฤติกรรม ซึ่งนำไปสู่ความไม่ลงรอยกันและแม้กระทั่งความเป็นศัตรู การสร้างสายสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างชายและหญิงที่ยึดถือโลกทัศน์ที่แตกต่างกันนั้นเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคนใดคนหนึ่งหรือทั้งคู่ปฏิเสธตำแหน่งเดิม

คุณสมบัติทางศีลธรรมของคู่สมรสมีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น (ความอดทน ความเอาใจใส่ ความเมตตา ไหวพริบ ความเห็นอกเห็นใจ ฯลฯ ทำให้บุคคล "เหมาะสม" มากขึ้นสำหรับการแต่งงาน ตรงกันข้าม โกรธ งอน ฉุนเฉียว เย่อหยิ่ง คนเห็นแก่ตัว เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งมากมายในครอบครัว ซึ่งสามารถทำลายการแต่งงานได้

คู่สมรสควรมีตำแหน่งที่เหมือนกันหรืออย่างน้อยคล้ายคลึงกันเกี่ยวกับบรรทัดฐานและค่านิยมทางศีลธรรม - เช่นความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงความเคารพซึ่งกันและกันความยุติธรรมหน้าที่ความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคม ฯลฯ ความขัดแย้งใด ๆ ใน สิ่งนี้จะบ่อนทำลายรากฐานความสัมพันธ์ของพวกเขาเท่านั้น

คุณสมบัติส่วนบุคคลระดับสูงของสมาชิกในครอบครัวการจัดระเบียบความสัมพันธ์ในครอบครัวโซเวียตยังสันนิษฐานถึงวัฒนธรรมทางการเมืองที่สูงของพวกเขา ยิ่งสูง ความสนใจในเหตุการณ์ทางการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในชีวิตสาธารณะของกลุ่มงาน โรงเรียน อำเภอ ทัศนคติต่ออุดมการณ์ของชนชั้นนายทุนที่เข้ากันไม่ได้มากขึ้น เป็นที่พึงปรารถนาที่การอ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วรรณกรรมทางสังคมและการเมืองจบลงด้วยการอภิปรายถึงสิ่งที่อ่านในวงครอบครัว การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้ใหญ่ควรสามารถประเมินเนื้อหาของรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ในหัวข้อการเมืองได้อย่างถูกต้อง ครอบครัวดังกล่าวสามารถต้านทานความโน้มเอียงของชนชั้นนายทุนได้อย่างเต็มที่ จิตวิทยาผู้บริโภค และการปฐมนิเทศพลเมืองในช่วงวันหยุดของครอบครัว

คุณสมบัติการวางแนวที่สำคัญมากของบุคคลคือความสามารถในการตัดสินใจและดำเนินการ หากไม่มีอยู่ โลกทัศน์ ความเชื่อมั่น เป้าหมายชีวิตจะกลายเป็นสิ่งที่เปิดเผยและสั่นคลอน และบุคลิกภาพจะไม่น่าเชื่อถือ เป็นเด็กวัยแรกเกิด การกระทำของบุคคลดังกล่าวนั้นหุนหันพลันแล่นและคาดเดาไม่ได้และการร่วมมือระยะยาวกับเธอนั้นเป็นไปไม่ได้ คู่สมรสทั้งสองต้องมีความสามารถในการทำ เชื่อมโยงกับความคิดเห็นของอีกฝ่าย และดำเนินการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลเพื่อบรรลุเป้าหมายและแผนงานที่พัฒนาร่วมกัน หากอย่างน้อยหนึ่งในนั้นไม่เป็นไปตามข้อกำหนดนี้ การกระทำที่ขาดความรับผิดชอบของเขาจะไม่เป็นอันตรายและแม้กระทั่งเป็นอันตรายต่อผู้ที่สร้างครอบครัวร่วมกับเขา

สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับบุคคลก็คือการดูดซึมบรรทัดฐานทางกฎหมายและศีลธรรมที่ควบคุมความสัมพันธ์ในครอบครัวบทบาทของสามีและภรรยาพ่อและแม่ ผลที่ตามมาของการดูดซึมของบรรทัดฐานเหล่านี้คือการพัฒนาความรู้สึกของหน้าที่ ด้วยเจตจำนงและความรัก เป็นการชักชวนให้คู่สมรส บิดามารดา และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ

พื้นฐานทางศีลธรรมของวัฒนธรรมการสื่อสารระดับสูงระหว่างคู่สมรสในครอบครัวคือประการแรกความสามารถในการปฏิบัติต่อคู่ครองของตนอย่างเท่าเทียมกัน ถูกต้องกว่านั้น ฝ่ายหนึ่งต้องรู้จักคู่ครองว่า ต่างจากเขา มีความต้องการและความสนใจเป็นของตนเอง และในทางตรงข้าม เท่ากับตนเอง กล่าวคือ สมควรได้รับความเคารพอย่างเดียวกัน การประเมินแบบเดียวกัน คุณ (แน่นอน ถ้าเขาเคารพบุคคลและพลเมืองในตัวเอง)

ทุกคนที่แต่งงานก็อยากมีครอบครัวแบบนี้ นอกนั้นปัญหาทั้งหมดยังคงอยู่ ครอบครัวที่คุณสามารถพักผ่อนอย่างสงบ มีกำลัง เลี้ยงลูก ให้การศึกษาตัวเอง ฯลฯ แต่ครอบครัวดังกล่าวจะต้องสามารถสร้างได้ คำนึงถึงคุณลักษณะทั้งหมดของคู่สมรสและสมาชิกในครอบครัวอื่น ๆ

การพูดเกี่ยวกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งในครอบครัว การปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส เราไม่ควรประมาทความสัมพันธ์ทางร่างกายในชีวิตสมรส สิ่งสำคัญที่นี่คือความใกล้ชิดทางร่างกายทำให้ทั้งสามีและภรรยาพึงพอใจอย่างเต็มที่

เพื่อให้เกิดความสามัคคีในครอบครัว ความสามารถของสมาชิกในการปรับปรุงกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญมาก คู่สมรสไม่ควรกลัวชีวิตประจำวัน บริการผู้บริโภคและเครื่องใช้ในครัวเรือนไม่ได้ยกเลิกงานบ้าน แต่อำนวยความสะดวกเท่านั้น คู่สมรสต้องรับใช้ตนเอง: ทำอาหาร รักษาความสะอาดในบ้าน และทำงานอื่น เพื่อจะมีความเจริญรุ่งเรืองในครอบครัว การจัดการบ้านเรือนให้ประสบความสำเร็จ คู่สมรสจะต้องเต็มใจและสามารถทำงานอย่างมีสติสัมปชัญญะ หากปราศจากความมั่งคั่งและความพึงพอใจในความต้องการที่สมเหตุสมผล ก็เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงครอบครัวที่มีความสุข อย่างไรก็ตาม ความมั่นคงทางวัตถุไม่ใช่ปัจจัยหลัก เป็นเงื่อนไขเดียวสำหรับความสุขในครอบครัว ค่านิยมฝ่ายวิญญาณควรอยู่เบื้องหน้าด้วย

ครอบครัวจะสมบูรณ์และสมบูรณ์หลังจากการปรากฏตัวของเด็ก เมื่อกลายเป็นพ่อและแม่นั่นคือญาติสนิทของเด็กที่เกิดจากพวกเขาพ่อแม่ก็มีความเกี่ยวข้องกัน ในแง่นี้ การมีลูกเป็นวิธีเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัว เด็ก ๆ ทำให้ครอบครัวที่เข้มแข็งแข็งแกร่งยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวที่แตกสลายด้วยการคลอดบุตรเป็นการทดลองที่เสี่ยง

เพื่อให้แน่ใจว่าการแต่งงานจะประสบความสำเร็จ คู่สมรสแต่ละคนจะต้องซึมซับหน้าที่และความรับผิดชอบของตนอย่างลึกซึ้ง - ภรรยาและแม่ สามีและพ่อ คู่สมรสแต่ละคนต้องมีความรู้ที่จำเป็น พัฒนาทัศนคติที่เหมาะสมต่อคู่ครอง ได้รับความสามารถและความตั้งใจ เรียนรู้บรรทัดฐานของบทบาท (ศีลธรรมและกฎหมาย) และสุดท้ายเรียนรู้วิธีเติมเต็มพวกเขาอย่างสร้างสรรค์และสวยงาม ในเวลาเดียวกัน คุณภาพของบุคคลจะทำให้การเปลี่ยนจากความรู้และทัศนคติเป็นกิจกรรม การปฏิบัติหน้าที่อย่างยั่งยืน ภรรยา สามี พ่อแม่ ที่เอาแต่ใจ จะไม่ทำดีต่อกัน ลูกๆ และครอบครัวในภาพรวมมากนัก อย่างดีที่สุดพวกเขาจะคว้าหลายสิ่งหลายอย่างไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จได้

ความรักไม่ใช่แค่คำพูด ประการแรกสิ่งเหล่านี้คือการกระทำที่แสดงความสนใจความอ่อนโยนความเอาใจใส่เอาใจใส่ และการกระทำดังกล่าวแต่ละครั้งทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจ

ส่วนที่สำคัญที่สุดของการใช้สุนทรียศาสตร์และความคิดสร้างสรรค์ในครอบครัวคือ ที่อยู่อาศัยและการตกแต่ง เสื้อผ้า ใบหน้าและรูปร่างของสมาชิกในครอบครัว ภาษาและความคิดของพวกเขา ที่นี่เหมาะสมที่จะจำคำพูดของ A. A. Chekhov ว่าทุกสิ่งในคนควรจะสวยงาม การก้าวไปสู่ระดับของศิลปะต้องมีการเปลี่ยนจากทักษะง่ายๆ ไปสู่ความเชี่ยวชาญ และอาจารย์ก็โดดเด่นด้วยความสามารถในการแสดงที่สวยงาม (สวยงาม) และสร้างสรรค์ แน่นอนว่าในตอนแรกคู่สมรสหนุ่มสาวต้องเผชิญกับภารกิจในการบรรลุระดับทักษะที่เพียงพอซึ่งควรถือเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการก้าวไปข้างหน้าสู่ความมั่งคั่งความสมบูรณ์แบบและความสวยงามของความสัมพันธ์ การปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสอย่างต่อเนื่องเป็นวิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้เสื่อมลง และความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นก็เป็นไปได้เพียงเป็นผลมาจากการปรับปรุงคุณสมบัติส่วนตัวของคู่สมรสเอง ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวซึ่งแสดงออกผ่านธรรมชาติและวิธีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลผ่านอิทธิพลของสมาชิกในครอบครัวที่มีต่อกันระหว่างกิจกรรมร่วมกันและการสื่อสาร พื้นฐานของความสัมพันธ์ในครอบครัวคือรากฐานทางอุดมการณ์ของคู่สมรส เป้าหมายชีวิต บรรทัดฐานและค่านิยมทางศีลธรรม ความรู้สึกที่ผูกมัดคู่สมรสตลอดจนคุณสมบัติทางศีลธรรมของพวกเขา

ในครอบครัวเล็กๆ ฝ่ายหนึ่งสร้างความสัมพันธ์ได้ง่ายกว่า (ความคิดเห็นและความสนใจน้อยลง) และในทางกลับกัน ยากกว่าเนื่องจากบุคลิกภาพของคู่สมรสมีความลึกซึ้งและพัฒนาการไม่เพียงพอ ความสัมพันธ์เหล่านี้จึงแย่ลง , เปลี่ยนสี, จิตใจไม่อิ่มตัว.

มุมมองและความคิดเห็น ความปรารถนาและความสนใจของสามีและภรรยาเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ในการสื่อสารระหว่างกันในกระบวนการเลี้ยงลูก การดูแลบ้าน กิจกรรมยามว่าง ในชีวิตส่วนตัว ในขณะที่จัดหาให้กับครอบครัวในเชิงเศรษฐกิจ และที่นี่พวกเขาเสริมหรือต่อต้านซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่ออยู่ในขั้นตอนของการทำงานบ้านในการแก้ปัญหาใด ๆ มุมมองและความคิดเห็นของคู่สมรสแตกต่างกันคุณต้องคิดอย่างใจเย็นและชั่งน้ำหนักความคิดเห็นทั้งสองและหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมร่วมกัน ในเรื่องของหลักการต้องบรรลุข้อตกลงด้วยความช่วยเหลือของการโน้มน้าวใจ หากปัญหาไม่สำคัญเกินไป ข้อตกลงก็อาจมีลักษณะดังต่อไปนี้: วันนี้เราจะดำเนินการตามแบบของคุณ และพรุ่งนี้ในความคิดของฉัน

ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวที่เต็มเปี่ยมมีส่วนช่วยในการพัฒนาบุคลิกภาพ การพัฒนาคุณธรรม จิตวิญญาณ และร่างกายอย่างครอบคลุม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่วิธีการจัดระเบียบการทำงานและการศึกษาในครอบครัว การอุทิศให้กับการพักผ่อน หัวข้อที่คู่สมรสสื่อสารและเพื่อนของพวกเขาคือใคร สามีและภรรยาปฏิบัติต่อค่านิยมทางวัตถุและจิตวิญญาณอย่างไร พวกเขาเลี้ยงดูหรือกำลังจะไปอย่างไร เลี้ยงลูกของพวกเขา

การจัดระเบียบความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ถูกต้องเกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าครอบครัวคือส่วนรวม ไม่ใช่แค่ "ผลรวม" ซึ่งหมายถึงสามี ภรรยา ลูกๆ แต่เป็นระบบที่แยกจากกันไม่ได้ สำหรับองค์กรดังกล่าว การสร้างความรู้สึกที่สะท้อนแนวคิดของ “เรา” เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยรูปแบบดังกล่าวคู่สมรสหรือบุตรซึ่งเป็นตัวแทนของครอบครัวอย่าพูดว่า "ฉัน" แต่พูดว่า "เรา" (เราพูดว่าเราต้องการ) ทีมครอบครัวแตกต่างจากทีมอื่นในด้านความใกล้ชิดทางอารมณ์ของสมาชิกทุกคน ความรับผิดชอบต่อกัน ความเป็นอิสระที่เกี่ยวข้องกัน ความเป็นอิสระจากอิทธิพลภายนอก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน นี่คือทีมที่คำนึงถึงอายุและลักษณะทางเพศของสมาชิกแต่ละคน ซึ่งจะแสดงการดูแลซึ่งกันและกันอย่างดีที่สุด ซึ่งพวกเขาชื่นชมและเข้าใจซึ่งกันและกัน ในครอบครัวสมัยใหม่ประการแรกบรรยากาศที่ไว้วางใจความสงบความปรารถนาดีความอบอุ่นและความเข้าใจซึ่งกันและกันนั้นมีค่า นี่เป็นเพราะทั้งการเปลี่ยนแปลงในจุดประสงค์ของการแต่งงาน (จากเซลล์เศรษฐกิจกลายเป็นการแต่งงาน - เครือจักรภพ) และชีวิตสมัยใหม่ที่เร่งรีบ แต่ครอบครัวจะไม่ใช่กลุ่มที่แท้จริงหากสมาชิกไม่รวมตัวกันด้วยเป้าหมายที่ก้าวหน้า เช่น การเลี้ยงดูบุตรโดยพลเมืองโซเวียตที่แท้จริง การพัฒนาสมาชิกในครอบครัวในการทำงานด้านจิตวิญญาณ อุดมการณ์และศีลธรรม การเติบโตของคู่สมรสและสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ

คู่สมรสทั้งสองมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดระเบียบและดำรงชีวิตครอบครัว ชีวิตแสดงให้เห็นว่ารูปแบบที่เหมาะสมที่สุดของครอบครัวโซเวียตคือรูปแบบที่แบ่งอำนาจระหว่างคู่สมรสทั้งสองอย่างเป็นธรรม: คนหนึ่งครองชีวิตครอบครัวในด้านหนึ่งและอีกด้านหนึ่ง มีครอบครัวมากมายที่สามีหรือภรรยามีอำนาจเหนือกว่า หากบทบัญญัติดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคู่สมรสก็ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย

หนึ่งในแนวโน้มที่ก้าวหน้าในการพัฒนาครอบครัวสมัยใหม่คือการทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นประชาธิปไตยนั่นคือหลักการของการจัดกิจกรรมครอบครัวที่ช่วยให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันสนใจและเท่าเทียมกัน

การสื่อสารทางจิตวิญญาณในครอบครัว หนึ่งในหน้าที่หลักของครอบครัวโซเวียตสมัยใหม่คือการตอบสนองความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของบุคคล ปัจจุบันข้อกำหนดในการสมรสสำหรับคู่ชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในบรรดาตัวบ่งชี้ของการแต่งงานที่มีความสุข หนึ่งในสถานที่แรกๆ นั้นถูกครอบครองโดยความสามัคคีทางวิญญาณของสามีและภรรยา

รูปแบบของการสื่อสารทางวิญญาณในครอบครัวแตกต่างกัน การสื่อสารดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งสมาชิกทุกคนในครอบครัวมีความผูกพันทางจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องตามทัศนคติและหลักการของชีวิตร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาสำคัญของชีวิต ประสบความรู้สึกรักใคร่ซึ่งกันและกัน ความรับผิดชอบ ความพร้อมในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รับการสนับสนุน การอนุมัติ การยอมรับใน ตระกูล.

พื้นฐานทางศีลธรรมของวัฒนธรรมการสื่อสารทางจิตวิญญาณระหว่างคู่สมรสคือการเคารพและความเท่าเทียมกัน การสื่อสารระหว่างคู่สมรสบนพื้นฐานของความเคารพและความเท่าเทียมกันเท่านั้นที่สามารถนำความพึงพอใจและทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น ในการสื่อสารดังกล่าว พวกเขาเรียนรู้ที่จะเข้าใจซึ่งกันและกัน ให้อภัยในสิ่งเล็กน้อย ปรับให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของแต่ละคน พัฒนาตนเอง ความสามารถในการโต้ตอบกับผู้อื่น

การตัดสินใจของสามีและภรรยาอันเป็นผลมาจากการอภิปรายอย่างสงบและครอบคลุมในประเด็นที่สำคัญที่สุดของชีวิตครอบครัวตามกฎแล้วมีเหตุผล ในทางตรงกันข้าม การสื่อสาร "จากเบื้องบน" มักก่อให้เกิดอันตรายจากการเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ทำให้โลกทางศีลธรรมของครอบครัวเสียโฉม การสื่อสารดังกล่าวไม่สามารถทำให้เกิดความพึงพอใจ แต่สามารถทำลายความรัก ทำลายครอบครัวเท่านั้น

ในการแต่งงาน ผู้ชายสร้างความรัก (ไม่ชอบ) ของผู้หญิง และผู้หญิงสร้างความรัก (ไม่ชอบ) ของผู้ชาย ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของพวกเขาเป็นผลมาจากสิ่งที่พวกเขาทำต่อกัน

ความรัก ความใกล้ชิดทางวิญญาณ และการสื่อสารของพ่อแม่เป็นปัจจัยทางการศึกษาหลักอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นฐานทางอารมณ์ในการเลี้ยงลูกในครอบครัว เมื่อพ่อกับแม่รักกัน ลูกจะได้ประโยชน์สูงสุดจากความรักของพวกเขา ไม่มีมาตรการสอนใดที่สามารถชดเชยอิทธิพลของความรักที่มีต่อเด็กได้

ในครอบครัวสมัยใหม่ ส่วนใหญ่แล้ว เด็ก ๆ จะสื่อสารกับแม่ของพวกเขา กับเธอมักจะสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้พูดคุยถึงประเด็นสำคัญในชีวิต อย่างไรก็ตาม การสื่อสารกับพ่อก็มีความสำคัญไม่น้อยสำหรับเด็ก ยิ่งพ่อสื่อสารกับลูกบ่อยขึ้น ความผูกพันทางอารมณ์ก็ยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น และยิ่งพ่อร่วมดูแลเขาเร็วเท่าไร ความรู้สึกของพ่อแม่ก็จะยิ่งแข็งแกร่งและลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ายิ่งพ่อแม่ใช้เวลาพูดคุย เล่นกับลูกมากเท่าไร ลูกก็จะยิ่งพัฒนามากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกัน มีการพิสูจน์แล้วว่าเด็กขาดโอกาสในการสื่อสารกับผู้ปกครองหรือกับพ่อแม่คนใดคนหนึ่ง มีความอ่อนไหวเพิ่มขึ้นและประสบปัญหาในการติดต่อกับเพื่อนฝูง อันตรายร้ายแรงต่อพัฒนาการของเด็กคือการไม่แสดงอารมณ์ แม้ว่าจะเต็มที่แล้วก็ตาม พึงพอใจกับความต้องการทางสรีรวิทยาของเขาด้วยการขาดการสื่อสาร ความรัก ความอบอุ่น คำพูดที่ใจดีไปพร้อม ๆ กัน มีเพียงการสื่อสารอย่างต่อเนื่องของพ่อแม่กับลูกเท่านั้นที่มีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งทำให้เกิดความสุขร่วมกัน

ความรักระหว่างพ่อแม่และลูกนั้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ความรักและความเคารพระหว่างสามีภรรยา ความสัมพันธ์กับญาติคนอื่นๆ เป็นผลมาจากความพยายามร่วมกัน ครอบครัวไม่มีสองโลก - ผู้ใหญ่และเด็ก มีโลกเดียวของครอบครัว การหยุดชะงักของการสื่อสารระหว่างรุ่นจะบ่อนทำลายรากฐานของครอบครัวและส่งผลเสียต่อบรรยากาศทางศีลธรรม ยิ่งกว่านั้น หากตัวแทนของรุ่นพี่และรุ่นกลางไม่เอาใจใส่ ไม่เป็นมิตรต่อกัน หากพวกเขามักจะหงุดหงิดหรือมืดมน ไม่ว่ากำแพงทางการฑูตที่ทรงพลังจะถูกสร้างขึ้นรอบตัวเด็กเพื่อปกป้องโลกของเขาอย่างไร เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บจากการระคายเคือง , ความเศร้าโศกหรือความเฉยเมยของผู้ใหญ่ . หากเมื่อสื่อสารถึงกัน คนทุกชั่วอายุคนในครอบครัวมีไหวพริบ ปัญญา ไม่ขึ้นเสียง คิดตามความปรารถนาและความคิดเห็นของสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ละเว้นความภาคภูมิของกันและกัน ประสบทั้งทุกข์และสุขร่วมกัน แล้วครอบครัวจะสามัคคีกัน เกิด.

ตลอดชีวิตแต่งงาน ความเข้มข้นของการสื่อสารผันผวน นักจิตวิทยาเชื่อว่าในชีวิตครอบครัวของคู่สมรสส่วนใหญ่มีการลดลงและการไหล ในตอนเริ่มต้นพวกเขาตื้นสั้นจากนั้นก็สามารถยาวขึ้นและลึกซึ้งขึ้นได้ (แม้ว่าตามที่นักจิตวิทยากล่าวว่าความรักในชีวิตสมรสที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นก็ยิ่งมีความผันผวนน้อยลง)

ในช่วงเวลาที่อารมณ์แปรปรวน ความขัดแย้งเกิดขึ้นในครอบครัว การไม่ลงรอยกันก่อให้เกิดความเจ็บปวด โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลา 3-6 เดือนจากน้ำขึ้นน้ำลงถึงน้ำลง และมันสำคัญมากที่จะต้องพบกับช่วงเวลาแห่งความเย็นต่อไปด้วยความเข้าใจและความปรารถนาที่จะเอาชนะมันด้วยความสูญเสียน้อยที่สุด

การสื่อสารเปลี่ยนแปลงไปในทุกขั้นตอนของชีวิตครอบครัว การเริ่มต้นชีวิตครอบครัวเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่รุมเร้ามากที่สุด แต่มักพบกับความเศร้าโศกอย่างแรง เมื่อแต่งงานกัน เด็กชายและเด็กหญิงมักมีความคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มักไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสในอุดมคติ และพยายามทำความเข้าใจพวกเขาในชีวิตครอบครัว ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันยุ่งยาก การปรับตัวทางจิตวิทยาซึ่งกันและกันต้องใช้เวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการสื่อสารตั้งแต่วันแรกของชีวิตร่วมกันเพื่อให้สามารถให้อภัยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ใจดีและเอาใจใส่มีน้ำใจและอดทนดูแลเอาใจใส่และพยายามทำความเข้าใจผู้อื่น เพื่อปรับให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของเขา

เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของการสื่อสารอย่างมีนัยสำคัญในระหว่างการคลอดบุตร ในระยะนี้ของชีวิตครอบครัว ความเครียดทางจิตใจและร่างกายของคู่สมรสเพิ่มขึ้น กิจกรรมการเรียนรู้ของพวกเขาลดลง ชีวิตนอกบ้านลดลงอย่างรวดเร็ว ความกังวลเพิ่มเติมมากมายปรากฏขึ้น ฯลฯ ผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีและมุมมองเดียวกันในการเลี้ยงดู ปัญหาการปรากฏตัวของสมาชิกในครอบครัวใหม่ทำให้ผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณอ่อนแอ - สามารถทำให้แปลกแยก

ในช่วงเวลานี้ การสร้างการสื่อสารในครอบครัวอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยอาศัยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไหวพริบ ความยุติธรรม และความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันในการกระจายข้อกังวลมากมายเกี่ยวกับครอบครัว

ในการแต่งงาน เช่นเดียวกับในธุรกิจใดๆ คุณสามารถได้รับความสุขมากเท่ากับที่คุณทุ่มเทความพยายาม ความสามารถในการสื่อสารเป็นเรื่องของการเลี้ยงดูและการศึกษาด้วยตนเอง ซึ่งเป็นงานที่ทั้งสามีและภรรยาควรทุ่มเทความเข้มแข็งตั้งแต่วันแรกของชีวิตร่วมกัน ความแตกแยกของครอบครัวเริ่มขึ้นเมื่อการสื่อสารกลายเป็นการต่อสู้ที่ไร้สาระ เมื่ออารมณ์มีความสำคัญเหนือเหตุผล

ผลการวิจัยช่วยให้เราสามารถระบุข้อผิดพลาดทั่วไปในการสื่อสารของคู่สมรสที่ส่งผลเสียต่อธรรมชาติของความสัมพันธ์ในครอบครัว:

ผู้หญิง 75% ผู้ชาย 72% ไม่ค่อยมาก่อน

ผู้หญิง 40% ผู้ชาย 51% ไม่ค่อยสรรเสริญและอนุมัติ

47% ของครอบครัวไม่คำนึงถึงคำแนะนำของผู้อื่น

ผู้หญิง 45% มักจะเอาผู้ชายคนอื่นเป็นแบบอย่างให้กับสามี 60% วิพากษ์วิจารณ์สามีต่อหน้าคนรู้จักและญาติ

ในครอบครัว 55% คู่สมรสไม่สนใจอาชีพ

ปัญหาของกันและกัน 20% ของคู่สมรสไม่เคยพูดคุย

เกี่ยวกับงานของคุณที่บ้าน

คุณสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการสื่อสารในครอบครัวได้โดยทำตามกฎบางประการ:

ในความเป็นหนึ่งเดียวของการสมรส เราไม่ควรแสวงหาอำนาจครอบงำ;

จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการตำหนิ การกล่าวหา การร้องเรียน ผู้ทำลาย

nyh สำหรับการสมรส;

โรคติดต่อเริ่มก่อตัวเมื่อคู่สมรส

เข้าใกล้ตัวเองเมื่อคำที่ต้องการทันที

veta ถูกละเลย;

มันสำคัญมากที่จะสามารถจัดการอารมณ์ของคุณได้ตามต้องการ

นิยะ เพื่อประสานกับผลประโยชน์และสภาพของผู้เป็นที่รัก

ผู้คนมุ่งมั่นที่จะเอาชนะจุดอ่อนของพวกเขา

หวงแหนค่านิยมหลักที่นำคู่สมรสมารวมกัน

และเอาชนะสิ่งที่แยกพวกเขาออกจากกัน

เพื่อการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นสิ่งสำคัญ

คำพูดและการกระทำ (ผู้เชี่ยวชาญได้พิสูจน์แล้วว่านิสัยดี

คนโดยเฉลี่ยนอนหลับนานกว่าสารระคายเคือง 6-8 ปี

เข้มแข็ง ขมขื่น หรืออดกลั้น

ยืน):

ความสุขของการสื่อสารเป็นไปไม่ได้หากไม่มีความพยายามอย่างต่อเนื่อง

ชอบกัน.

ชุมชนแห่งชีวิตทางจิตวิญญาณสันนิษฐานว่าเห็นอกเห็นใจครอบครัวต่อสภาพจิตใจที่เป็นไปได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมการสื่อสารจำเป็นต้องมีสัดส่วน คุณไม่สามารถเปลี่ยนปัญหาของคุณไปที่ไหล่ของสามีหรือภรรยาได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ยอมรับไม่ได้คือการคร่ำครวญอย่างต่อเนื่องซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไร้อำนาจอย่างสมบูรณ์ อันที่จริงคู่สมรสประเภทนี้กลายเป็นลูกอีกคนในครอบครัวซึ่งสร้างปัญหาใหม่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะอดทนต่อความยิ่งใหญ่ ความลุ่มหลง เผด็จการ มีเพียงเส้นทางเดียวที่ได้รับการยืนยันทางจิตวิทยาแล้วเท่านั้นที่สามารถนำไปสู่การแต่งงานที่ยั่งยืน - ทุกอย่างควรมีการวางแผน: เวลา, เงิน, ความแข็งแกร่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใด - ความสุขของการสื่อสารในครอบครัวเพราะเป็นการแสดงออกสูงสุดของความสุขในครอบครัว

ความสัมพันธ์ของคู่สมรสหนุ่มสาวกับพ่อแม่ของพวกเขา จากช่วงเวลาแห่งการสร้างครอบครัว พ่อแม่ของคู่บ่าวสาวดูเหมือนจะถูกผลักไสไปยังเครื่องบินลำอื่น มันเป็นธรรมชาติ ความกังวล ความประทับใจ มุมมองใหม่ บทบาททางสังคมใหม่ของสามีหรือภรรยา - ทั้งหมดนี้สร้างภาระให้กับคู่บ่าวสาว - น่าพอใจและยากในเวลาเดียวกัน

ในกรณีที่ดีที่สุด คู่บ่าวสาวหลังแต่งงานจะต้องแยกที่อยู่อาศัยและใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยสมบูรณ์ พวกเขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวเองไม่ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของพ่อแม่ ในกรณีนี้คนหนุ่มสาวรักษาความสัมพันธ์กับพ่อแม่โดยไปเยี่ยมกัน พื้นฐานทางศีลธรรมของความสัมพันธ์ระหว่างคู่บ่าวสาวกับพ่อแม่คือความเคารพและความรัก คู่สมรสที่อายุน้อยควรระลึกถึงบิดามารดาที่เลี้ยงดูและเลี้ยงดูพวกเขาดูแลพวกเขาด้วยความเอาใจใส่อย่าลืมแสดงความยินดีกับพวกเขาในวันเกิดในวันหยุดและให้ความช่วยเหลือที่จำเป็น

จำเป็นต้องจำเกี่ยวกับการปรากฏตัวของญาติใหม่ การขยายแวดวงคู่สมรสจะทำให้ประสบการณ์ทางสังคมของพวกเขาดีขึ้น ได้คนรู้จักที่สนิทสนมใหม่ๆ และหากเป็นไปได้ เพื่อนใหม่ในตัวของพวกเขา ความสัมพันธ์ในครอบครัวใหม่สามารถส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของคู่บ่าวสาว เสริมสร้างพวกเขา ความคุ้นเคยและการรักษาการติดต่อกับญาติของคู่สมรส (ภรรยา) ช่วยให้คุณเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเขา (ตัวเธอเอง) ซึ่งนำคนหนุ่มสาวมารวมกันช่วยให้เข้าใจกันมากขึ้น

ผู้ปกครองประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาจะช่วยให้คู่หนุ่มสาวเอาชนะปัญหาทางศีลธรรมและจิตใจที่มีอยู่ค้นหาคำตอบที่ถูกต้องในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การเอาใจใส่คำแนะนำของแม่ พ่อ แม่ผัว พ่อตา ฯลฯ ไม่เคยเกินความจำเป็น ในทางกลับกัน พ่อแม่ควรให้คำแนะนำอย่างแนบเนียน ถูกต้อง โดยไม่ดูถูกเด็กด้วยความเหนือกว่า โดยไม่ต้องคาดเดาข้อดีของวัยผู้ใหญ่และในสถานการณ์วิกฤติ ให้มองการณ์ไกลและฉลาด

หากคนหนุ่มสาวหลังแต่งงานต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่คนใดคนหนึ่งในพื้นที่อยู่อาศัยเดียวกัน ด้านหนึ่งสถานการณ์ของพวกเขาก็ได้รับการอำนวยความสะดวก และในทางกลับกัน ปัญหาเพิ่มเติมอาจเกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ พ่อแม่ที่อาศัยอยู่ด้วยกันทำงานบ้านส่วนหนึ่ง ซึ่งทำให้คู่สมรสมีเวลามากขึ้นในการศึกษา พัฒนาทักษะ และใช้เวลาว่าง แต่การสื่อสารอย่างต่อเนื่องของคู่รักหนุ่มสาวกับพ่อแม่สามารถทำให้เกิดความขัดแย้งได้มากมายหากวัฒนธรรมของการสื่อสารต่ำ หากมีความคิดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับคุณค่าชีวิต ทัศนคติที่ไม่เห็นด้วยในเชิงมิติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามบทบาทของครอบครัว จากการศึกษาพบว่า "ความตึงเครียด" มักเกิดขึ้นระหว่างผู้หญิงคนโต (แม่ยาย แม่ยาย) กับสมาชิกใหม่ในครอบครัว - ลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้ แม่คนไหนไม่อยากให้ลูกมีความสุข? แต่ภรรยาสาว (ลูกสะใภ้) ก็ไล่ตามเป้าหมายนี้เช่นกัน iA ทราบดีว่าในครอบครัวสมัยใหม่ อย่างแรกเลย บรรยากาศที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีคุณค่า ชายหนุ่มเห็นข้อตกลงและความเข้าใจระหว่างภรรยากับแม่จะยินดีกับสิ่งนี้ แต่สถานการณ์จะทนไม่ได้เมื่อเขารีบเร่งระหว่างความไม่พอใจของภรรยากับความขุ่นเคืองของแม่

ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ก็อาจซับซ้อนได้เช่นกัน ในกรณีนี้ สามีหนุ่มต้องแสดงให้แม่ของภรรยาเห็นถึงความอบอุ่นและความน่าเชื่อถือของความรู้สึกที่มีต่อภรรยาสาวด้วยคำพูดและการกระทำ

การอยู่ร่วมกับพ่อแม่มักนำไปสู่สถานการณ์ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างคู่สมรสกลายเป็นสมบัติของทุกคนในครอบครัว เป็นการดีถ้าความสัมพันธ์ไม่มีเมฆ ในกรณีที่มีความขัดแย้ง ขอแนะนำให้คู่สมรสที่อายุน้อยแก้ไขหากเป็นไปได้ โดยไม่ต้องมีญาติอยู่ด้วย การมีส่วนร่วมกับบุคคลภายนอกในการแก้ไขข้อพิพาทอาจนำไปสู่กระบวนการที่ยืดเยื้อ ดังนั้นการแทรกแซงของญาติควรได้รับอนุญาตก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากคู่สมรสทั้งสองและหากพวกเขาไม่สามารถตกลงกันได้

จริยธรรมและจรรยาบรรณของครอบครัว แนวคิดเรื่องจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ใช้ในความหมายของคุณธรรม คุณธรรมของครอบครัว และถือเป็นการประเมินการเลี้ยงดูของสมาชิกในครอบครัวเป็นรายบุคคลและบรรยากาศทางศีลธรรมของครอบครัวเป็นทีม

คนหนุ่มสาวที่ตกหลุมรักซึ่งกันและกันและเข้าสู่การแต่งงานไว้วางใจซึ่งกันและกันด้วยลักษณะทางชีววิทยาและสังคมของแต่ละบุคคลซึ่งพวกเขาซ่อนจากคนอื่นและเริ่มร่วมกันแก้ไขปัญหาในครอบครัวและใกล้ชิดทั้งหมด ในการสื่อสารอย่างเป็นขั้นเป็นตอน บุคลิกลักษณะของพวกเขาจะปรากฏในทุกอาการ (ความล้มเหลว จุดอ่อน ความสุข ความพ่ายแพ้ ฯลฯ) เป็นสิ่งสำคัญในช่วงนี้ของชีวิตครอบครัวที่จะสามารถรักษาการรับรู้ที่ประเสริฐของกันและกันและสิ่งนี้สามารถอำนวยความสะดวกได้โดยการเลี้ยงดูทางศีลธรรมอันสูงส่งของคู่สมรสแต่ละคนคุณสมบัติส่วนตัวของพวกเขา: ความสุภาพเรียบร้อยไหวพริบความสุภาพเรียบร้อย ฯลฯ ในกรณีนี้ เป็นมารยาทที่จะช่วยให้คู่บ่าวสาวสร้างประเพณีที่ยึดครอบครัวไว้ด้วยกันทำให้ชีวิตในนั้นมีความสุขและสวยงาม

มารยาทเป็นชุดของกฎเกณฑ์บางประการซึ่งเป็นรูปแบบที่สวยงามของการสำแดงสาระสำคัญทางศีลธรรมและจิตสรีรวิทยาของบุคคลที่ยอมรับในสังคม มันแสดงออกในหลาย ๆ ด้านของการสื่อสารของมนุษย์ มีบรรทัดฐานสากลของมารยาท ตัวอย่างเช่น การแบ่งสังคมออกเป็นชายและหญิง ผู้ใหญ่และเด็กกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น ทัศนคติที่ระมัดระวังของผู้ชายต่อผู้หญิง ทัศนคติที่เคารพผู้อาวุโส ทัศนคติที่เอาใจใส่ต่อผู้เยาว์ แก่นแท้ทางศีลธรรมอันสูงส่งของคนโซเวียตต้องการความสวยงามของการกระทำและมารยาททุกที่ รวมทั้งในครอบครัว

วัฒนธรรมของมนุษย์สามารถแบ่งออกตามเงื่อนไขได้เป็นภายในและภายนอก ภายใต้ "ภายใน" ซึ่งเป็นหลัก พวกเขาเข้าใจคุณธรรม ในขณะที่ "ภายนอก" หมายถึงความงาม (สุนทรียศาสตร์) ของพฤติกรรม วัฒนธรรมทั้งสองนี้เชื่อมโยงถึงกันและพึ่งพาอาศัยกัน โดยจะต้องส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างกลมกลืน ความรักที่เป็นพื้นฐานของการแต่งงานไม่ทนต่อความเท็จแม้แต่น้อย ผิดปกติพอสมควร แต่ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและความสุภาพสัมบูรณ์ระหว่างคู่สมรสไม่เพียง แต่ไม่ได้เป็นการรับประกันถึงความรู้สึกที่ยั่งยืนเท่านั้น แต่อาจบ่งบอกถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม - การขาดความรัก คนที่รักสามารถโต้แย้ง ขุ่นเคือง ขุ่นเคือง พวกเขาอาจมีความขัดแย้ง แต่ทั้งหมดนี้ควรแสดงออกในรูปแบบที่จะไม่ขายหน้าหรือทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง ความสัมพันธ์ด้วยความรักควรสร้างขึ้นบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกันและดีต่อสุขภาพ ตามกฎแล้ว ผู้หญิงคือผู้สร้างแรงบันดาลใจในครอบครัว และผู้ชายควรเป็นผู้สร้างที่กระตือรือร้น ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสองคนทำตามแผนได้สำเร็จ

มารยาทในครอบครัวเกี่ยวข้องกับความสามารถในการประนีประนอมผลประโยชน์ของตนกับผลประโยชน์ของสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ พื้นฐานของมันคือความปรารถนาดีต่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว

จรรยาบรรณของครอบครัวต้องการการรักษาอำนาจสูงของครอบครัวในหมู่คนรู้จักและคนอื่นๆ ประเพณีครอบครัวรัสเซียเก่าสมควรได้รับการยกย่องว่าจะไม่ตำหนิคู่สมรสต่อหน้าญาติหรือคนแปลกหน้าไม่เปิดเผยความยากลำบากในการแสดงเพื่อเพิ่มอำนาจของคู่สมรสทั้งในหมู่เด็กและในหมู่คนรอบข้าง พวกเขามักจะกลัวการเยาะเย้ยจากผู้อื่นและใส่ร้ายตนเอง พวกเขาหลีกเลี่ยง เฉพาะสิ่งที่สมควรได้รับอนุมัติและยกย่องเท่านั้นที่จะถูกนำออกไปสู่ผู้คน ตอนนี้บางคนลืมไปว่าเป็นการดีกว่าที่จะไม่แสดงความขัดแย้งการทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะ คุณต้องละอายใจกับมารยาทที่ไม่ดีของคุณ ความฉุนเฉียว อารมณ์ชั่ววูบ ประพฤติตนอย่างมีศักดิ์ศรี สงบ เพื่อรักษาเกียรติของทั้งตนเองและครอบครัว - คู่สมรสทั้งสองควรต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ จริยธรรมและจรรยาบรรณของครอบครัวควรอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ความเมตตา ความสวยงาม

ความขัดแย้งในครอบครัว สาเหตุโดยตรงของความขัดแย้งระหว่างคู่สมรสมักเกิดจากความไม่สอดคล้องกันของคนใดคนหนึ่งหรือทั้งคู่กับข้อกำหนดของการแต่งงานเช่นนี้ ความไม่สอดคล้องกันของคู่สมรสที่อยู่ด้วยกัน (รวมถึงความไม่ลงรอยกันของตัวละคร) และอิทธิพลภายนอกที่ทำลายล้าง

เบื้องหลังสาเหตุทั่วไปเหล่านี้คือกลุ่มของสาเหตุที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ความไม่เหมาะสมโดยทั่วไป (ทั้งหมด) สำหรับการแต่งงาน การสวมบทบาทเป็นสามีหรือภรรยาเกิดขึ้นกับโรคพิษสุราเรื้อรัง พฤติกรรมอาชญากรรมที่มั่นคงของคู่สมรสคนใดคนหนึ่ง ความเห็นแก่ตัวที่กว้างขวาง วัตถุนิยม บริโภคนิยม ลัทธิคลั่งศาสนา ในทุกกรณีในลักษณะนี้ บุคคลมีความมุ่งมั่นอย่างเข้มงวดในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว หรือใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ไม่สอดคล้องกับการแต่งงานโดยพื้นฐาน

คุณสมบัติส่วนบุคคลของบุคลิกภาพของคู่สมรสอาจไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของการแต่งงาน - ความล้าหลังทางวิญญาณและความไม่มั่นคงทางศีลธรรม การไม่สามารถดูแลบ้านหรือหารายได้ที่จำเป็นสำหรับครอบครัว ฯลฯ ข้อบกพร่องแต่ละอย่างสามารถทำลายครอบครัวใดก็ได้ ผลที่ตามมามักจะก่อให้เกิดลักษณะทางจิตที่ซับซ้อนที่เรียกว่าการทะเลาะวิวาทเมื่อการกระทำทั้งหมดของคู่สมรสคนใดคนหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติที่แท้จริงของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์และเยาะเย้ย

ผลที่ตามมาที่สำคัญยังเกิดจากการขาดความรู้ในบางประเด็นที่ครอบครัวต้องเผชิญ การละเลยการแต่งงานหรือคู่ครอง การขาดทักษะที่เหมาะสม การขาดเจตจำนง และแนวโน้มที่จะแสดงออกอย่างผิดกฎหมาย

ความไม่ตรงกันระหว่างคู่สมรสก็เป็นไปได้เช่นกันเมื่อแต่ละคนมีความสามารถตามหลักการแล้วสามารถบรรลุบทบาทสมรสได้ แต่ไม่สามารถบรรลุสิ่งนี้ในการแต่งงานที่กำหนดกับคู่ครองที่กำหนด ความคลาดเคลื่อนในการแสดงออกอย่างเต็มรูปแบบส่งผลให้เกิดความไม่ลงรอยกันของบุคลิกภาพของคู่สมรสหรือทรัพย์สินส่วนบุคคลของคู่สมรส (โลกทัศน์และความเชื่อ เป้าหมายชีวิตและแผนการ) ไม่สามารถตัดสินใจร่วมกันและร่วมมือในกระบวนการดำเนินการได้ ความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นเมื่อเป็นไปไม่ได้หรือยากอย่างยิ่งที่จะร่วมกันตอบสนองความต้องการบางอย่าง (เช่น การสื่อสารทางจิตวิญญาณในกรณีที่ไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันหรือความแตกต่างในระดับของการพัฒนาอย่างชัดเจน) ต่อหน้าความคิดที่เข้ากันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ครอบครัวควรจะเป็น , อะไรคือเป้าหมายของการแต่งงานและจะนำไปปฏิบัติอย่างไร.

ตัวอย่างของอิทธิพลภายนอกที่ทำลายล้างสามารถโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแทรกแซงในความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสของพ่อแม่หรือญาติของพวกเขา สิ่งนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งในกรณีที่ครอบครัวเล็กอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของภรรยาหรือสามีโดยไม่มีฐานวัตถุ การแทรกแซงของผู้ปกครองมักทำให้เกิดปฏิกิริยารุนแรง - ส่วนใหญ่มาจากคู่สมรสที่มาหาครอบครัวนี้ ลูกชายหรือลูกสาวแสดงความเต็มใจที่จะเชื่อฟังพ่อแม่มากขึ้น ปฏิกิริยาที่แตกต่างต่อการแทรกแซงของผู้ปกครองมักจะกลายเป็นลิ่มที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งค่อยๆแยกความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสที่อายุน้อย

ความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นจากอารมณ์เชิงลบที่เพิ่มขึ้นโดยบังเอิญหรือเมื่อคู่สมรสที่อยู่เบื้องหลังอาจมีความขัดแย้งที่แท้จริง ในกรณีแรก การชี้แจงสถานการณ์จริงอย่างใจเย็น ตามด้วยคำขอโทษสำหรับข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล อาจทำให้ความขัดแย้งหมดไป ในชีวิตมีหลายกรณีที่ไม่มีเหตุผลสำหรับความขัดแย้งหรือไม่มีนัยสำคัญหรือถูกลืมและการทะเลาะวิวาทและเรื่องอื้อฉาวที่ยืดเยื้อสามารถฆ่าความรู้สึกอบอุ่นทำให้คู่สมรสเป็นคนแปลกหน้า

หากมีความขัดแย้งที่แท้จริงเบื้องหลังความขัดแย้ง ผลที่ตามมาจะขึ้นอยู่กับลักษณะของความขัดแย้งเป็นหลัก หากคู่สมรสทั้งสองหรือคนใดคนหนึ่งไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของการแต่งงานในฐานะสถาบันโดยสมบูรณ์หรืออย่างมีนัยสำคัญ การสมรสจะกลายเป็นการคลอดก่อนกำหนดหรือถึงวาระที่เห็นได้ชัด นี่คือสิ่งที่อธิบายการล่มสลายของครอบครัวจำนวนมากในวันแรก สัปดาห์หรือเดือนแรกของชีวิตร่วมกันของคู่สมรส ผลที่ตามมาแบบเดียวกันอาจนำไปสู่ความคลาดเคลื่อนขั้นรุนแรงระหว่างคู่สมรสกับอีกฝ่ายหนึ่ง

บางครั้งก็เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าในยุคของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แหล่งที่มาของความขัดแย้งในครอบครัวอยู่ในขอบเขตของความสัมพันธ์ทางอุตสาหกรรมที่ตึงเครียด ความก้าวร้าวในครอบครัวด้วยวิธีนี้ถือเป็นผลมาจากสภาวะเครียดที่เกิดขึ้นในคู่สมรสคนใดคนหนึ่งในที่ทำงาน มักจะเป็นกรณีนี้ สถานการณ์ตึงเครียดปรากฏขึ้นโดยเฉพาะอันเป็นผลมาจากความขัดแย้งกับผู้นำหรือสหายในทีมผลิต แต่บ่อยครั้งที่ความเครียดเกิดขึ้นหรือทวีความรุนแรงขึ้นจากบรรยากาศทางศีลธรรมและจิตใจที่ไม่เอื้ออำนวยในครอบครัว หากปัญหาใหม่ การเรียกร้อง การตำหนิรอคนที่บ้าน สภาพที่ตึงเครียดก็ซ้อนทับกัน สะสม และโอกาสที่ความขัดแย้งในครอบครัวจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ในเรื่องนี้คำถามที่เกิดขึ้น: เป็นการดีที่คู่สมรสจะแบ่งปันความยากลำบากซึ่งกันและกันหรือไม่? หน้าที่ของแต่ละคนคือ "เก็บปัญหาไว้กับตัว" มิใช่หรือ? ไม่ มันไม่ควร ชุมชนแห่งชีวิตฝ่ายวิญญาณสันนิษฐานว่าประสบการณ์ร่วมกันของสภาวะจิตที่เป็นไปได้ทั้งหมด วัฒนธรรมของการสื่อสารต้องการเพียงความรู้สึกของสัดส่วน วิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันอิทธิพลทำลายล้างของความตึงเครียดทางจิตใจที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสคือการควบคุมตนเอง

บ่อยครั้งในครอบครัวขัดแย้งกันเอง แม้แต่ความเฉยเมยที่เรียบง่ายของภรรยาต่อความใกล้ชิดมักเป็นปัจจัยที่ทำให้ครอบครัวอ่อนแอ สามีมักจะพบว่าตัวเองอยู่ในฐานะขอทานหรือแม้กระทั่งขอความใกล้ชิด ซึ่งทำให้ภรรยาสามารถ "ขึ้นแท่น" จากความสูงของแท่นนี้ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเธอ เธออาจดูหมิ่นสามีของเธอ "ทำให้เขามีความสุข" หรือระงับ "คำกล่าวอ้างที่ไร้ค่า" ของเขาอย่างเด็ดขาด โดยไม่ทราบรายละเอียดของความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสนี้? บางครั้งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจว่าทำไมภรรยาซึ่งโดยทั่วไปแล้วไม่มีความฉลาดหรือความงามเป็นพิเศษจึงดูถูกสามีที่มีพรสวรรค์มากกว่าของเธอ การเห็นคุณค่าในตนเองของผู้ชายได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ซึ่งค่อยๆ ลด "อุณหภูมิ" ในบ้านลง ทำให้ความสัมพันธ์เย็นลง

สถานการณ์ไม่ขัดแย้งกันน้อยลงหากภรรยารังเกียจความใกล้ชิดทางกาย จากนั้นเตียงสมรสก็กลายเป็นเหมือนสถานที่ทรมานสำหรับเธอ ความเกลียดชังต่อการกระทำที่ใกล้ชิดถูกโอนไปยังสามีที่ต้องการ และผู้หญิงคนหนึ่งอาจกัดฟันแน่น ด้วยความรู้สึกเสียสละอย่างต่อเนื่อง (เพราะกลัวความเหงา สำนึกในหน้าที่ต่อลูกๆ) หรือปฏิเสธที่จะมีเพศสัมพันธ์เลย ไม่ว่าในกรณีใดผลที่ตามมาของครอบครัวนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า การที่สามีไม่สามารถทำให้ภรรยาพอใจก็ส่งผลเช่นเดียวกัน

ความแตกต่างของความคิดเห็น ความขัดแย้ง ข้อพิพาท - ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติและมีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด แต่ความขัดแย้งสามารถแก้ไขได้ในสองวิธี: จากตำแหน่งของความเมตตา เมื่อสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่เบื้องหน้า - เจตคติที่ดี และจากนั้น - ความจริง หรือการทะเลาะวิวาท เมื่อความสัมพันธ์ไม่ดีและความจริงไม่เหนือกว่า แต่ความระแวง ความปรารถนาที่จะป้องกันตนเอง ที่จะชนะ ใครก็ตามที่ใช้เส้นทางของการทะเลาะวิวาทเป็นความผิดขั้นพื้นฐาน เนื่องจากเป็นการบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดี สำหรับความจริงสูงสุดในครอบครัวคือความสัมพันธ์ที่ดีอย่างแม่นยำและสูงกว่าความถูกต้องชั่วขณะของใครบางคน การทะเลาะวิวาทไม่ได้แก้ไขความขัดแย้ง แต่จุดประกายให้ความขัดแย้ง และการเข้าใจว่านี่เป็นรากฐานที่สำคัญของวัฒนธรรมครอบครัว

เพื่อที่จะรักษาความรัก คู่ครองหนุ่มสาวต้องเชี่ยวชาญวัฒนธรรมแห่งการโต้แย้งและการแก้ไขข้อขัดแย้ง ซึ่งประกอบด้วยความสามารถในด้านหนึ่งในการแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลโดยไม่ต้องเปล่งเสียงและไม่ขุ่นเคืองคู่ของตนและในทางกลับกัน ในความสามารถในการรับรู้ถึงความถูกต้องของอีกฝ่าย ความสามารถในการปฏิบัติตามความถูกต้องนี้ ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าในกรณีใดบุคคลหนึ่งควร "รับเรื่องส่วนตัว" หันไปใช้ข้อกล่าวหาร่วมกันและการดูถูกที่ยิ่งกว่านั้น ในเวลาเดียวกัน คู่สมรสควรพยายามอย่ายอมจำนนต่ออารมณ์เชิงลบอย่างมีสติ อย่าลืมเคารพซึ่งกันและกัน จำไว้ว่าพวกเขาแต่ละคนกำลังเผชิญกับภารกิจที่จะไม่ "ยืนหยัดด้วยตัวเอง" ไม่ให้บรรลุชัยชนะใน โต้เถียงกันแต่ประการใด แต่เพื่อสร้างความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาทั้งสอง ในการทำเช่นนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่เพียงแต่ต้องฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างระมัดระวังและพยายามเข้าใจเขาเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถเอาตัวเองเข้าไปแทนที่เขา ฟังการโต้แย้งของคุณเอง "ด้วยหูของเขา" สุดท้ายความเต็มใจที่จะให้ซึ่งกันและกันเพื่อประนีประนอมเป็นสิ่งสำคัญมาก

วรรณคดี: ประเด็นเฉพาะเรื่องครอบครัวและการศึกษา. วิลนีอุส, 1983; Arova E.V. Be kind: ครอบครัวหนุ่มสาวเกี่ยวกับวัฒนธรรมแห่งความรู้สึกและพฤติกรรม ฉบับที่ 2 มินสค์ 2528; วัฒนธรรมความสัมพันธ์ในครอบครัว ฉบับที่ 2 M. (1985; Zatsepin V.I. เกี่ยวกับชีวิตของคู่สมรส 2nd ed. M. , 1984; เราและครอบครัว: หนังสือสำหรับคู่สมรสหนุ่มสาว 2nd ed. M. , 1985; ครอบครัวของเรา: หนังสือสำหรับคู่บ่าวสาว 2 Kyiv, 1985; ครอบครัวและวัฒนธรรมในชีวิตประจำวัน Mn., 1981; Sysenko V. A. Youth เข้าสู่การแต่งงาน M. , 1986; ของเขาเอง ความขัดแย้งของคู่สมรส M. , 1983; Shmelev A. G. วงกลมครอบครัวมุมคม: (จิตวิทยาของทุกวัน ชีวิต), ม., 2529.

เรายินดีที่จะวางบทความและเอกสารของคุณพร้อมแสดงที่มา
ส่งข้อมูลทางอีเมล์

ในแต่ละครอบครัว ระบบการศึกษาบางระบบถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นกลาง ซึ่งไม่ได้ตระหนักอยู่เสมอถึงระบบดังกล่าว กลยุทธ์การเลี้ยงดูในครอบครัว 4 แบบสามารถแยกแยะได้และความสัมพันธ์ในครอบครัว 4 ประเภทที่สอดคล้องกับพวกเขาซึ่งเป็นทั้งข้อกำหนดเบื้องต้นและผลของการเกิดขึ้น: บังคับ, ผู้ปกครอง, "ไม่แทรกแซง" และความร่วมมือ

ดาวน์โหลด:

ดูตัวอย่าง:

ประเภทของความสัมพันธ์ในครอบครัวและการศึกษา

ในแต่ละครอบครัว ระบบการศึกษาบางระบบถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นกลาง ซึ่งไม่ได้ตระหนักอยู่เสมอถึงระบบดังกล่าว ที่นี่เรามีความเข้าใจในเป้าหมายของการศึกษาและการกำหนดภารกิจและการประยุกต์ใช้วิธีการและเทคนิคการศึกษาอย่างมีจุดประสงค์ไม่มากก็น้อยโดยคำนึงถึงสิ่งที่สามารถและไม่อนุญาตเกี่ยวกับเด็ก

สามารถเน้นได้4 เทคนิคการเลี้ยงลูกและตอบสนองต่อพวกเขา ความสัมพันธ์ในครอบครัว 4 ประเภทซึ่งเป็นทั้งข้อกำหนดเบื้องต้นและผลลัพธ์ของการเกิดขึ้น: diktat, ผู้ปกครอง, "ไม่แทรกแซง" และความร่วมมือ

เผด็จการในครอบครัวแสดงออกในพฤติกรรมที่เป็นระบบของสมาชิกบางคนในครอบครัว (ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่) ของความคิดริเริ่มและความนับถือตนเองของสมาชิกคนอื่น ๆ

แน่นอนว่าผู้ปกครองสามารถและควรเรียกร้องบุตรหลานของตนตามเป้าหมายของการศึกษา มาตรฐานทางศีลธรรม สถานการณ์เฉพาะซึ่งจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างมีเหตุผลทางการสอนและศีลธรรม อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ชอบความสงบเรียบร้อยและความรุนแรงต่ออิทธิพลทุกประเภทต้องเผชิญกับการต่อต้านจากเด็ก ซึ่งตอบสนองต่อแรงกดดัน การบังคับขู่เข็ญ การข่มขู่ด้วยวิธีการตอบโต้ของเขาเอง: ความหน้าซื่อใจคด การหลอกลวง การปะทุของความรุนแรง และบางครั้งก็เป็นความเกลียดชังทันที แต่แม้ว่าการต่อต้านจะถูกทำลายไปพร้อมกับลักษณะนิสัยที่มีคุณค่าหลายอย่างก็กลับกลายเป็นว่าพังทลายลง: ความเป็นอิสระ ความนับถือตนเอง ความคิดริเริ่ม ศรัทธาในตัวเองและในความสามารถของตนเอง เผด็จการที่ประมาทของผู้ปกครองโดยไม่สนใจความสนใจและความคิดเห็นของเด็กการกีดกันสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนอย่างเป็นระบบในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเขา - ทั้งหมดนี้เป็นการรับประกันความล้มเหลวร้ายแรงในการสร้างบุคลิกภาพของเขา

การดูแลในครอบครัวเป็นระบบของความสัมพันธ์ที่ผู้ปกครองโดยการรับรองความพึงพอใจของทุกความต้องการของเด็กกับงานของพวกเขาปกป้องเขาจากความกังวลใด ๆ ความพยายามและความยากลำบากทำให้พวกเขาเป็นของตัวเอง คำถามเกี่ยวกับการก่อตัวของบุคลิกภาพที่กระตือรือร้นนั้นจางหายไปในเบื้องหลัง ที่ศูนย์กลางของอิทธิพลทางการศึกษาเป็นปัญหาอีกประการหนึ่ง - ตอบสนองความต้องการของเด็กและปกป้องเขาจากปัญหา ที่จริงแล้ว พ่อแม่ขัดขวางกระบวนการเตรียมลูกๆ ให้พร้อมสำหรับการปะทะกับความเป็นจริงนอกบ้านอย่างจริงจัง เป็นเด็กเหล่านี้ที่ไม่ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในทีมมากขึ้น จากการสังเกตทางจิตวิทยา เด็กกลุ่มนี้มีจำนวนการแตกสลายมากที่สุดในวัยรุ่น เพียงแค่เด็กเหล่านี้ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรจะบ่นก็เริ่มต่อต้านการดูแลของผู้ปกครองที่มากเกินไป หากดิ๊กทัตเกี่ยวข้องกับความรุนแรง คำสั่ง การเผด็จการที่เข้มงวด การดูแลหมายถึงการดูแล การป้องกันจากปัญหา อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นพร้อมกัน: เด็กขาดความเป็นอิสระ ความคิดริเริ่ม พวกเขาถูกกีดกันจากการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว และปัญหาครอบครัวทั่วไปมากยิ่งขึ้นไปอีก

ระบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในครอบครัว ขึ้นอยู่กับการรับรู้ถึงความเป็นไปได้และแม้กระทั่งความได้เปรียบของการดำรงอยู่อย่างอิสระของผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็ก สามารถสร้างได้ด้วยกลวิธีของ "การไม่แทรกแซง" นี่ถือว่าโลกทั้งสองสามารถอยู่ร่วมกันได้: ผู้ใหญ่และเด็ก และไม่ควรข้ามเส้นที่สรุปไว้ ส่วนใหญ่แล้ว ความสัมพันธ์ประเภทนี้ขึ้นอยู่กับความเฉยเมยของผู้ปกครองในฐานะนักการศึกษา

ความร่วมมือในลักษณะของความสัมพันธ์ในครอบครัวหมายถึงการไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในครอบครัวตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกันของกิจกรรมร่วมกัน การจัดองค์กร และค่านิยมทางศีลธรรมอันสูงส่ง ในสถานการณ์นี้เองที่ความเห็นแก่ตัวของเด็กจะเอาชนะได้ ครอบครัวที่ความสัมพันธ์แบบชั้นนำคือความร่วมมือ ได้มาซึ่งคุณสมบัติพิเศษ กลายเป็นกลุ่มของการพัฒนาระดับสูง - ทีม

รูปแบบการเลี้ยงดูหมายถึงวิธีที่พ่อแม่มีความสัมพันธ์กับลูก ความไม่ลงรอยกันในครอบครัวนำไปสู่ผลเสียในการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก ไปจนถึงปัญหาในพฤติกรรมของเขา

ในการเลือกรูปแบบการศึกษาของครอบครัวที่เหมาะสมที่สุด ให้พิจารณารูปแบบการเลี้ยงดูบุตรที่มีอยู่ทั้งหมดและผลที่ตามมาของการสมัคร

ด้วยรูปแบบการเลี้ยงดูแบบเผด็จการ ผู้ปกครองระงับความคิดริเริ่มของเด็ก ชี้นำและควบคุมการกระทำและการกระทำของเขาอย่างเข้มงวด เมื่อให้ความรู้ก็ใช้โทษทางกายในการประพฤติผิด ข่มเหง โวยวาย ข้อห้ามเล็กน้อย เด็กถูกลิดรอนจากความรัก ความเสน่หา ความเอาใจใส่ ความเห็นอกเห็นใจ ผู้ปกครองดังกล่าวสนใจเพียงว่าเด็กเติบโตขึ้นมาเชื่อฟังและผู้บริหาร แต่เด็กๆ เติบโตขึ้นทั้งที่ไม่มั่นคง ขี้กลัว โรคประสาท ไม่สามารถยืนหยัดเพื่อตนเองได้ หรือในทางกลับกัน ก้าวร้าว เผด็จการ ความขัดแย้ง เด็กเหล่านี้แทบจะไม่ปรับตัวในสังคมโลกรอบตัวพวกเขา

ผู้ปกครองติดตามการบ้านของนักเรียนที่อายุน้อยกว่าอย่างเคร่งครัด เท่าที่พวกเขายืนใกล้ ๆ และกดดันเด็กเพื่อพยายามให้เขาทำหน้าที่อย่างอิสระ เด็กในการป้องกันตัวใช้กลอุบายต่างๆ เช่น ร้องไห้ แสดงความหมดหนทาง ผลของมาตรการดังกล่าวทำให้เด็กๆ สูญเสียความปรารถนาที่จะเรียนรู้ พวกเขาแทบไม่มีสมาธิจดจ่อกับคำอธิบายของครูหรือเมื่อเตรียมบทเรียน

กับพ่อแม่ เด็กเหล่านี้อาจดูสงบเสงี่ยมและบริหารได้ แต่ทันทีที่การคุกคามของการลงโทษหายไป พฤติกรรมของเด็กก็ควบคุมไม่ได้ เมื่อเด็กโตขึ้น เขาก็ยิ่งไม่ยอมรับความต้องการของพ่อแม่เผด็จการ ในวัยรุ่น ความขัดแย้งบ่อยครั้งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าเสียดาย

2. การสมรู้ร่วมคิดแบบเสรีสไตล์ การศึกษาของครอบครัว (hypo-custody)

ด้วยรูปแบบการอนุญาตแบบเสรี การสื่อสารกับเด็กขึ้นอยู่กับหลักการอนุญาต สำหรับการยืนยันตนเอง เด็กใช้อารมณ์แปรปรวน เรียกร้อง "ให้!", "ฉัน!", "ฉันต้องการ!" โกรธเคืองอย่างท้าทาย เด็กไม่เข้าใจคำว่า "จำเป็น!" ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำและข้อกำหนดของผู้ใหญ่ ผู้ปกครองที่มีรูปแบบการสื่อสารแบบเสรีนิยมนั้นมีลักษณะที่ไร้ความสามารถหรือไม่เต็มใจที่จะเป็นผู้นำแนะนำเด็ก

ส่งผลให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นคนเห็นแก่ตัว ขัดแย้ง ไม่พอใจคนรอบข้างตลอดเวลา ซึ่งทำให้เขาไม่มีโอกาสเข้าสู่ความสัมพันธ์ทางสังคมตามปกติกับผู้คน

ที่โรงเรียน เด็กคนนี้อาจมีความขัดแย้งบ่อยครั้งเนื่องจากเขาไม่คุ้นเคยกับการยอมจำนน

3. ป้องกันมากเกินไปสไตล์ การศึกษาของครอบครัว

ด้วยรูปแบบการเลี้ยงดูที่ปกป้องตัวเองมากเกินไป พ่อแม่จึงกีดกันลูกจากความเป็นอิสระในการพัฒนาร่างกาย จิตใจ และสังคม พวกเขาอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา แก้ปัญหาให้เขา พวกเขาเอาใจใส่และดูแลเขามากเกินไป กลัวและกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเขา

เด็กเติบโตขึ้นมาในวัยทารกไม่ปลอดภัยโรคประสาทวิตกกังวล ต่อมาเขามีปัญหาในการขัดเกลาทางสังคม

4. สไตล์แปลกตาการศึกษาของครอบครัว

ด้วยรูปแบบการศึกษาของครอบครัวที่แปลกแยก ความสัมพันธ์นี้แสดงถึงความไม่แยแสอย่างลึกซึ้งของพ่อแม่ต่อบุคลิกภาพของเด็ก ผู้ปกครอง "ไม่สังเกต" เด็กไม่สนใจการพัฒนาและโลกภายในฝ่ายวิญญาณของเขา หลีกเลี่ยงการติดต่อกับเขาอย่างจริงจังทำให้เขาอยู่ห่าง ๆ ทัศนคติที่ไม่แยแสของพ่อแม่เช่นนี้ทำให้เด็กเหงาและไม่มีความสุขอย่างสุดซึ้งไม่มั่นใจในตัวเอง เขาสูญเสียความปรารถนาที่จะสื่อสารความก้าวร้าวต่อผู้คนสามารถก่อตัวได้

5. สไตล์วุ่นวายการศึกษาของครอบครัว

นักจิตวิทยาบางคนแยกแยะรูปแบบการศึกษาครอบครัวที่วุ่นวาย โดยขาดวิธีการเลี้ยงลูกที่สอดคล้องกันเพียงวิธีเดียว มันเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองในการเลือกวิธีการและวิธีการศึกษา ความขัดแย้งในครอบครัวเริ่มเกิดขึ้นบ่อยขึ้น ผู้ปกครองมักจะแยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและบ่อยครั้งต่อหน้าเด็ก ซึ่งนำไปสู่ปฏิกิริยาทางประสาทในเด็ก เด็กต้องการความมั่นคงและมีแนวทางเฉพาะที่ชัดเจนในการประเมินและพฤติกรรม ผู้ปกครองที่ใช้รูปแบบการศึกษาและการสื่อสารที่แตกต่างกันทำให้เด็กขาดความมั่นคงดังกล่าว ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ไม่ปลอดภัย หุนหันพลันแล่น ในบางกรณี บุคลิกภาพก้าวร้าวและควบคุมไม่ได้

6. สไตล์ประชาธิปไตยการศึกษาของครอบครัว

ด้วยรูปแบบการศึกษาที่เป็นประชาธิปไตย ผู้ปกครองสนับสนุนความคิดริเริ่มใดๆ ของเด็ก ความเป็นอิสระ ช่วยพวกเขา คำนึงถึงความต้องการและข้อกำหนดของพวกเขาด้วย พวกเขาแสดงความรักความปรารถนาดีต่อเด็กเล่นกับเขาในหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับเขา ผู้ปกครองอนุญาตให้เด็กมีส่วนร่วมในการอภิปรายปัญหาครอบครัวและนำความคิดเห็นของพวกเขามาพิจารณาในการตัดสินใจ และในทางกลับกันก็ต้องการพฤติกรรมที่มีความหมายจากเด็กแสดงความแน่วแน่และสม่ำเสมอในการสังเกตวินัย

เด็กอยู่ในตำแหน่งที่กระตือรือร้นซึ่งทำให้เขามีประสบการณ์ในการจัดการตนเองเพิ่มความมั่นใจในตนเองจุดแข็งของเขา เด็กในครอบครัวดังกล่าวฟังคำแนะนำของผู้ปกครอง รู้จักคำว่า "จำเป็น" รู้วิธีฝึกฝนตนเองและสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้น เด็ก ๆ เติบโตขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง อยากรู้อยากเห็น เป็นอิสระ บุคคลที่เต็มเปี่ยมด้วยสำนึกในศักดิ์ศรีและความรับผิดชอบที่พัฒนาขึ้นสำหรับผู้คนที่อยู่ใกล้เขา

นักจิตวิทยาหลายคนกล่าวว่ารูปแบบการเลี้ยงลูกแบบประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการศึกษาครอบครัวที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

เด็กก่อนวัยเรียนมองตัวเองผ่านสายตาของผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดที่เลี้ยงดูเขา หากการประเมินและความคาดหวังในครอบครัวไม่สอดคล้องกับอายุและลักษณะส่วนบุคคลของเด็ก ภาพลักษณ์ของตนเองก็ดูบิดเบี้ยว

เอ็มไอ Lisina ติดตามการพัฒนาความตระหนักในตนเองของเด็กก่อนวัยเรียนขึ้นอยู่กับลักษณะของการศึกษาของครอบครัว เด็กที่มีภาพเหมือนตนเองถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่พ่อแม่ให้เวลามาก ประเมินข้อมูลทางร่างกายและจิตใจในเชิงบวก แต่อย่าพิจารณาระดับการพัฒนาที่สูงกว่าระดับของคนรอบข้าง ทำนายผลการเรียนที่ดี เด็กเหล่านี้มักได้รับการสนับสนุน แต่ไม่ใช่ด้วยของกำนัล ลงโทษเป็นหลักโดยปฏิเสธที่จะสื่อสาร เด็กที่มีภาพลักษณ์ในตนเองต่ำจะเติบโตในครอบครัวที่ไม่ได้รับการปฏิบัติ แต่ต้องการการเชื่อฟัง ประเมินต่ำ มักตำหนิ ลงโทษ บางครั้ง - กับคนแปลกหน้า พวกเขาไม่คาดว่าจะประสบความสำเร็จในโรงเรียนและประสบความสำเร็จอย่างมากในชีวิต

พฤติกรรมที่เพียงพอและไม่เพียงพอของเด็กขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการเลี้ยงดูในครอบครัว.

เด็กที่มีความนับถือตนเองต่ำจะไม่พอใจในตัวเอง สิ่งนี้เกิดขึ้นในครอบครัวที่พ่อแม่มักตำหนิเด็กหรือตั้งงานให้เขามากเกินไป เด็กรู้สึกว่าเขาไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของผู้ปกครอง (อย่าบอกเด็กว่าเขาขี้เหร่ จะทำให้เกิดการสลับซับซ้อน ซึ่งไม่สามารถกำจัดได้)

ความไม่เพียงพอยังสามารถแสดงออกด้วยความนับถือตนเองที่สูงเกินจริง สิ่งนี้เกิดขึ้นในครอบครัวที่เด็กมักได้รับการยกย่อง และให้ของขวัญสำหรับสิ่งเล็กน้อยและความสำเร็จ (เด็กเคยชินกับรางวัลที่เป็นวัตถุ) เด็กถูกลงโทษน้อยมากระบบความต้องการอ่อนมาก

การนำเสนอที่เพียงพอ- ที่นี่เราต้องการระบบการลงโทษและการยกย่องที่ยืดหยุ่น ความชื่นชมยินดีและสรรเสริญไม่รวมอยู่ในเขา ของกำนัลไม่ค่อยมีให้สำหรับการกระทำ ไม่ใช้บทลงโทษที่รุนแรงมาก

ในครอบครัวที่เด็กเติบโตขึ้นมาอย่างสูงแต่ไม่ได้ประเมินค่าสูงไป การเอาใจใส่บุคลิกภาพของเด็ก (ความสนใจ รสนิยม ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง) จะถูกรวมเข้ากับความต้องการที่เพียงพอ ที่นี่พวกเขาไม่ใช้การลงโทษที่น่าอับอายและยกย่องอย่างเต็มใจเมื่อเด็กสมควรได้รับ เด็กที่มีความนับถือตนเองต่ำ (ไม่จำเป็นต้องต่ำมาก) มีอิสระมากขึ้นที่บ้าน แต่ที่จริงแล้ว เสรีภาพนี้คือการขาดการควบคุม ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเฉยเมยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกและต่อกัน

ผู้ปกครองยังกำหนดระดับเริ่มต้นของการเรียกร้องของเด็ก - สิ่งที่เขาอ้างในกิจกรรมการศึกษาและความสัมพันธ์ เด็กที่มีความทะเยอทะยานสูง มีความภูมิใจในตนเองสูงเกินจริง และแรงจูงใจอันทรงเกียรตินับแต่ความสำเร็จเท่านั้น วิสัยทัศน์ของพวกเขาในอนาคตก็มองโลกในแง่ดีเช่นกัน

เด็กที่มีการกล่าวอ้างในระดับต่ำและเห็นคุณค่าในตนเองต่ำไม่มีประโยชน์มากมายในอนาคตหรือในปัจจุบัน พวกเขาไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่สูงส่งสำหรับตนเองและสงสัยในความสามารถของตนอย่างต่อเนื่อง บรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็วกับระดับของความก้าวหน้าที่พัฒนาขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา

ความวิตกกังวลสามารถกลายเป็นลักษณะบุคลิกภาพในวัยนี้ ความวิตกกังวลสูงได้รับความมั่นคงด้วยความไม่พอใจอย่างต่อเนื่องกับการศึกษาในส่วนของผู้ปกครอง สมมุติว่าเด็กล้มป่วย ล้มหลังเพื่อนร่วมชั้น และเป็นการยากสำหรับเขาที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ หากปัญหาชั่วคราวที่เขาประสบสร้างความรำคาญให้ผู้ใหญ่เกิดความวิตกกังวลความกลัวที่จะทำอะไรไม่ดีผิด ผลลัพธ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ที่เด็กเรียนรู้ได้ค่อนข้างดี แต่พ่อแม่คาดหวังมากขึ้นและเรียกร้องมากเกินไปและไม่สมจริง

เนื่องจากความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นและความนับถือตนเองต่ำที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาลดลง และความล้มเหลวได้รับการแก้ไข ความสงสัยในตนเองนำไปสู่คุณสมบัติอื่นๆ อีกหลายประการ - ความปรารถนาที่จะทำตามคำแนะนำของผู้ใหญ่อย่างไม่ใส่ใจ ปฏิบัติตามรูปแบบและรูปแบบเท่านั้น กลัวที่จะดำเนินการริเริ่ม การดูดซึมความรู้และวิธีการดำเนินการอย่างเป็นทางการ

ผู้ใหญ่ที่ไม่พอใจกับผลผลิตที่ลดลงของงานการศึกษาของเด็กให้ความสำคัญกับปัญหาเหล่านี้มากขึ้นในการสื่อสารกับเขาซึ่งเพิ่มความรู้สึกไม่สบายทางอารมณ์ ปรากฎเป็นวงจรอุบาทว์: ลักษณะส่วนบุคคลที่ไม่เอื้ออำนวยของเด็กสะท้อนให้เห็นในกิจกรรมการศึกษาของเขา ผลงานที่ต่ำของกิจกรรมทำให้เกิดปฏิกิริยาที่สอดคล้องกันจากผู้อื่นและในทางกลับกันปฏิกิริยาเชิงลบนี้จะช่วยเพิ่มลักษณะที่พัฒนาขึ้นใน เด็ก. คุณสามารถทำลายวงจรนี้ได้โดยเปลี่ยนทัศนคติและการประเมินของผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดมุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จที่เล็กที่สุดของเด็ก โดยไม่โทษเขาสำหรับข้อบกพร่องบางอย่าง พวกเขาลดระดับความวิตกกังวลของเขาและส่งผลให้งานการศึกษาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ตัวเลือกที่สองคือความกล้าแสดงออก- ลักษณะบุคลิกภาพที่เกี่ยวข้องกับความต้องการความสำเร็จและการเอาใจใส่ผู้อื่นที่เพิ่มขึ้น ที่มาของการแสดงออกมักจะขาดความสนใจจากผู้ใหญ่ต่อเด็กที่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งในครอบครัว "ไม่มีใครรัก" แต่มันเกิดขึ้นที่เด็กได้รับความสนใจเพียงพอ แต่ก็ไม่ทำให้เขาพอใจเนื่องจากความต้องการการติดต่อทางอารมณ์มากเกินไป ความต้องการที่มากเกินไปสำหรับผู้ใหญ่ไม่ได้เกิดจากการถูกทอดทิ้ง แต่ในทางกลับกัน เด็กที่เอาแต่ใจที่สุด เด็กคนนี้จะเรียกร้องความสนใจแม้จะละเมิดกฎของพฤติกรรม (“ถูกดุยังดีกว่าไม่สังเกต”) หน้าที่ของผู้ใหญ่คือทำโดยไม่ใช้สัญกรณ์และการแก้ไขใดๆ แสดงความคิดเห็นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ใส่ใจกับการประพฤติผิดเล็กน้อยและลงโทษคนสำคัญ (พูดโดยปฏิเสธการเดินทางที่วางแผนไว้ไปยังคณะละครสัตว์) นี่เป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใหญ่มากกว่าการดูแลเด็กที่วิตกกังวล

หากสำหรับเด็กที่มีความวิตกกังวลสูง ปัญหาหลักคือการไม่ยอมรับผู้ใหญ่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นสำหรับเด็กที่แสดงออกถึงความวิตกกังวล ก็ถือว่าไม่มีคำชมเชย

ตัวเลือกที่สามคือ"หนีจากความเป็นจริง". เป็นที่สังเกตในกรณีที่การสาธิตรวมกับความวิตกกังวลในเด็ก เด็กเหล่านี้ยังมีความต้องการอย่างมากในการเอาใจใส่ตนเอง แต่พวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้เนื่องจากความวิตกกังวล พวกเขาแทบจะไม่สังเกตเห็นพวกเขา พวกเขากลัวที่จะกระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจกับพฤติกรรมของพวกเขา พวกเขามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดของผู้ใหญ่ ความต้องการความสนใจที่ไม่พอใจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความเฉื่อยชา การล่องหน ซึ่งทำให้ยากสำหรับการติดต่อที่ไม่เพียงพออยู่แล้ว เมื่อผู้ใหญ่สนับสนุนกิจกรรมของเด็ก ให้ความสนใจกับผลลัพธ์ของกิจกรรมการศึกษาของพวกเขา และค้นหาวิธีการตระหนักรู้ในตนเองอย่างสร้างสรรค์ การแก้ไขพัฒนาการของเด็กนั้นค่อนข้างง่าย

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาในครอบครัว ผู้ปกครองหันไปหาอิทธิพลที่หลากหลาย: พวกเขาสนับสนุนและลงโทษเด็ก พวกเขามุ่งมั่นที่จะเป็นแบบอย่างให้กับเขา ผลของการใช้สิ่งจูงใจอย่างสมเหตุสมผล การพัฒนาเด็กในฐานะปัจเจกบุคคลสามารถเร่งขึ้นได้ ประสบความสำเร็จมากกว่าการใช้ข้อห้ามและการลงโทษ อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นสำหรับการลงโทษ ดังนั้น เพื่อส่งเสริมผลการศึกษา ถ้าเป็นไปได้ การลงโทษควรปฏิบัติตามทันทีหลังจากการประพฤติผิดที่สมควรได้รับ การลงโทษควรจะยุติธรรม แต่ไม่โหดร้าย การลงโทษที่รุนแรงมากอาจทำให้เด็กกลัวหรือโกรธ การลงโทษจะมีผลมากกว่าหากอธิบายความผิดที่เขาได้รับโทษอย่างสมเหตุสมผล ผลกระทบทางกายภาพใดๆ ทำให้เกิดความเชื่อของเด็กว่าเขาเองก็สามารถบังคับได้เมื่อมีบางสิ่งที่ไม่เหมาะกับเขา

เมื่อมีลูกคนที่สอง สิทธิพิเศษของพี่ชายหรือน้องสาวก็มักจะจำกัด ตอนนี้ลูกคนโตถูกบังคับ และมักจะไม่ประสบความสำเร็จ ให้ดึงความสนใจของผู้ปกครองกลับคืนมา ซึ่งมักจะมุ่งไปที่ลูกที่อายุน้อยกว่า

เงื่อนไขเฉพาะสำหรับการศึกษาเกิดขึ้นในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งพ่อแม่คนใดคนหนึ่งไม่อยู่ เด็กผู้ชายรับรู้การไม่มีพ่อในครอบครัวมากกว่าเด็กผู้หญิง เมื่อไม่มีพ่อ พวกเขามักจะอวดดีและกระสับกระส่าย

ครอบครัวแตกแยกส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก โดยเฉพาะระหว่างแม่กับลูก เนื่องจากพ่อแม่เองมีความผิดปกติทางจิต พวกเขามักจะขาดกำลังในการช่วยให้เด็กรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องการความรักและการสนับสนุนมากที่สุด

หลังจากการหย่าร้างของพ่อแม่ เด็กชายมักจะควบคุมไม่ได้ สูญเสียการควบคุมตนเอง และในขณะเดียวกันก็แสดงความวิตกกังวลมากเกินไป ลักษณะนิสัยเหล่านี้สังเกตได้ชัดเจนเป็นพิเศษในช่วงเดือนแรกของชีวิตหลังการหย่าร้าง และค่อยๆ หายไปภายในสองปีหลังจากนั้น รูปแบบเดียวกัน แต่มีอาการเชิงลบเด่นชัดน้อยกว่าในพฤติกรรมของเด็กผู้หญิงหลังจากการหย่าร้างของพ่อแม่

ทางนี้, เพื่อให้เกิดผลในเชิงบวกสูงสุดและลดผลกระทบด้านลบของครอบครัวต่อการเลี้ยงดูเด็ก จำเป็นต้องจำปัจจัยทางจิตวิทยาภายในครอบครัวที่มีความสำคัญทางการศึกษา:

• มีส่วนร่วมในชีวิตครอบครัว
• หาเวลาพูดคุยกับลูกของคุณเสมอ
• สนใจปัญหาของเด็กเจาะลึกปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาและช่วยพัฒนาทักษะและความสามารถของเขา
• อย่ากดดันเด็กซึ่งจะช่วยให้เขาตัดสินใจได้อย่างอิสระ
• มีความคิดเกี่ยวกับช่วงต่างๆ ในชีวิตของเด็ก
• เคารพสิทธิของเด็กในความคิดเห็นของตนเอง
• เพื่อให้สามารถยับยั้งสัญชาตญาณความเป็นเจ้าของและปฏิบัติต่อเด็กในฐานะหุ้นส่วนที่เท่าเทียมซึ่งมีประสบการณ์ชีวิตน้อยกว่า
• เคารพความปรารถนาของสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ในการประกอบอาชีพและพัฒนาตนเอง

เราดำเนินการตีพิมพ์บทความที่ตัดตอนมาจากหนังสือของนักจิตวิทยาชาวกรีก Pavel Kyriakidis "ความสัมพันธ์ในครอบครัว" ซึ่งแปลโดยแม่ชี Ekaterina โดยเฉพาะสำหรับพอร์ทัล Matrona.RU มีการกระจายบทบาทในครอบครัวอย่างไร?

บุคคลหนึ่งอาศัยอยู่ในระบบต่างๆ (เช่น ในระบบสังคม การเมือง ปรัชญา ฯลฯ) ขึ้นอยู่กับพวกเขา ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงหรือโดยอ้อมจากพวกเขา แต่บางทีระบบเดียวที่ส่งผลกระทบโดยตรงและสำคัญต่อบุคคลตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยชราคือสิ่งที่เรียกว่า

ครอบครัวคือระบบความสัมพันธ์

ในครอบครัว ไม่เพียงแต่สมาชิกในครอบครัวเท่านั้นที่มีความสำคัญ แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งสิ่งที่สำคัญต่อครอบครัว ไม่เพียงแต่โครงสร้างเท่านั้นแต่ยังรวมถึงองค์กรด้วยซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีที่สมาชิกโต้ตอบกัน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่สามารถศึกษาและตีความปรากฏการณ์ชีวิตครอบครัวเดียวว่าเป็นองค์ประกอบที่แยกจากกัน แต่จะสัมพันธ์กับระบบทั้งหมดของครอบครัวหนึ่ง ๆ เท่านั้น

สมาชิกในครอบครัวมักจะเชื่อมต่อถึงกันมาก พันธบัตรที่แข็งแกร่ง. การเชื่อมต่อเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าที่เห็นในแวบแรก อิทธิพลของครอบครัวเกิดขึ้นแม้หลังจากถูกกำจัดออกไป: บุคคลสามารถออกจากครอบครัวได้ แต่ระยะห่างนี้จะเป็นเพียง "ร่างกาย" ทางร่างกายเท่านั้น ในแง่จิตวิทยาและจิตวิญญาณ เขาจะไม่มีวันทิ้งครอบครัวที่เขามาจากมา จากมุมมองทางจิตสังคม บุคคลตลอดชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่เขามา รวมไปถึงครอบครัวที่เขาสร้างขึ้นเองด้วย สืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นนี้เรียกว่า โดยกำเนิด.

ลักษณะเด่นประการหนึ่งของครอบครัวในฐานะที่เป็นระบบคือความจริงที่ว่าการแต่งงานและชีวิตครอบครัวเป็นที่แน่ชัด ข้อ จำกัดเพื่อเสรีภาพของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคน แต่ในขณะเดียวกัน ครอบครัวก็มีหน้าที่รับผิดชอบต่อสมาชิกแต่ละคน เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็น "อิสระ" ในครอบครัวอย่างแน่นอนเนื่องจากสมาชิกมีปฏิสัมพันธ์ทางร่างกายสังคมและจิตใจอย่างต่อเนื่องพวกเขาพึ่งพาซึ่งกันและกันต้องการซึ่งกันและกัน ในขณะเดียวกัน ครอบครัวต้องจัดหาสมาชิกให้ก่อน พื้นที่ส่วนบุคคลที่ซึ่งพวกเขาจะรู้สึกสบายและสบาย ที่ซึ่งพวกเขาจะรู้สึกอิสระและสามารถผ่อนคลายและผ่อนคลาย และประการที่สอง มั่นใจในการรับความอบอุ่นทางอารมณ์ การป้องกันและการสนับสนุนโดยที่มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่จะเป็นผู้ใหญ่และพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคน

คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดอันดับสองของครอบครัวในฐานะระบบคือ พลวัตและ ความแปรปรวน. ครอบครัวโดยธรรมชาติไม่คงที่ การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัวคนใดคนหนึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อคนอื่นๆ ทั้งหมด ในทำนองเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทั้งครอบครัวโดยรวมจะส่งผลต่อสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวเป็นรายบุคคล หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือ เปลี่ยนบทบาทสมาชิกในครอบครัว.

บทบาทครอบครัว

ตามนิยามทางสังคมวิทยาว่า บทบาททางสังคมเป็นรูปแบบพฤติกรรมที่ผู้อื่นคาดหวังจากบุคคล แต่ละคนมีบทบาทหลายอย่างขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เขาอาศัยอยู่ จากมุมมองของสังคมวิทยา บทบาทแบ่งออกเป็น:

• เกี่ยวกับ "สถานภาพทางธรรมชาติ"(เพศ อายุ และโดยทั่วไปทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสาระสำคัญทางชีวภาพของบุคคล) และ
• ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ "สถานะที่ได้รับ"(เช่น อาชีพ การเป็นสมาชิกในสโมสร เป็นต้น)

เมื่อเข้าสู่การแต่งงาน แต่ละคนจะได้รับบทบาทใหม่ซึ่งมีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับบทบาทที่เขามีมาจนถึงปัจจุบัน บทบาทของลูกชายหรือลูกสาวที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับบ้านของพ่อแม่นั้นอ่อนแอลง เพราะลูกๆ โตแล้ว และตอนนี้ก็เป็นตัวของตัวเอง คู่สมรส. เมื่อคลอดลูกแล้วจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ บทบาทผู้ปกครองคู่สมรสทั้งสองซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตครอบครัวตามปกติ

ครอบครัวเป็นระบบที่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องก็ต่อเมื่อสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนรู้จักบทบาทของตนดีหรือเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามบทบาทที่คนอื่นคาดหวังจากเขา ในครอบครัวแบบ "ขยาย" ดั้งเดิม สมาชิกในครอบครัวที่อายุน้อยกว่าจะได้เรียนรู้ไม่เพียงแต่บทบาทของตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบทบาทของสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ อีกหลายคนด้วย

ทุกคนในครอบครัวได้รับ ตัวตน. เขารู้ว่าเขาเป็นใคร คนอื่นคาดหวังอะไรจากเขา เข้าใจสิ่งที่ตัวเขาเองต้องการได้รับจากผู้อื่น วิธีที่เขาจะได้รับการยอมรับเป็นอันดับแรกภายในครอบครัวของเขา และต่อจากนั้นในสังคม ครอบครัวควรรับหน้าที่หลัก การศึกษาและการขัดเกลาทางสังคม เด็ก. ในขณะเดียวกัน ในสภาพปัจจุบัน สถาบันทางสังคมอื่น ๆ - สื่อ โรงเรียนอนุบาล โรงเรียน ฯลฯ - ให้รูปแบบพฤติกรรมของตนเอง ตั้งแต่อายุยังน้อย เด็ก ๆ อาจได้รับอิทธิพลจากความคิดและความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่ต่างไปจากครอบครัวหนึ่งโดยเฉพาะ และถึงกระนั้น ไม่ว่าสังคมจะมีอิทธิพลต่อความคิดของบุคคลเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของเขาอย่างไร ในครอบครัวที่เด็กชายกำลังเตรียมที่จะเป็นชายและพ่อ และหญิงสาว - ผู้หญิงและแม่ แบบอย่างของผู้สูงอายุในครอบครัวที่ช่วยน้องให้ ระบุเพศและเรียนรู้ที่จะมีบทบาททางสังคมที่เหมาะสม

ในครอบครัวก็เหมือนกับสังคมกลุ่มอื่นๆ การพึ่งพาอาศัยกันตามบทบาทเช่น พ่อ-ลูก แม่-ลูกสาว ปู่-หลาน ถ้าไม่มีหลาน ก็ไม่มีปู่ และไม่มีลูกชายหรือลูกสาว คนๆ นั้นก็ไม่สามารถเล่นเป็นพ่อหรือแม่ได้

การกระจายบทบาทและความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมระหว่างสมาชิกในครอบครัวช่วยให้เธอทำงานได้ตามปกติ เป็นสิ่งสำคัญมากที่สมาชิกในครอบครัวแต่ละคนตระหนักดีถึงบทบาทของตนเอง บทบาทของผู้อื่น และพฤติกรรมของเขาที่สอดคล้องกับความรู้นี้ ไม่มีบทบาทใดที่สามารถแยกออกจากกันได้ บทบาททั้งหมดของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนเชื่อมโยงกับบทบาททั้งหมดที่สมาชิกคนอื่นเล่น ชัดเจนขึ้นขนาดไหน ขอบเขตของแต่ละบทบาทในความคิดของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ยิ่งผู้คนสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดความสับสนหรือพยายามตีความพฤติกรรมของบุคคลในครอบครัวผิด

การปฏิเสธหรือความสับสนในบทบาทมักนำไปสู่ปัญหาใหญ่ ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งมากมายระหว่างคู่สมรสเกิดจากการที่สมาชิกในครอบครัวอีกคนมีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ซึ่งอันที่จริงเป็นหน้าที่ร่วมกัน ความขัดแย้งในครอบครัวมีภูมิหลังในความจริงที่ว่าผู้คนไม่รู้ว่า - หรือไม่ต้องการ - แจกจ่ายบทบาทครอบครัวและปฏิบัติตนได้ดีอย่างไร

เกิดขึ้นตามกาลเวลา เปลี่ยนการรับรู้ของสังคม เกี่ยวกับบทบาทครอบครัวโดยเฉพาะบุคคลในช่วงชีวิตของเขามีการพัฒนาทางร่างกายจิตใจและสังคมเนื่องจากการที่สังคมของเขา บทบาทครอบครัวกำลังเปลี่ยนไป. นี่เป็นกระบวนการที่คาดหวังและเป็นธรรมชาติ ซึ่งอย่างไรก็ตาม เกี่ยวข้องกับปัญหาหลายประการและไม่ได้เป็นผลดีเสมอไป

นักปรัชญาและนักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน Max Horkheimer เขียนว่า: คุณแม่ยุคใหม่ที่สมบูรณ์แบบแผนการที่จะเลี้ยงลูกของเขาในทางที่เกือบจะเป็นวิทยาศาสตร์โดยเริ่มจากการรับประทานอาหารที่สมดุลอย่างเคร่งครัดและลงท้ายด้วยคำชมและการลงโทษที่กำหนดไว้และคำนวณอย่างเข้มงวดซึ่งหนังสือยอดนิยมทั้งหมดเกี่ยวกับจิตวิทยาแนะนำ พฤติกรรมของแม่ที่มีต่อลูกเริ่มมีเหตุมีผลมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้หญิงรับรู้ได้ การเป็นแม่เป็นอาชีพ. แม้แต่ความรักก็กลายเป็นเครื่องมือในการสอน ความเป็นธรรมชาติ การดูแลที่ไร้ขอบเขตตามธรรมชาติ และความอบอุ่นของมารดาที่มีต่อลูกหายไป

ครอบครัว "นิวเคลียร์" สมัยใหม่มอบหมายให้ผู้หญิงคนหนึ่ง - คู่สมรสและแม่ - บทบาทที่ซับซ้อนและยากจำนวนหนึ่งที่เธอไม่สามารถรับมือได้เพียงลำพัง ผู้ชาย - สามีและพ่อ - เริ่มมีส่วนร่วมในงานบ้านต่างๆ เป็นผลให้ขอบเขตระหว่างบทบาทของชายและหญิงใน แม่บ้านทำความสะอาดสังเกตเห็นได้น้อยลงแม้ว่าบทบาทนี้จะยังคงถือว่าเป็นผู้หญิงก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ในครอบครัวเมื่อพูดถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานบ้านควรมีความรับผิดชอบและความรักของผู้ชาย

ฉันต้องการที่จะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับ บทบาทพ่อในครอบครัวสมัยใหม่ ผู้ชายหลายคนเล่นบทบาทนี้ในลักษณะ "ที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน" ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น? ผู้ชายสามารถอุทิศตนทำงานมากเกินไปซึ่งเป็นผลมาจากการที่ครอบครัว "หลงทาง" หรือเขาไม่ชอบการพักผ่อนของครอบครัวพักผ่อนกับทั้งครอบครัว บางทีเขาอาจ "หนี" จากครอบครัวเพราะพฤติกรรมของภรรยา ปัญหาครอบครัวบางอย่างที่เขาแก้ไม่ได้หรือไม่อยากแก้ไข เป็นต้น บางครั้งผู้ชายยังเป็นเด็ก เขาก็ยังถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวผู้ปกครอง ขึ้นอยู่กับเธอ และไม่มีเอกราช สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ดีอาจกลายเป็นเหตุผลหรือเหตุผลสำหรับความปรารถนาของผู้ชายที่จะอยู่ห่างจากบ้าน เกี่ยวกับเวลาส่วนใหญ่ของเขาและด้วยเหตุนี้เขาจึงล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว

ในบางกรณี สมาชิกในครอบครัวไม่ได้มีบทบาทในทางทฤษฎีที่ควรจะเป็น, แต่พวกที่บังคับให้เล่นตามสถานการณ์(เช่น งานของเด็กเล็ก บทบาทพ่อแม่ของปู่ย่าตายาย ฯลฯ) เมื่อส่วนหนึ่งของบทบาทผู้ปกครองถูกโอนไปยังเด็กคนใดคนหนึ่งในครอบครัว สิ่งนี้สามารถเป็นทั้งความช่วยเหลือที่จำเป็นต่อครอบครัวในบางสถานการณ์และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทางจิตครั้งใหญ่ระหว่างเด็กคนนี้กับพี่น้องของเขา เด็กที่ “แสดงเป็นพ่อหรือแม่” จะต้องเอาชนะความอิจฉา ไม่เต็มใจที่จะเชื่อฟัง และบางครั้งก็เกลียดชังลูกคนอื่น ...

ปัญหาอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการพลิกกลับบทบาทหรือความสับสนคือ การสื่อสารกับผู้สูงอายุในครอบครัว. การสื่อสารระหว่างหลานกับปู่ย่าตายายเป็นสิ่งที่จำเป็นและน่ายินดีของความสัมพันธ์ในครอบครัว ในขณะเดียวกัน การสื่อสารระหว่างสมาชิกในครอบครัวที่มีอายุมากกว่ากับคู่สมรสหนุ่มสาวมักจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งและความขัดแย้ง

ปู่ย่าตายายในฐานะสมาชิกคนโตของครอบครัวปัจจุบัน สถานที่อันทรงเกียรติ แม้จะไม่ใช่สถานที่ที่สำคัญที่สุดในลำดับชั้นของครอบครัว และบ่อยครั้งที่สมาชิกในครอบครัวตีความว่าพฤติกรรมของพวกเขาไม่เพียงพอและทำให้ลูกๆ รู้สึกสับสนหรือรำคาญ ส่วนใหญ่มักจะอยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าวและปฏิกิริยาที่คล้ายกันหนึ่งร้อย และอีกครั้งที่สมาชิกในครอบครัวแต่ละคนไม่สามารถแจกจ่ายบทบาทครอบครัวได้อย่างถูกต้องหรือรับรู้และปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในบทบาทของตนได้ทันเวลา

ปัญหาหนึ่งของการเปลี่ยนบทบาทในครอบครัวคือปัญหาที่เรียกว่า "ช่องว่างระหว่างวัย". ในความหมายที่กว้างที่สุดและเก่าแก่ที่สุด มันแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ชั่วนิรันดร์ระหว่างของเก่ากับของใหม่ เป็นเรื่องปกติที่จะคาดหวังว่าเด็กจะมีความคิดของตนเองเกี่ยวกับโลกและสถานที่ในสังคม ซึ่งแตกต่างจากความคิดเห็นของผู้ใหญ่ บางทีความขัดแย้งนี้อาจเรียกได้ว่าไม่ใช่ "การปะทะกันของบทบาท" แต่ "มุมมองขัดแย้ง"ได้ในทุกรุ่น พ่อแม่และลูก ๆ มองโลก "จากหอระฆังที่แตกต่างกัน":

ผู้ปกครอง	เด็ก
1. อนุรักษ์นิยมมากขึ้น	1. เปิดรับทุกสิ่งใหม่
2. รักษาประเพณี	2. ตั้งต้นขัดกับประเพณี
3. กังวลเกี่ยวกับอนาคตของลูกๆ	3. พวกเขาสนใจในปัจจุบัน
4. ผู้พิทักษ์ศีลธรรมตามประเพณี	4. พิจารณาคุณธรรมใด ๆ ที่เป็นไปได้สำหรับตนเอง
5. ไม่ไว้วางใจมากขึ้น	5. ความไว้วางใจ
6. พวกเขาต้องการความปลอดภัยก่อน	6. พวกเขาสนใจการผจญภัยและความเสี่ยง
7. มุ่งมั่นเพื่อความสงบและเงียบสงบ	7. ชอบเสียงดัง
8. เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต	8. พร้อมรับประสบการณ์ใหม่ๆ
9. ดูแลความเรียบร้อย ฯลฯ	9. ความไม่ประมาทและความประมาทต่างกัน
10. จำกัดตัวเองให้อยู่ในค่านิยมทางศาสนา	10. มีลักษณะเฉพาะด้วยเสรีภาพและความประมาทเลินเล่อ
11. กังวลว่า "สังคมจะว่าอย่างไร"	11. พวกเขาไม่สนใจการควบคุมทางสังคม
12. สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ “ผลประโยชน์ของครอบครัว” แม้ว่าจะไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างตรงไปตรงมาก็ตาม	12. ไม่ยอมรับการกระทำที่เสื่อมเสียชื่อเสียง

หนึ่งใน ภารกิจแต่ละ ครอบครัว- ช่วยเหลือเด็ก ตั้งเป้าหมายในชีวิตและสอนพวกเขาให้ยืนหยัดในการบรรลุผลสำเร็จ พ่อแม่ที่ไม่ยอมให้อะไรแก่ลูกนอกจากเงินและความสุข สร้างความยิ่งใหญ่ในตัวพวกเขา ความว่างเปล่าทางจิตใจอันตรายอย่างยิ่งในวัยรุ่นและหลังวัยรุ่น

ความสัมพันธ์ในครอบครัวและครอบครัวในอุดมคติควรเป็นอย่างไร? คำถามไม่ยาก มีคำตอบที่ไม่ซับซ้อน ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจว่าแนวคิดเรื่องครอบครัวหมายถึงบางสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว สามัคคี แต่ไม่แยกจากกัน จะไม่มีครอบครัวอีกต่อไปหากผู้คนไม่ต้องการใกล้ชิดกันในที่สุด รวมที่อยู่อาศัย ความสนใจ และสิ่งอื่น ๆ ที่เคยเป็นของพวกเขาเท่านั้น

จิตวิทยาความสัมพันธ์ในครอบครัวและครอบครัวนั้นค่อนข้างง่าย เพื่อให้ความเข้าใจซึ่งกันและกันและความรักพัฒนาได้สำเร็จ ผู้คนต้องปฏิบัติตามกฎต่อไปนี้:

• การแสดงความสนใจซึ่งกันและกันเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด มีความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่จะเข้าใจที่นี่ หากคุณสนใจในชีวิตของบุคคล เขาจะติดต่อคุณอย่างแน่นอน หากเหตุการณ์ดำเนินไปในลักษณะตรงกันข้าม จะเป็นการยากที่จะวางใจในบางสิ่งที่มากกว่าการพรากจากกันหลังจากช่วงเวลาหนึ่ง
• การดูแลเอาใจใส่และความรักเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดอันดับสองในการสร้างครอบครัวที่เป็นมิตรซึ่งความสามัคคีเท่านั้นที่จะครองราชย์เสมอ คุณสามารถมั่นใจได้ว่าครอบครัวจะเข้มแข็งและแยกจากกันไม่ได้หากตรงตามเงื่อนไขง่ายๆ
• ความไว้วางใจในครอบครัวมีบทบาทสำคัญเพราะอย่างที่ทุกคนรู้หากไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นจะไม่มีอะไรจบลงโดยไม่สูญเสีย ครอบครัวจะเจริญรุ่งเรืองก็ต่อเมื่อคุณไว้วางใจคำพูดและการกระทำทั้งหมดของคนที่คุณรัก การมอบเรื่องสำคัญให้ภรรยาหรือสามีช่วยเสริมสร้างความรู้สึกเหล่านี้และทำให้ครอบครัวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น

การเลี้ยงลูก

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าหาการเลี้ยงดูเด็กอย่างระมัดระวังและครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการที่ทารกจะกลายเป็นและคนแบบไหนที่จะเติบโตจากมัน

หากคุณมีครอบครัวที่ประสบความสำเร็จและดี ความสัมพันธ์ในครอบครัว การเลี้ยงลูก มันจะง่ายและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น มันสำคัญมากที่ความเข้าใจซึ่งกันและกันและความรักจะครอบงำในครอบครัวเอง แล้วลูกในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข ในท้ายที่สุดเขาจะประสบความสำเร็จเมื่อชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของเขาเริ่มต้นขึ้น

ในครอบครัวที่เด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมของการรุกรานและความชั่วร้าย ผู้คนมักจะเติบโตขึ้นมาซึ่งไม่ปรับตัวเข้ากับชีวิต เริ่มต้นจากโรงเรียนพวกเขาไม่ได้มุ่งมั่นเพื่อสิ่งที่ดีกว่าพวกเขาทำหน้าที่เป็นคนที่ไม่สนใจทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา สิ่งสำคัญคือต้องให้เด็กมีวัยเด็กที่มีความสุขเพื่อที่เขาจะได้พัฒนาและมีความสุข

การสร้างครอบครัวและผลที่ตามมา

หากคุณต้องการมีครอบครัว คุณเพียงแค่ต้องรู้ลักษณะของความสัมพันธ์ในครอบครัว ตัวอย่างเช่น คุณควรเข้าใจว่ามีความรับผิดชอบใหม่ที่จะตกอยู่บนบ่าของคุณ ตอนนี้ทุกสิ่งที่คุณจะทำจะนำไปสู่การพัฒนาครอบครัวที่อายุน้อยของคุณ

การละเมิดความสัมพันธ์ในครอบครัวในครอบครัว

เมื่อคุณมีลูก สิ่งต่างๆ จะยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก หากคุณเป็นผู้ชาย คุณจะต้องให้การสนับสนุนทางการเงินแก่คนที่คุณรัก และถ้าคุณเป็นผู้หญิง คุณจะต้องดูแลผู้ชายและลูกของคุณ

ประเภทของความสัมพันธ์ในครอบครัว

ครอบครัวและความสัมพันธ์ในครอบครัวมีหลายประเภท หากคุณระบุ มีประเด็นสำคัญหลายประการที่ควรให้ความสนใจ:

• ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ผู้คนรักกัน ในกรณีนี้สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าทุกอย่างจะออกมาดีสิ่งสำคัญคือไม่เร่งรีบ หากทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ คุณสามารถวางใจได้ในครอบครัวที่เข้มแข็ง ซึ่งจะมีเพียงความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และความเคารพซึ่งกันและกัน
• ความสัมพันธ์ที่ปราศจากความรัก ในกรณีนี้ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าไม่มีความรู้สึกในเวลาที่เหมาะสม ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะไม่มีวันจบลงด้วยสิ่งดีๆ ท้ายที่สุดจะมีการหย่าร้างอยู่เสมอ นี่เป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องจำไว้

การศึกษาความสัมพันธ์ในครอบครัวและความสัมพันธ์ในครอบครัวทำให้เห็นชัดเจนว่าเพื่อความสุข จำเป็นที่ผู้คนจะต้องไว้วางใจซึ่งกันและกันให้มากที่สุดและช่วยเหลือในยามยากลำบากด้วย

และการละเมิดความสัมพันธ์ในครอบครัวในครอบครัวนำไปสู่อะไร? ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจว่าการแยกทางและการหย่าร้างจะตามมา การปฏิบัติตามกฎหลักเป็นสิ่งสำคัญเสมอ เคารพคนที่คุณรักและพยายามช่วยเหลือเขา

ที่สำคัญคุณต้องจริงใจต่อกัน การโกงเป็นสิ่งที่มักเกิดขึ้นในหลายครอบครัว หากคุณไม่ซื่อสัตย์ต่อคนที่คุณรัก คุณอาจไม่นับความสุขด้วยซ้ำ มันจะเป็นไปไม่ได้เลย

การแต่งงานสมัยใหม่จบลงด้วยการหย่าร้างมากขึ้น นี่เป็นเพราะไม่เพียง แต่ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเท่านั้นด้วยการที่ครอบครัวไม่สามารถอยู่รอดได้: เด็กผู้หญิงสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้และผู้ชายสามารถจัดการชีวิตส่วนตัวของเขาได้ การเกิดของลูกนอกสมรสหรือครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์จะไม่ถูกประณามจากสังคมอีกต่อไป และขั้นตอนการหย่าร้างก็ง่ายกว่าที่เคย ดังนั้นจิตวิทยาความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นศาสตร์ที่พิจารณาถึงปัญหาของครอบครัวตลอดจนวิธีการรักษาไว้จึงมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษ

ขั้นตอนการพัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างสามีภริยา

ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ใช่สถานะคงที่ แต่เป็นกระบวนการที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง วิกฤต ความขัดแย้ง เป็นองค์ประกอบเดียวกับความรักหรือความเคารพ การพัฒนาใด ๆ คิดไม่ถึงโดยไม่ละทิ้งรูปแบบและกฎเกณฑ์เก่า ๆ ดังนั้นคู่สมรสจึงต้องพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง คู่รักทุกคู่ต้องผ่านหลายขั้นตอนของความสัมพันธ์ ซึ่งแต่ละช่วงระยะเวลาหลายเดือนหรือหลายปี:

1. ตกหลุมรักหรือช่วง "ช่อลูกกวาด" นี่เป็นช่วงเวลาที่ผู้ชายและผู้หญิงพยายามที่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน และอยู่ภายใต้อิทธิพลของความหลงใหล มีแนวโน้มที่จะทำให้เป็นอุดมคติ มีความคาดหวังสูงสำหรับชีวิตครอบครัว ข้อบกพร่องของครึ่งหลังนั้นไม่สังเกตเห็นเลยหรือถูกมองว่าลำเอียง มีบทบาทสำคัญในข้อมูลภายนอก พฤติกรรม สถานะทางสังคมของพันธมิตร
2. ความเคยชินหรือการทับถม ทั้งคู่อยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วและลำดับความสำคัญคุณค่าชีวิตและความสนใจของแต่ละคนก็มาก่อน ความไม่ลงรอยกันในเรื่องเหล่านี้ทำให้ทั้งสองอยู่ในตำแหน่งที่ต้องเผชิญหน้า การทะเลาะวิวาท และความขัดแย้ง ซึ่งมักเป็นคู่หูในความสัมพันธ์ หากชายหรือหญิงไม่สามารถยอมรับและเข้าใจกันได้ การหย่าร้างเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
3. ประนีประนอม หากทั้งคู่เอาชนะขั้นตอนก่อนหน้านี้ได้สำเร็จ ก็ถึงเวลาสำหรับความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ยั่งยืนแล้ว สิ่งนี้ไม่ได้รับประกันความพึงพอใจสำหรับทั้งคู่เสมอไปเพราะ การประนีประนอมในครอบครัวทำได้หลายวิธี (ความเท่าเทียมกัน การยอมจำนน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกดดัน ฯลฯ) - คู่สมรสแต่ละคนเลือกและเล่นบทบาทของตนเองซึ่งเหมาะกับทุกคนในระดับหนึ่งหรืออย่างอื่น
4. ธรรมดาและเป็นกิจวัตร ความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อยๆสูญเสียความหลงใหลกลายเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ ความเบื่อหน่ายในการสื่อสารนั้นอันตรายพอๆ กับอารมณ์ระเบิดในครั้งก่อน คู่สมรสเบื่อหน่ายกันสูญเสียความหมายในความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ต่อเนื่องเริ่มมองหาการผจญภัยด้านข้าง
5. ครอบครัวที่เป็นผู้ใหญ่ หากชายและหญิงสามารถเอาชนะ 4 ระดับแรกได้สำเร็จ ก็ถึงเวลาสำหรับความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ใส่ใจซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรักเสมอไป บ่อยครั้งที่การประสานความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นการเคารพซึ่งกันและกัน ประสบการณ์ของการเอาชนะปัญหาร่วมกัน ผลประโยชน์ร่วมกัน (รวมถึงสิ่งที่เป็นวัตถุ) และความกลัวต่อความเหงา

วิกฤติในครอบครัว

วิกฤตชีวิตครอบครัวเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความสัมพันธ์รอบใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องกลัวเรื่องนี้ แต่ควรเตรียมตัว เรียนรู้ที่จะยอมจำนน และรับผิดชอบหากมีเป้าหมายที่จะช่วยครอบครัว ผู้เชี่ยวชาญแยกแยะความสัมพันธ์ในครอบครัวหลายช่วงเวลา:

• ปีแรกของชีวิตครอบครัวคือการก่อตัวและการสร้างขอบเขตภายในและภายนอกของครอบครัว การบดบังตัวละครและนิสัยของชายและหญิง
• จากปีที่ 3 ถึงปีที่ 5 - ตามกฎแล้วในเวลานี้เด็กคนแรกจะปรากฏขึ้นปัญหาที่อยู่อาศัยได้รับการแก้ไขแล้วได้มาซึ่งทรัพย์สินราคาแพงร่วมกัน มีการแจกจ่ายบทบาท (คู่สมรส - พ่อแม่) หน้าที่และความรับผิดชอบใหม่ปรากฏขึ้น การตกหลุมรักพัฒนาเป็นมิตรภาพหรือนิสัย
• จากปีที่ 7 ถึงปีที่ 9 - เด็ก ๆ โตขึ้นทุกอย่าง "สงบลง" มีความเหนื่อยล้าจากกันและกัน ความเต็มอิ่มในเพศและนิสัยร่วม ความรู้สึกของชีวิตประจำวันและการสื่อสาร ความผิดหวังในความคาดหวังที่ยังไม่ได้ตระหนัก
• ตั้งแต่ปีที่ 15 ถึงปีที่ 20 เด็ก ๆ เติบโตขึ้นและถูกแยกออกจากครอบครัวผู้ปกครองอาชีพนี้ถึงจุดสูงสุด มีความรู้สึกว่าทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปแล้วไม่ชัดเจนว่าจะไปที่ไหนต่อไป ช่วงเวลานี้มักเกิดขึ้นพร้อมกับวิกฤตวัยกลางคนในชายหรือหญิง (อายุ 40 ปี) ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่อไป

การล่วงประเวณี (ทำไมคู่สมรสถึงนอกใจกัน)

การนอกใจสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงของความสัมพันธ์ในครอบครัว ในบางครั้ง เหตุผลของความสนุกสนานของผู้ชายคือการดึงดูดทางกายภาพซ้ำๆ รวมกับหลักการทางศีลธรรมที่ต่ำ อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการทรยศมักจะเป็นปัจจัยต่างๆ เช่น:

• ความไม่พอใจทางเพศหรือความเบื่อหน่ายบนเตียง
• ความสงสัยในตนเองจำเป็นต้องรับรู้ถึงความน่าดึงดูดใจในสายตาของเพศตรงข้าม
• ขาดความใกล้ชิดทางวิญญาณ ความเหงาทางจิต เมื่อ "ไม่มีใครคุยด้วย";
• การละเมิดพื้นที่ส่วนบุคคลจำเป็นต้องรู้สึกอิสระ
• สถานการณ์ตึงเครียดในครอบครัว ความจำเป็นในการผ่อนคลายทางจิตใจ ความจำเป็นในการคลายความเครียด
• ต้องการความคุ้มครอง: ครอบครัวไม่อยู่ข้างหลัง หุ้นส่วนคนหนึ่งไม่รู้สึกมั่นคง (ในเงินหรือความรู้สึก) และพยายามหาทางด้านข้าง

หากบุคคลได้รับทุกสิ่งที่จำเป็นในความสัมพันธ์ในครอบครัว (ความรัก ความเคารพ ความพึงพอใจทางเพศ การยอมรับ ความเข้าใจ การดูแล การพักผ่อนทางร่างกายและศีลธรรม ความมั่นคง) ความปรารถนาที่จะมองหาใครสักคนจะไม่เกิดขึ้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะให้อภัยการทรยศหักหลังได้ แต่การพยายามป้องกันไม่ให้เหตุการณ์พลิกผันเป็นหน้าที่ของทั้งคู่

จะสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้อย่างไร?

ครอบครัวที่เข้มแข็งเป็นงานของชายและหญิงเสมอ เพราะเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่ไว้วางใจและรักษาชีวิตแต่งงานเป็นเวลาหลายปี ความรักเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ความเคารพและความสามารถในการประนีประนอมเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสุขในครอบครัว เคล็ดลับอีกประการของจิตวิทยาแห่งความสัมพันธ์ที่มีความสุขคือคุณไม่ควรพยายามหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทกันในครอบครัว เพราะสิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เป็นการดีกว่าที่จะเรียนรู้วิธีแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาความสัมพันธ์ในครอบครัวให้คำแนะนำต่อไปนี้สำหรับผู้ที่ต้องการช่วยครอบครัว:

• แสดงความรักของคุณให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ถ้าไม่ใช่ด้วยคำพูดก็ด้วยการกระทำ)
• อย่าพยายามสร้างเนื้อคู่ของคุณใหม่ - นี่คือความกดดันที่จะไม่ช้าก็เร็วที่จะกลายเป็นศัตรู
• อย่าเปรียบเทียบคู่สมรสของคุณกับใคร - แต่ละคนเป็นรายบุคคล
• อย่าเงียบเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคุณ (ครึ่งหนึ่งของคุณมักจะไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในหัวของคุณและเกมแห่งความเงียบคือทางตัน)

หากเป็นการทะเลาะกันนักจิตวิทยาแนะนำให้จำไว้ว่า:

• ไม่จำเป็นต้องสรุปและระลึกถึงความคับข้องใจเก่า ๆ
• พูดเฉพาะสิ่งที่คุณจะพูด (ระบุ);
• ยับยั้งอารมณ์ (จำคำพูดที่น่ารังเกียจที่พูดอย่างเร่งรีบเป็นเวลานาน);
• รู้วิธีที่จะให้อภัย

วิดีโอ: เหตุใดความขัดแย้งจึงปรากฏในการแต่งงาน

การทำความเข้าใจจิตวิทยาเกี่ยวกับความขัดแย้งในครอบครัวเป็นก้าวแรกสู่การแก้ปัญหา หลังจากดูวิดีโอนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดเบื้องต้นทางจิตวิทยาสำหรับปัญหาในครอบครัว มุมมองและคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจะบอกคุณถึงวิธีทำความเข้าใจคู่ครองในช่วงวิกฤต สิ่งที่ต้องทำเพื่อเอาชนะความขัดแย้งในความสัมพันธ์ในครอบครัวได้สำเร็จ