พระคัมภีร์เป็นภรรยาที่คู่ควร เป็นรางวัลสำหรับสามี พระคัมภีร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับสามีภรรยา

โชคไม่ดีที่ครอบครัวรัสเซียสมัยใหม่ไม่มั่นคงและความสัมพันธ์สมัยใหม่ระหว่างชายหญิงชาวรัสเซียกำลังมีปัญหาใหญ่หลวงที่เกิดจากการละเมิด หลักการแห่งความสุขในครอบครัวที่กล่าวไว้ด้านล่างนี้.

การปฏิบัติแสดงให้เห็นว่า "รัก" คำเดียวไม่เพียงพอสำหรับการหาความสุขในครอบครัว สร้างความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาและสร้างครอบครัวที่เข้มแข็งไปตลอดชีวิต เพราะ ตามกฎแล้วหลายคนเข้าใจและกำหนดแนวคิดของ "ความรัก" แตกต่างกัน ความหมายโดยความรักแตกต่างกัน บางครั้งก็ตรงกันข้ามกับหลักการและคำจำกัดความของชีวิต. และเมื่อแต่งงานแล้วพวกเขาพบกับความขัดแย้งในหลักการชีวิตที่เข้ากันไม่ได้ พวกเขาทะเลาะกันและหย่าร้าง จากนั้นพวกเขาก็กลับมาพบกันอีกครั้งและแยกจากกันเพราะ "พวกเขาเหยียบคราดเดียวกัน" และการเลิกราแต่ละครั้ง หลายคนเริ่มไม่ไว้ใจเพศตรงข้ามมากขึ้น และคนรัสเซียยุคใหม่หลายคนก็ผิดหวังในเพศตรงข้าม และสิ่งนี้เขียนขึ้นเพื่อช่วยคุณให้รอดพ้นจากชะตากรรมเดียวกัน หลังจากนั้นครอบครัวอื่น ๆ ก็สร้างขึ้น ในหลักการอื่นที่ตรงกันข้ามกลายเป็นความมั่นคงและมีความสุข- ผัวเมียอยู่กินกันจนแก่ มีความสุข รักใคร่กลมเกลียว!

ผู้ชายที่รัก! เพื่อให้เข้าใจบทความได้ดีขึ้น ให้เริ่มอ่านจากคอลัมน์ด้านซ้าย "สำหรับผู้ชาย" และข้ามคอลัมน์ด้านขวา "สำหรับผู้หญิง" เพราะไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อเรา ไม่งั้นจะไม่เข้าใจอะไรเลย

ผู้หญิงที่น่ารัก! เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นของบทความ ให้เริ่มอ่านจากคอลัมน์ด้านขวา "สำหรับผู้หญิง" และข้ามคอลัมน์ด้านซ้าย "สำหรับผู้ชาย" เพราะไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อคุณ!!! มิฉะนั้นคุณจะไม่เข้าใจอะไรเลย !!!

เพื่อความสุขของบุรุษ ผู้ชายที่เคารพตนเองทุกคนต้องการสิ่งต่อไปนี้จากภรรยา: ด้านที่ใกล้ชิดของการแต่งงานเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุดสำหรับผู้ชาย. ผู้หญิงที่เข้าใจความจริงง่ายๆ นี้มีครอบครัวที่เข้มแข็ง และการหย่าร้างก็ไม่เหมาะกับพวกเธอ แต่ผู้หญิงที่ปฏิเสธความใกล้ชิดของสามี (ด้วยเหตุผลใดก็ตาม - "เหนื่อย" "ปวดหัว" ฯลฯ) ด้วยเหตุนี้จึงทำลายชีวิตสมรสและผลักดันให้สามีมองหาภรรยาใหม่ที่เข้าใจว่าผู้หญิงถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศของเธอ สามีซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักและจุดประสงค์ของผู้หญิงดังนั้น ศาสนาที่สอนว่าการมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นบาปไม่เหมาะสำหรับผู้ชายที่เคารพตนเอง ศาสนาที่ถูกต้องควรสอนว่าเซ็กส์เป็นของขวัญจากพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์สอน:“จงชื่นชมยินดีในภรรยาในวัยหนุ่มของเจ้า ให้อกของเธอทำให้คุณเมาตลอดเวลา จงชื่นชมยินดีในความรักของเธออยู่เสมอ” (พระคัมภีร์ สุภาษิต 5:18-19) "สามีไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อภรรยา แต่ภรรยาถูกสร้างขึ้นเพื่อสามี"(พระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 11:9) พระคัมภีร์ไม่ได้สอนลัทธิสงฆ์ ดังนั้นในศตวรรษที่ 16 ในยุโรปเหนือ อารามต่างๆ จึงถูกปิดหลังจากโปรเตสแตนต์ - คริสเตียนในพระคัมภีร์ไบเบิลเข้ามามีอำนาจ มีอำนาจเหนือภรรยา ผู้หญิงสมัยใหม่ตกลงที่จะเชื่อฟังเจ้านายของเธอในที่ทำงานอย่างอ่อนโยน, เช่น. ต่อชายผู้ไม่รักเธอ ผู้หยาบคายกับเธอ ผู้ไม่ประณามเธอ ผู้ออกคำสั่งที่เธอไม่อาจปฏิบัติได้และวางภาระที่เธอแบกรับไว้ไม่ได้และวางเธอไว้ สภาพการทำงานที่ยากลำบากเหลือทน และยิงเธอทิ้งบนถนนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม และถึงกระนั้นก็ตาม สตรีนิยมจำไว้ว่าเชื่อฟังเจ้านายในที่ทำงาน. และการเป็นทาสขององค์กรนี้ไม่ถือว่าสตรีนิยมเป็นการกดขี่ผู้หญิง! เนื่องจากแม้แต่ผู้หญิงสมัยใหม่ก็สามารถจำใจยอมจำนนต่อเจ้านายที่ไม่รักเธอในที่ทำงาน ยิ่งไปกว่านั้น เธอจะสามารถเชื่อฟังสามีที่รักของเธอที่บ้านได้. ดังนั้น คัมภีร์ไบเบิลจึงไม่ต้องการสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จากผู้หญิง ในเมื่อเพื่อรักษาครอบครัวและเลี้ยงดูลูกอย่างดี เธอสอนให้เธอเชื่อฟังสามี: "ภรรยา จงเชื่อฟังสามีเหมือนเชื่อฟังพระเจ้า เพราะสามีเป็นหัวหน้า ของภรรยา" (พระคัมภีร์เอเฟซัส 5:22-23) พระเจ้า "ตรัสกับภรรยาว่า: เราจะทวีความโศกเศร้าในครรภ์ของคุณทวีคูณ เมื่อเจ็บป่วยคุณจะให้กำเนิดลูก และความดึงดูดใจของคุณที่มีต่อสามีและเขา จะปกครองเจ้า" (ปฐมกาล 3:16) “จงให้ภรรยาเรียนรู้อย่างเงียบ ๆ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนทั้งหมด แต่ฉันไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสอนหรือปกครองสามีของเธอ แต่ให้อยู่ในความเงียบ เพราะอาดัมถูกสร้างขึ้นครั้งแรก และจากนั้นอีฟ และอาดัมไม่ได้ถูกหลอก แต่ผู้หญิงนั้นถูกหลอกลวงและตกไปในอาชญากรรม" (1 ทิโมธี 2:11-14) ดังนั้น ตำแหน่งผู้นำในทุกที่ - ในรัฐ ธุรกิจ ครอบครัว - ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากงานเป็นผู้นำต้องใช้ ความคิดวิเคราะห์และความสงบซึ่งผู้หญิงไม่มี ผู้หญิงที่ใช่ต้องยอม ผัวเป็นนายบ้าน! ผู้ชายจะรังเกียจเมื่อภรรยาไม่เชื่อฟังเขา และน่ารังเกียจยิ่งกว่าเมื่อผู้หญิงพยายามยึดอำนาจเหนือเขา การเชื่อฟังผู้หญิงเป็นเรื่องน่าละอายและดูถูกเหยียดหยามสำหรับผู้ชาย ภรรยาที่ดื้อรั้นควรถูกไล่ออก ความซื่อสัตย์ของภรรยาต่อสามี. คัมภีร์ไบเบิลกำหนดโทษประหารชีวิตสำหรับกรณีที่ภรรยาไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี: “ถ้าพบใครก็ตามที่สมสู่กับภรรยาที่แต่งงานแล้ว ต้องถูกประหารชีวิตทั้งคู่ คือทั้งชายที่สมสู่กับหญิงและหญิง และจงทำลายความชั่วร้ายเสีย ” (พระคัมภีร์เฉลยธรรมบัญญัติ 22:22) ภรรยาควรสงบเสงี่ยม รักใคร่ อ่อนโยน. เธอไม่ควรตะคอกใส่สามี วิจารณ์เขา ดุเขา "จู้จี้" หรือกระทำการใดๆ ที่ทำร้ายความรู้สึกของเขาหรือตั้งคำถามต่ออำนาจของเขาในฐานะหัวหน้าครอบครัว “ภรรยาที่ชอบทะเลาะวิวาทเป็นท่อระบายน้ำ” (พระคัมภีร์ สุภาษิต 19:13) "อยู่ในดินแดนทุรกันดารดีกว่าอยู่กับภรรยาที่ขี้ทะเลาะและขี้โมโห" (สุภาษิต 21:19) ผู้หญิงที่ดี "อ้าปากของเธอด้วยสติปัญญา และคำสั่งสอนอ่อนโยนอยู่ในลิ้นของเธอ" (สุภาษิต 31:26) สิทธิหย่าเป็นของสามีเท่านั้นไม่ใช่ของภรรยา. “ภรรยาจะไม่หย่ากับสามี” (พระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 7:10) หากการหย่าร้างเกิดขึ้น การหย่าร้างทำให้ภรรยาไม่มีสิทธิ์ที่จะปล้นสามีของเธอ ดังเช่นที่เกิดขึ้นภายใต้ระบอบการปกครองแบบสตรีนิยมในรัสเซียในปัจจุบัน. “ถ้าใครมีภรรยาและได้เป็นสามีของเธอ และเธอไม่เป็นที่โปรดปรานในสายตาของเขา เพราะเขาเห็นว่ามีสิ่งที่ตรงกันข้ามในตัวเธอ จึงเขียนหนังสือหย่ากับเธอ มอบให้เธอ และปล่อยเธอไปจากเขา บ้าน” (พระคัมภีร์ เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1) การหย่าร้างมีความคล้ายคลึงกับการถูกไล่ออกโดยที่ลูกและทรัพย์สินของสามียังคงอยู่กับสามี. เมื่อลูกถูกพรากจากพ่อระหว่างการหย่าร้าง นี่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงต่อความเป็นพ่อ และเมื่อผู้พิพากษาและภรรยาเรียกค่าเลี้ยงดูจากเหยื่อ (พ่อ) ด้วย นี่จึงเป็นความชั่วร้ายที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่สมควรได้รับไฟแห่งการสืบสวน ด้วยความชั่วร้ายที่โจ่งแจ้งนี้ สตรีนิยมกำลังกัดกร่อนสถาบันความเป็นพ่อในรัสเซีย พ่อธรรมดาทุกคนต้องการเห็นลูก ๆ ของเขามีค่าควรเป็นผู้สืบทอดแบบของเขาบนโลกและมักจะเป็นธุรกิจของตัวเอง เด็กเหล่านี้เป็นของขวัญจากพระเจ้า เด็ก ๆ ต้องเรียนรู้ที่จะเคารพผู้อาวุโสและยอมรับอำนาจของบิดา บิดาซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวควรเลี้ยงดูบุตร ส่งเสริมความดีและลงโทษความชั่ว “บิดาทั้งหลาย อย่ายั่วยุบุตรของตน แต่จงเลี้ยงดูเขาด้วยคำสอนและการตักเตือนของพระเจ้า” (เอเฟซัส 6:4) "จงลงโทษบุตรชายของเจ้าตราบเท่าที่ยังมีความหวัง และอย่าขุ่นเคืองต่อเสียงร้องของเขา ปล่อยให้ผู้โกรธเกรี้ยวรับโทษ เพราะถ้าเจ้าไว้ชีวิตเขา เจ้าจะต้องลงโทษเขามากยิ่งขึ้น" (สุภาษิต 19:18-19) รองรับในวัยชรา ผู้ชาย! คุณชอบหลักการเหล่านี้หรือไม่? พวกเขาตรงกับความทะเยอทะยานของคุณหรือไม่? คุณต้องการภรรยาที่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดหรือไม่? ถ้าอย่างนั้น เรามาดูส่วนที่ใช้งานได้จริงกันดีกว่า - จะหาภรรยาในอุดมคติได้ที่ไหน วิธีเลี้ยงดูเธอให้เป็นที่พึงปรารถนา

เพื่อความสุขของผู้หญิง สำหรับคำถามเชิงโวหาร "ผู้หญิงต้องการอะไร" ซี. ฟรอยด์ไม่สามารถตอบได้ เพราะความพยายามที่จะตอบเขานั้นซับซ้อนเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้หญิงสามารถเปลี่ยนใจเป็นตรงกันข้ามได้ในเสี้ยววินาที แต่ถึงแม้จะมีปัญหาเหล่านี้ ตามผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดล่าสุด คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า "จริงๆ แล้วผู้หญิงต้องการอะไร" ในการประมาณทางสรีรวิทยาครั้งแรกมีลักษณะดังนี้: สามีควรดูแลภรรยา. “สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาของตน และอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง” (ไบเบิล, โคโลสี 3:19) "ผู้เป็นสามี จงรักภรรยาของตน เช่นเดียวกับที่พระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักรและทรงสละพระองค์เองเพื่อนาง... ดังนั้น สามีจึงควรรักภรรยาเหมือนร่างกาย ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง... ดังนั้น พวกท่านแต่ละคนจงรัก ภรรยาของเขาก็เหมือนตัวเขาเอง” (พระคัมภีร์ เอเฟซัส 5:25, 28, 33) เมื่อผู้หญิงแต่งงาน ตั้งท้อง เธอหมดหนทาง ดังนั้นสามีจึงต้องดูแลภรรยาและลูกของเขา สร้างครอบครัวที่เข้มแข็งไปตลอดชีวิตจนกว่าชีวิตคู่จะพรากจากกันโดยไม่ต้องเสี่ยงหย่าร้าง ไม่มีเพศสัมพันธ์ 1-2 คืน ความมั่นคง ความน่าเชื่อถือจากสามีของเธอ ดังนั้นผู้หญิงที่เคารพตัวเองจึงไม่ชอบผู้ชายที่ต้องการนอนกับเธอเท่านั้น ตามพระคัมภีร์ ชายและหญิงกลายเป็นสามีภรรยากันโดยผ่านการร่วมประเวณี ซึ่งพวกเขากลายเป็นเนื้ออันเดียวกัน: “ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เหตุฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้ารวมกันแล้ว อย่าให้ใครแยกจากกัน" (พระคัมภีร์ ปฐมกาล 2:21-24; มัทธิว 19:5-6) ซึ่งหมายความว่าการแต่งงานมีจุดมุ่งหมายโดยพระเจ้าไปตลอดชีวิต และไม่เพียงการหย่าร้างเป็นสิ่งชั่วร้ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแยกจากกัน เช่น การเดินทางเพื่อธุรกิจที่แยกจากกัน การเกิดของเด็ก "และพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างเขาขึ้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่เขา และพระเจ้าตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงครอบครองมัน " (พระคัมภีร์ ปฐมกาล 1:28 ) สามีควรสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระ. ผู้หญิงไม่ชอบตัดสินใจอย่างอิสระเพราะเธอกลัวที่จะทำผิดพลาด เธอเป็นคนขี้ขลาดโดยธรรมชาติและต้องการสามีและการสนับสนุนจากเธอ เพื่อกล้าตัดสินใจ และในจุดอ่อนนี้เสน่ห์ของมันซ่อนอยู่! ผู้หญิงเองถูกจัดในลักษณะที่พวกเขาชอบผู้ชายที่ฉลาดกว่าพวกเขา ดังนั้นในคู่ใด ๆ สามีมักจะฉลาดกว่าภรรยา. ดังนั้น ภรรยาจึงต้องเชื่อฟังสามี ซึ่งจะต้องได้รับการพิสูจน์ว่า "ภรรยาทั้งหลาย จงเชื่อฟังสามีเหมือนเชื่อฟังพระเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา" (พระคัมภีร์ เอเฟซัส 5:22-23) เนื่องจากผู้หญิงสามารถเชื่อฟังเจ้านายของเธอในที่ทำงานซึ่งไม่ได้รักเธอ เธอจึงสามารถเชื่อฟังสามีของเธอที่รักเธอได้มากยิ่งกว่านั้น ถ้าภรรยาต้องการให้สามีตัดสินใจ เธอก็ต้องเชื่อฟังการตัดสินใจของเขาและไม่ขัดแย้งกับสามี (เอเฟซัส 5:22-23) ก เมื่อภรรยาไม่เชื่อฟังสามี และพยายามโน้มน้าวการตัดสินใจของเขา ไม่ว่าจะเป็นความก้าวร้าว คำแนะนำที่ครอบงำจิตใจ หรือคำใบ้ที่ไม่กำกวม การทำเช่นนี้ทำให้เธอค่อยๆ ทำให้เขาเป็นแบบที่เธอไม่ชอบเขา - หมาหัวเน่าและหุ่นเชิด และผู้ถูกจองจำซึ่งคุ้นเคยกับการดูหมิ่นในครอบครัวขายรัสเซียเพื่อรับสินบนเพราะใครก็ตามที่ไม่สามารถปกครองครอบครัวจะไม่สามารถปกครองประเทศได้. ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากถูกลักพาตัว ดังนั้นสามีของภรรยาที่มีอำนาจเหนือกว่าจะหนีจากเธอไปหานายหญิงของเขาหรือไม่ก็เมา "ผู้หญิงฉลาดจะสร้างบ้านของเธอ แต่ผู้หญิงโง่จะทำลายมันด้วยมือของเธอเอง" (พระคัมภีร์สุภาษิต 14:1) แต่ผู้ชายที่เคารพตัวเองชอบอิสระที่จะผูกมัดและบอกเลิกกับผู้หญิงเลวทันทีก่อนแต่งงาน คัมภีร์ไบเบิลให้สิทธิ์แก่ผู้ชายที่จะไม่ตอบสนองความต้องการของภรรยาและลูกของเขา สามีต้องอดออม. ผู้หญิงไม่ชอบคนติดเหล้า “ใครร้องหอนบ้าง หน้าแดง เป็นประกายในถ้วยอย่างไร ติดพันอย่างไร ภายหลังมันจะกัดเหมือนงูและต่อยเหมือนงูเห่า” (พระคัมภีร์ สุภาษิต 23:29-32) แม่ปกติทุกคนต้องการให้ลูกมีความสุขแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้สำเร็จ เพราะตามหลักปฏิบัติแล้ว เด็กส่วนใหญ่ของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ได้เติบโตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ พวกเขาต้องการพ่อ คำแนะนำและระเบียบวินัยของเขา บิดาซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวควรเลี้ยงดูบุตร ส่งเสริมความดีและลงโทษความชั่ว “บิดาทั้งหลาย อย่ายั่วยุบุตรของตน แต่จงเลี้ยงดูเขาด้วยคำสอนและการตักเตือนของพระเจ้า” (เอเฟซัส 6:4) "ลงโทษลูกชายของคุณ แล้วเขาจะให้ความสงบสุขแก่คุณและนำความสุขมาสู่จิตวิญญาณของคุณ" (สุภาษิต 29:17) อย่างไรก็ตาม มารดาไม่มีความตั้งใจและความอุตสาหะมากพอที่จะลงโทษบุตรของตนในเรื่องความชั่ว ดังนั้น หากไม่มีบิดาที่ดี รองรับในวัยชรา. ผู้สูงอายุทุกคนไม่ต้องการเก็บขวดนมในวัยชรา แต่ต้องการให้ผู้ใหญ่และเด็กที่ประสบความสำเร็จดูแลและให้อาหารพวกเขา แต่สำหรับสิ่งนี้จำเป็นต้องให้การเลี้ยงดูที่ดีแก่เด็ก ๆ ทำให้พวกเขาร่ำรวยและห่วงใยและไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่เป็นอันตราย ผู้หญิง! คุณชอบหลักการเหล่านี้หรือไม่? คุณต้องการสามีที่จะอยู่กับพวกเขาหรือไม่? ถ้าอย่างนั้น เรามาต่อที่ภาคปฏิบัติกันเลย คำตอบสำหรับคำถามนี้ - วิธีรักษาสามีในอุดมคติ - อยู่ในคอลัมน์ด้านซ้าย

อย่างที่คุณเห็น ความสุขในครอบครัวสามารถสร้างได้ในการแต่งงานของคริสเตียนเท่านั้น ที่ซึ่งทั้งสามีและภรรยาปฏิบัติตามบัญญัติข้างต้นของพระคัมภีร์เกี่ยวกับความสุขในครอบครัวอย่างมีสติ และการแต่งงานที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าตามที่แสดงให้เห็นในทางปฏิบัติมักจะจบลงด้วยความโชคร้ายเพราะ "ผู้ที่ถูกสาปแช่งคือผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำพูดของกฎหมายนี้และไม่ปฏิบัติตามพวกเขา!" (เฉลยธรรมบัญญัติ 27:26)

มันง่ายที่จะเห็นว่า พระคัมภีร์คือระบบที่นำหลักการต่างๆ ของความสุขในครอบครัวมารวมกันชายและหญิงเป็นอุดมการณ์เดียวกันที่ตอบสนองทั้งชายและหญิง - รหัสครอบครัวของพระคัมภีร์ไบเบิล

ถ้าทั้งชายและหญิงได้รับการสั่งสอนและมีระเบียบวินัยในศีลธรรมตามพระคัมภีร์ตั้งแต่เด็ก ก็จะไม่มีปัญหาครอบครัวในสังคม และถ้าคุณต้องการให้คู่สมรสปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ 100% คุณจะต้องปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าและหาคู่สมรสคนเดียวกัน นั่นคือคริสเตียนแท้ที่เชื่อว่าต้องปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า เช่น ผู้ถือลัทธิโปรเตสแตนต์

ดังนั้นผู้ชายที่ทำในสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ (ในคอลัมน์ขวา) และผู้หญิงที่ทำในสิ่งที่ผู้ชายต้องการ (ในคอลัมน์ซ้าย) ถือว่าอยู่นอกเหนือการแข่งขัน อันที่จริงแล้ว นี่เป็นธุรกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน: "ฉันจะให้สิ่งที่คุณต้องการ และคุณจะจ่ายให้ฉันในสิ่งที่ฉันต้องการ"

ดังนั้น เมื่อครอบครัวหนึ่งถูกสร้างขึ้นโดยคริสเตียนและสตรีคริสเตียน คริสเตียนคนอื่นๆ (เช่น คริสตจักร) ได้รับการเลี้ยงดูอย่างระมัดระวังในศีลธรรมตามพระคัมภีร์ข้างต้น ครอบครัวดังกล่าวก็จะมีความสุขอย่างสมบูรณ์ หากผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเติมความโศกเศร้าจากความไม่พอใจของครอบครัวด้วยน้ำตาและวอดก้า ให้หย่าร้างและพูดว่า: "ผู้ชายทุกคนเป็นคนนอกรีต" และ "ผู้หญิงทุกคนเป็นผู้หญิงเลว" คู่สมรสคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตตามบัญญัติในพระคัมภีร์ก็มีความสุขเพราะ ผู้ทรงอำนาจประทานบัญญัติในพระคัมภีร์ไบเบิลเพื่อความสุขของผู้คน

ด้านล่างนี้จะกล่าวถึงบัญญัติแห่งความสุขในครอบครัวในพระคัมภีร์ไบเบิลในรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีวิธีการที่ละเอียดมากสำหรับการเลี้ยงดูเด็กอย่างเหมาะสม

ความใกล้ชิดระหว่างคู่สมรสเป็นบัญญัติของพระเจ้า ไม่ใช่บาป การสละสมณเพศ

ทันทีที่พระเจ้าสร้างมนุษย์กลุ่มแรก - อาดัมและเอวา พระองค์ทรงประทานพระบัญญัติแก่พวกเขา เกี่ยวกับการสร้างครอบครัวและการเกิดและการเลี้ยงดูบุตร: "และพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างเขาขึ้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง และพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่พวกเขา และพระเจ้าตรัสแก่พวกเขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก และจงพิชิต มัน" (พระคัมภีร์ ปฐมกาล 1:28)
“และพระเจ้าทรงอวยพรโนอาห์และบุตรของเขา และตรัสแก่พวกเขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก” (พระคัมภีร์ ปฐมกาล 9:1)
“จงชื่นชมยินดีในภรรยาในวัยหนุ่มของเจ้า ให้อกของเธอทำให้คุณเมาตลอดเวลา จงชื่นชมยินดีในความรักของเธออยู่เสมอ” (พระคัมภีร์ สุภาษิต 5:18-19) แม้แต่หนังสือพระคัมภีร์แยกต่างหาก เพลงของโซโลมอน อุทิศให้กับการร้องเพลงเพื่อความสุขของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างคู่ครอง. ต่อไปนี้คือคำพูดบางส่วนจากบทนี้: "ให้เขาจุมพิตฉันด้วยการจุมพิตจากปากของเขา เพราะความเสน่หาของเจ้าก็ดีกว่าเหล้าองุ่น" (บทเพลง 1:1)
"โอ้ ขาของเธอช่างสวยเสียนี่กระไร... ต้นขาที่โค้งมนเหมือนสร้อยคอ เป็นฝีมือของช่างฝีมือดี" (บทเพลงแห่งเพลง 7:1) ผู้นับถือศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งแตกต่างจากนิกายออร์โธดอกซ์และคาทอลิก ถือว่าบัญญัติเหล่านี้เป็น ข้อห้ามเกี่ยวกับสงฆ์. ดังนั้นโปรเตสแตนต์ (ผู้ถือลัทธิและนิกายลูเธอรัน) จึงไม่มีลัทธิสงฆ์ และในศตวรรษที่ 16 อารามทั้งหมดในประเทศทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปที่รับเอานิกายโปรเตสแตนต์ก็ถูกปิด

ควรสร้างครอบครัวไปตลอดชีวิต

ตามพระคัมภีร์ สามีและภรรยากลายเป็นเนื้ออันเดียวกันโดยผ่านความสัมพันธ์อันใกล้ชิด การหย่าร้างหรือการหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดก็เหมือนกับการตัดคนออกเป็นชิ้น ๆ "ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขาและผูกพันกับภรรยาของเขาและพวกเขาจะ จงเป็นสองเนื้ออันเดียวกันเพื่อเขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เหตุฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าได้ผูกพันกันแล้ว อย่าให้ใครแยกจากกัน" (ไบเบิล ปฐมกาล 2:21-24; มัทธิว 19:5-6) ดังนั้น ตามที่ พระคัมภีร์ไบเบิล สามีและภรรยาถูกกำหนดโดยพระเจ้าสำหรับความรักนิรันดร์ตลอดชีวิต: "เราได้รักคุณด้วยความรักนิรันดร์" (เยเรมีย์ 31:3)
“จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (เลวีนิติ 19:18)
“เราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้า คือให้รักซึ่งกันและกัน เหมือนที่เรารักเจ้า คือให้รักซึ่งกันและกันด้วย” (ยอห์น 13:34) ตามพระคัมภีร์ ครอบครัวไม่ควรสร้างเพียง 1-2 วัน และ ไม่ใช่ 3-4 ปี ก เพื่อชีวิต - เพื่อเลี้ยงดูเด็กที่มีสุขภาพจิตดีซึ่งเติบโตมาพร้อมกับพ่อและแม่ตลอดไป- "สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์นั้นจะไม่แยกจากกัน" (ไบเบิล มัทธิว 19:5-6) เด็ก ๆ กลัวว่าพ่อแม่จะหย่าร้าง หากเด็กเติบโตมาในบรรยากาศแห่งความขัดแย้งและความกลัวการหย่าร้างอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะเติบโตขึ้นอย่างไม่มั่นคงและไม่มั่นคงทางอารมณ์ และอาจกลายเป็นอาชญากรได้ ดังนั้นการผิดประเวณี - การเปลี่ยน "คู่นอน" สำส่อน ไม่มุ่งสร้างครอบครัวตลอดชีวิตและนำไปสู่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รวมถึงโรคเอดส์ - ทำลายชีวิตของผู้อ่อนแอที่สุดเช่น เด็ก.

เพื่อมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสเช่น การผิดประเวณี ผู้ชายหลอกลวงผู้หญิง เหยียดหยามว่าผู้หญิงใจง่ายและไร้เดียงสาและพระเจ้าทรงเกลียดผู้ที่หลอกลวงและทำให้เพื่อนบ้านขุ่นเคือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อ่อนแอและไม่มีที่พึ่ง “อย่าคิดอาฆาตมาดร้ายต่อชนชาติของเจ้า แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (เลวีนิติ 19:18)
"ขอสาปแช่งคนที่นำคนตาบอดหลงทาง! และทุกคนจะพูดว่า: อาเมน" (เฉลยธรรมบัญญัติ 27:18) ผู้หญิงไม่มีเหตุผล - พวกเขามักจะถูกครอบงำด้วยอารมณ์ที่รุนแรง พระเจ้าประทานความอ่อนแอนี้แก่ผู้หญิงเพื่อให้ผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว (เอเฟซัส 5:22) ดูแลภรรยา รักและปกป้อง เป็นผู้นำและฉลาดกว่า ให้กำลังใจเธอในการพยายามเติบโตฝ่ายวิญญาณ . ในกรณีนี้ ภรรยาจะกลายเป็นผู้ช่วยของสามีในเส้นทางเดียวกัน เพราะพระเจ้าทรงสร้างภรรยาให้เป็นผู้ช่วยของสามี "... ให้เราสร้างผู้ช่วยที่เหมาะกับเขา" (ปฐมกาล 2:18-22) ดังนั้นผู้ชายเหล่านั้นที่ใช้ความอ่อนแอ ความไร้เดียงสา และความไว้วางใจของผู้หญิงในทางที่ผิด หลอกลวงพวกเขาเพื่อจุดประสงค์ของการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส จึงถูกพระเจ้าสาปแช่ง (พระคัมภีร์เฉลยธรรมบัญญัติ 27:18) พระเจ้าลงโทษผู้ที่รุกรานผู้อ่อนแออย่างรุนแรง“อย่าบีบบังคับหญิงม่ายหรือเด็กกำพร้า แต่ถ้าเจ้าบีบบังคับพวกเขา เมื่อพวกเขาร้องหาเรา เราจะได้ยินเสียงร้องของพวกเขา และเราจะโกรธ เราจะฆ่าเจ้าด้วยดาบ ภรรยาของเจ้าจะเป็นแม่ม่ายและเจ้า เด็กจะกำพร้า” (พระคัมภีร์ อพยพ 22:22-24)

"แต่ถ้าคุณไม่ฟังเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของคุณและไม่พยายามทำตามพระบัญญัติทั้งหมดของพระองค์ ... เมื่อนั้นคำสาปเหล่านี้จะมาถึงคุณและตามทันคุณ ... ผลของแผ่นดินและงานทั้งหมดของคุณ จะถูกกินโดยคนที่คุณไม่รู้จัก และคุณจะถูกกดขี่และทรมานไปวันๆ...
มนุษย์ต่างดาวจะสูงขึ้นและสูงขึ้นเหนือคุณ และคุณจะตกต่ำลงเรื่อยๆ ...
ท่านจะปรนนิบัติศัตรูของท่าน ผู้ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงใช้มาต่อสู้ท่าน ด้วยความหิว กระหาย เปลือยเปล่า และขาดแคลนทุกอย่าง พระองค์จะทรงเอาแอกเหล็กคล้องคอเจ้าเพื่อจะทรมานเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงส่งชนชาติจากที่ไกลสุดขอบพิภพมาต่อสู้กับท่าน เหมือนนกอินทรี ชนชาติซึ่งท่านไม่เข้าใจภาษา เป็นคนหน้าด้านที่ไม่เคารพชายชราและไม่ไว้ชีวิตเด็ก และเขาจะกินผลจากฝูงสัตว์ของคุณและผลจากที่ดินของคุณ จนกว่าเขาจะทำลายคุณ ... และเขาบีบบังคับคุณในที่อยู่อาศัยทั้งหมดของคุณ "(พระคัมภีร์ เฉลยธรรมบัญญัติ 28:15-68) จงลืมตาดูพระพิโรธ ของพระเจ้าเหนือผู้ที่รุกรานผู้อ่อนแอ ดังนั้นก่อนที่จะสายเกินไป

การผิดประเวณียังเป็นการละเมิดสิทธิของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายสามารถเป็นพ่อคนได้ในทุกช่วงอายุ และผู้หญิงมีข้อยกเว้นน้อยมาก เหมาะที่จะมีลูกคนแรกอายุระหว่าง 18 ถึง 28 ปี ผู้หญิงที่คลอดลูกคนแรกหลังจากอายุ 30 ปี มีปัญหามากกว่าผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า ดังนั้นหากหญิงสาวร่วมประเวณี (เพศสัมพันธ์นอกสมรส) กับคนที่ไม่ได้วางแผนที่จะสร้างครอบครัวกับเธอไปตลอดชีวิต เธอก็เสียเวลาโดยไม่มีใครตอบแทนเธอ ดังนั้น "ความเท่าเทียมกัน" ระหว่างชายและหญิงจึงเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง และไม่ว่า "นักธุรกิจหญิง" หรือนักอาชีพจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวเพียงใด นี่เป็นเพียงเปลือกที่ปกปิดความอ่อนแอของเธอ ในความเป็นจริง ผู้หญิงคนใดก็ตามที่พระเจ้าสร้างขึ้นในตอนแรกจะอ่อนแอกว่าผู้ชาย แต่พระเจ้าประทานความอ่อนแอนี้ให้กับเธอ ไม่ใช่เพื่อให้ผู้ชายใช้กำลังของเธอในทางที่ผิดด้วยการผิดประเวณี แต่เพื่อให้ผู้ชายปกป้องเธอและดูแลเธอ สร้างครอบครัวกับเธอไปตลอดชีวิต

ดังนั้นหากผู้ชายมีส่วนร่วมในการผิดประเวณี - "ฟรีเซ็กซ์" ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำร้ายผู้หญิงและเด็กที่อ่อนแอ

ตามพระคัมภีร์ ชายและหญิงกลายเป็นสามีภรรยากันไม่ใช่ในสำนักทะเบียน ไม่ใช่ในโบสถ์ แต่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์, เช่น. ซึ่งกลายเป็นเนื้ออันเดียวกัน: "ชายคนนั้นจึงว่า "ดูเถิด นี่เป็นกระดูกจากกระดูกของเรา และเนื้อจากเนื้อของเรา เป็นเนื้อเดียว" (พระคัมภีร์ ปฐมกาล 2:23-24)
“และอิสอัคก็พานางเข้าไปในเต็นท์ … และรับนางเรเบคาห์มา และนางก็เป็นภรรยาของเขา และเขาก็รักเธอ” (ปฐมกาล 24:67) และเนื่องจากสามีภรรยาเป็น “เนื้อเดียวกัน” ตามพระคัมภีร์ (ปฐมกาล 2 :23-24 ) จากนั้นเมื่อผัวเมียจากกันหรือหย่าร้างกัน พวกเขาก็แล่เนื้อเดียวกันทั้งเป็น ดังนั้น พระเยซูคริสต์จึงทรงประณามทัศนคติที่เหลวไหลต่อการแต่งงานและการหย่าร้าง: “เพื่อพวกเขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เหตุฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้ใครแยก” (ไบเบิล มัทธิว 19:5-6) ยังเป็นข้อห้ามในการผิดประเวณี - การเปลี่ยน "คู่นอน" เช่น สำส่อนทางเพศไม่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างครอบครัวตลอดชีวิตและนำไปสู่กามโรครวมถึงโรคเอดส์: "อย่าทำให้ลูกสาวของคุณเป็นมลทินโดยปล่อยให้เธอผิดประเวณีเพื่อโลกจะไม่ผิดประเวณีและโลกจะไม่เต็มไปด้วยความมึนเมา " (พระคัมภีร์เลวีนิติ 19:29)
“จะไม่มีหญิงแพศยาในบรรดาบุตรสาวของอิสราเอล และจะไม่มีหญิงแพศยาในบรรดาบุตรของอิสราเอล” (พระคัมภีร์ เฉลยธรรมบัญญัติ 23:17)
“เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดประเวณี แต่ละคนมีภรรยาเป็นของตนเอง และต่างก็มีสามีเป็นของตนเอง” (พระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 7:2)
"ถ้า ... ไม่พบพรหมจรรย์ในหญิงสาว ก็จงพาหญิงสาวนั้นไปที่ประตูบ้านบิดาของเธอ แล้วชาวเมืองของเธอจะขว้างเธอให้ตาย เพราะเธอได้ทำสิ่งที่น่าละอายในหมู่ชาวอิสราเอล ประพฤติผิดประเวณีในเรือนบิดาแล้วทำลายสิ่งชั่วร้ายจากสิ่งแวดล้อมเอง" (พระคัมภีร์เฉลยธรรมบัญญัติ 22:20-21)

โทษประหารชีวิตสำหรับความสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงที่แต่งงานแล้ว (ชู้)

ตามพระคัมภีร์ ครอบครัวเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์() ดังนั้นการทำลายครอบครัวโดยความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภรรยาของผู้อื่นจึงเป็นบาป: "อย่านอนกับภรรยาของเพื่อนบ้าน" (ไบเบิล, เลวีนิติ 18:20), "อย่าล่วงประเวณี" (ไบเบิล, อพยพ 20: 14)
“ถ้าผู้ใดล่วงประเวณีกับภรรยาที่แต่งงานแล้ว ถ้าผู้ใดล่วงประเวณีกับภรรยาของเพื่อนบ้าน ให้ประหารชีวิตทั้งผู้ล่วงประเวณีและหญิงที่ล่วงประเวณี” (พระคัมภีร์ เลวีนิติ 20:10)
“ถ้าพบผู้ใดสมสู่กับภรรยาที่แต่งงานแล้ว จะต้องถูกประหารชีวิตทั้งคู่ คือทั้งชายที่สมสู่กับหญิงและหญิง และจงทำลายความชั่วร้ายเสีย” (พระคัมภีร์ เฉลยธรรมบัญญัติ 22:22) ดังนั้น ทรอยจึงล้มลง กำบังผู้ล่วงประเวณี พระเยซูคริสต์ยังประณามการเจ้าชู้กับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและการแอบดูภรรยาของคนอื่นอย่างหื่นกระหาย (Gospel of Matthew 5:27-30)

แต่โทษประหารชีวิตสำหรับการล่วงประเวณีมีอยู่ในพันธสัญญาเดิมเท่านั้น และออร์โธดอกซ์และนิกายต่าง ๆ เชื่อว่าพันธสัญญาเดิมควรจะถูกยกเลิก แม้ว่าพระเยซูจะสอนตรงกันข้ามก็ตาม ดังนั้นในประเทศออร์โธดอกซ์จึงไม่มีศีลธรรมในพระคัมภีร์ที่เข้มงวดเหมือนในเจนีวาตามระบอบเทวนิยมในรัชสมัยของจอห์นคาลวินและแทนที่จะมีความอดทนต่อผู้ล่วงประเวณีซึ่งทำลายครอบครัวในประเทศออร์โธดอกซ์: ท้ายที่สุดแล้วผู้ล่วงประเวณีที่ยั่วยวน ภริยาของผู้อื่นเป็นวัวควาย ที่เขาไม่รู้ นอกจากกระสุนที่หน้าผาก เพราะฉะนั้น กระสุนที่จะต้องถูกหน้าผากของชายชู้ หรือเผาพวกเขาที่เดิมพันของการสืบสวนอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ลัทธิออร์โธดอกซ์คาลวินตรงกันข้ามกับนิกายออร์ทอดอกซ์ ยืนยันอย่างแม่นยำในเทวาธิปไตยในพระคัมภีร์ไบเบิล - ถ้าพระเจ้าตรัสว่าฆาตกร ผู้ก่อการร้าย ผู้ล่วงประเวณี เกย์ ควรถูกประหาร (ดูด้านล่าง) หมายความว่าจะต้องถูกประหารชีวิต และ "ผู้ที่ไม่ทำอย่างนั้นต้องสาปแช่ง ปฏิบัติตามถ้อยคำของกฎหมายนี้และจะไม่กระทำตามพวกเขา!” (เฉลยธรรมบัญญัติ 27:26) นี่คือคำสาปแช่งของพระเจ้าที่มีต่อพวกนอกรีตทุกคนที่สอนว่าพันธสัญญาเดิมถูกยกเลิกแล้ว!

โทษประหารสำหรับการรักร่วมเพศและสัตว์ป่า

เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างชายและหญิง และทรงบัญชาให้ "มีลูกดกและทวีจำนวนมากขึ้น" (พระคัมภีร์ ปฐมกาล 1:28) และ "จงชื่นชมยินดีในภรรยาในวัยเยาว์ของเจ้า ให้อกของเธอทำให้คุณเมามายตลอดเวลา เพลิดเพลินใจไปกับนาง รักเสมอ" (พระคัมภีร์สุภาษิต 5:18-19) พระเจ้าอวยพรความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสามีและภรรยาเท่านั้น ดังนั้น การรักร่วมเพศและความวิปริตอื่น ๆ จึงเป็นการกบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้า และพระคัมภีร์เรียกการรักร่วมเพศว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ: "อย่าโกหกกับผู้ชายเช่นเดียวกับผู้หญิง มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ" (เลวีนิติ 18:22)

“เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้พวกเขาลุ่มหลงในกามตัณหาอันน่าละอาย คือสตรีของพวกเขาเปลี่ยนการเสพกามตามธรรมชาติให้ผิดธรรมชาติ ในทำนองเดียวกัน พวกผู้ชายละทิ้งการเสพกามตามธรรมชาติของเพศหญิง มีราคะตัณหาซึ่งกันและกันร้อนระอุ ผู้ชายประณามผู้ชายและ ได้รับผลกรรมตามสมควรสำหรับความผิดของพวกเขา ไม่สนใจที่จะมีพระเจ้าในจิตใจของพวกเขา พระเจ้าจึงปล่อยให้พวกเขามีจิตใจที่วิปริต - ให้ทำอนาจาร เพื่อให้พวกเขาเต็มไปด้วยความอธรรม การผิดประเวณี การหลอกลวง ความโลภ ความอาฆาตพยาบาท เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา การฆ่าฟัน การทะเลาะวิวาท การหลอกลวง การมุ่งร้าย การดูหมิ่น การใส่ร้าย เกลียดชังพระเจ้า ผู้กระทำผิด ยกย่องตนเอง หยิ่งผยอง คิดชั่ว ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ บ้าบิ่น ทรยศ ไม่รัก ไม่ปรองดองกัน ไม่มีเมตตา พวกเขารู้ว่า การพิพากษาอันชอบธรรมของพระเจ้าที่ว่าผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้สมควรตาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เพียงแต่ทำเท่านั้น แต่ยังเห็นชอบกับผู้ที่ทำเช่นนั้นด้วย (โรม 1:26-32) ดังนั้น พระเจ้าทรงกำหนดโทษประหารชีวิตสำหรับการรักร่วมเพศและความเป็นสัตว์ป่า: "ถ้าผู้ใดสมสู่กับชายเหมือนหญิงทั้งสองก็กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ให้ประหารชีวิตเขาเสีย เพราะโลหิตตกอยู่กับเขา" (ไบเบิล เลวีนิติ 20:13)

“คนเลี้ยงโคทุกคนจะต้องถูกประหารชีวิต” (อพยพ 22:19)

“ผู้ใดคลุกคลีกับฝูงสัตว์ จงฆ่ามันเสีย ฆ่าโคเสีย ถ้าหญิงใดไปสมสู่กับโค ก็ให้ฆ่านางและโคนั้นเสีย ให้ตายเสีย เลือดไหลนอง” (เลวีนิติ 20:15-16)

"ขอสาปแช่งผู้ที่สมสู่กับสัตว์เลี้ยงใด ๆ และทุกคนจะกล่าวว่า: อาเมน" (เฉลยธรรมบัญญัติ 27:21) ขอบคุณพระเจ้า เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2549 ขบวนพาเหรดเกย์ครั้งแรกในมอสโกวหยุดชะงัก! สิ่งนี้ทำโดยคนรัสเซียธรรมดา (ชาตินิยม) มอสโกเป็นเมืองแรกในโลกที่มีขบวนพาเหรดเกย์!ฉันภูมิใจในเมืองของฉัน! ขอบคุณพระเจ้าที่ในปี 2550 ขบวนพาเหรดเกย์ไพรด์ในกรุงมอสโกหยุดชะงักอีกครั้ง!

ตามเทววิทยาของผู้ถือลัทธิ รัฐคริสเตียน theocratic (ซึ่งกฎของโมเสสเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ) ควรลงโทษสมชายชาตรีและเลสเบี้ยนอย่างก้าวร้าว โหดร้าย และไร้ความปราณี - ประหารชีวิต (เลวีนิติ 20:13)

ลำดับชั้นในครอบครัว

เนื่องจากผู้หญิงสามารถเชื่อฟังเจ้านายของเธอในที่ทำงานซึ่งไม่ได้รักเธอ เธอจึงสามารถเชื่อฟังสามีของเธอที่รักเธอได้มากยิ่งกว่านั้น ชายและหญิงถูกจัดในลักษณะที่พวกเขาเข้าสู่ความสัมพันธ์แบบลำดับชั้นเท่านั้น ผู้ชายชอบผู้หญิงที่เตี้ยกว่า อ่อนแอกว่า อายุน้อยกว่า ยากจนกว่า และในแง่อื่นๆ ที่ตัวเล็กกว่า เพราะผู้ชายต้องการดูแลผู้หญิงและเป็นผู้นำเธอ และผู้หญิงชอบผู้ชายที่สูงกว่า แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า รวยกว่า แก่กว่า และในทางอื่นที่เหนือกว่า เพราะผู้หญิงต้องการให้ผู้ชายดูแลเธอ ด้วยเหตุนี้ในคู่ใด ๆ สามีจึงฉลาดกว่าภรรยาเสมอ ดังนั้น ภรรยาจึงต้องเชื่อฟังสามี ดังนั้นเพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยในครอบครัวและแก้ไขข้อพิพาทในครอบครัว พระเจ้าจึงทรงสร้าง อำนาจปิตาธิปไตยและการดูแลของสามีเหนือภรรยาของเขา: "ผู้เป็นภรรยา จงเชื่อฟังสามีเหมือนเชื่อฟังพระเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของร่างกาย ... สามีต้องรักภรรยาเหมือนรักภรรยาของตน" ร่างกาย: ผู้ที่รักภรรยารักตัวเอง" (เอเฟซัส 5:22-28) พระบัญญัติของปิตาธิปไตยนี้ประณามสตรีนิยมและความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง เมื่อแต่งงาน เจ้าสาวจะเปลี่ยนนามสกุลจากนามสกุลบิดาเป็นนามสกุลของสามี ประเพณีนี้เป็นสัญลักษณ์ของการโอนทรัพย์สินจากมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่งและการเปลี่ยนอำนาจ - พ่อของเจ้าสาวส่งต่ออำนาจเหนือเธอไปยังเจ้าบ่าวของเธอ

ประเด็นเรื่องอำนาจของสามีที่มีต่อภรรยามีรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่:

การอบรมเลี้ยงดู

ผู้ปกครองควรสนับสนุนและยกย่องเด็ก ๆ สำหรับการกระทำที่ดีและลงโทษเด็ก ๆ สำหรับการกระทำที่ไม่ดีเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ถูกตามใจและไม่กลายเป็นโจร: "ลงโทษลูกชายของคุณแล้วเขาจะให้ความสงบสุขแก่คุณและทำให้จิตวิญญาณของคุณมีความสุข" (สุภาษิต 29:17)

“ไม้เรียวและคำตำหนิให้ปัญญา แต่เด็กที่ถูกทอดทิ้งจะนำความอับอายมาสู่มารดาของตน” (สุภาษิต 29:15)

"จงลงโทษบุตรชายของเจ้าตราบเท่าที่ยังมีความหวัง และอย่าขุ่นเคืองต่อเสียงร้องของเขา ปล่อยให้ผู้โกรธเกรี้ยวรับโทษ เพราะถ้าเจ้าไว้ชีวิตเขา เจ้าจะต้องลงโทษเขามากยิ่งขึ้น" (สุภาษิต 19:18-19)

“ผู้ใดสงสารไม้เท้า ผู้นั้นย่อมเกลียดบุตรของตน และผู้ใดรัก ก็ลงโทษเขาตั้งแต่เด็ก” (สุภาษิต 13:24)

“อย่าปล่อยคนหนุ่มไว้โดยไม่ลงทัณฑ์ ถ้าเจ้าตีเขาด้วยไม้เรียว เขาจะไม่ตาย เจ้าจะลงทัณฑ์เขาด้วยไม้เรียว และช่วยวิญญาณของเขาให้พ้นจากนรก” (สุภาษิต 23:13-14)

“บิดา อย่ายั่วยุบุตรของตน เกรงว่าเขาจะท้อใจ” (โคโลสี 3:21)

“บิดาทั้งหลาย อย่ายั่วยุบุตรของตน แต่จงเลี้ยงดูเขาด้วยคำสอนและการตักเตือนขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 6:4) ถ้าพ่อแม่ไม่ลงโทษลูกเพราะความชั่ว ในอนาคตพวกเขาจะต้องชดใช้ตลอดชีวิต และต้องทนกับความเห็นแก่ตัวและความอาฆาตพยาบาทของลูกที่เอาแต่ใจซึ่งจะทิ้งลูกไว้ในวัยชรา . ดังนั้นหากคุณต้องการมีชีวิตที่สงบสุข จงลงโทษลูกของคุณที่ทำความชั่วและส่งเสริมพวกเขาให้ทำดี .

ความเคารพซึ่งกันและกันในครอบครัว

“จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนยาวในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าประทานแก่เจ้า” (อพยพ 20:12)

"ขอสาปแช่งคนที่กล่าวร้ายต่อบิดาหรือมารดาของเขา! และคนทั้งปวงจะกล่าวว่า อาเมน" (เฉลยธรรมบัญญัติ 27:16)

“บิดาทั้งหลาย อย่ายั่วยุบุตรของตน แต่จงเลี้ยงดูเขาด้วยคำสอนและการตักเตือนขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 6:4)

ห้ามมีเพศสัมพันธ์ระหว่างญาติสนิท

ความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างญาติสนิทนำไปสู่การกลายพันธุ์ในลูกหลานดังนั้นจึงเป็นสิ่งต้องห้ามในพระคัมภีร์: "ไม่มีใครควรเข้าใกล้ญาติฝ่ายเนื้อหนังเพื่อเปิดเผยการเปลือยกาย เราคือพระเจ้า อย่าเปิดเผยการเปลือยกายของบิดาของเจ้าและการเปลือยกาย ของมารดาของเจ้า เธอคือมารดาของเจ้า "เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของเธอ อย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของภรรยาของบิดาเจ้า นี่เป็นการเปลือยกายของบิดาเจ้า การเปลือยกายของพี่สาวน้องสาว ลูกสาวของบิดาเจ้า หรือลูกสาวของมารดาเจ้า .. อย่าเปิดโปงการเปลือยกายของพวกเขา The nakedness of your son's daughter, or the daughter of your daughter, open not their ownness. For they are your nakedness. ... เจ้าอย่าเปิดเผยการเปลือยกายของน้องสาวของพ่อเจ้า, เธอเป็นลูกครึ่งของบิดาเจ้า เลือด เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของพี่สาวหรือน้องสาวของแม่เจ้า เพราะเธอเป็นลูกครึ่งของแม่เจ้า เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของลูกสะใภ้ นางเป็นภรรยาของลูกชายเจ้า อย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของเธอ พวกเขาเป็นญาติกับเธอ; นี่เป็นความชั่วช้า” (เลวีนิติ 18:6-17)
"จงสาปแช่งคนที่สมสู่กับภรรยาของบิดาของเขา เพราะเขาเปิดชายเสื้อของบิดาของเขา! และทุกคนจะพูดว่า: อาเมน
"ผู้ที่สมสู่กับพี่สาวหรือน้องสาวของบิดาหรือกับบุตรสาวของมารดาก็ถูกสาปแช่ง" และประชาชนทั้งปวงจะกล่าวว่า "อาเมน"
"ขอสาปแช่งผู้ที่สมสู่กับแม่สามีของเขา! และทุกคนจะกล่าวว่า: อาเมน" (เฉลยธรรมบัญญัติ 27:20, 22, 23)

ห้ามการแต่งงานระหว่างเชื้อชาติ ศาสนา และเชื้อชาติ และความสัมพันธ์ทางเพศ

พระคัมภีร์ประณามการแต่งงานระหว่างเชื้อชาติ: "อย่าเข้าร่วมเป็นเครือญาติกับพวกเขา: คุณอย่ายกลูกสาวของคุณให้กับลูกชายของเขาและอย่ารับลูกสาวของเขาเพื่อลูกชายของคุณเพราะ ... เมื่อนั้นพระพิโรธของพระเจ้าจะจุดไฟคุณ และในไม่ช้าพระองค์จะทรงทำลายท่าน” (พระคัมภีร์เฉลยธรรมบัญญัติ 7:3)

ปุโรหิตเอสรายืนขึ้นและพูดกับพวกเขาว่า: คุณได้ก่ออาชญากรรมโดยการไปมีภรรยาต่างชาติ และเพิ่มความผิดให้กับอิสราเอล ดังนั้น จงกลับใจในเรื่องนี้ต่อพระพักตร์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของคุณ และทำตามพระประสงค์ของพระองค์ และตัดขาดตัวคุณเอง จากชนชาติต่างๆ ในโลก และจากภริยาต่างชาติ" (พระคัมภีร์ เอสรา 10:10-11)

“ในสมัยนั้น ข้าพเจ้าเห็นชาวยิวซึ่งรับภรรยาเป็นภรรยาจากหญิงชาวอาโซธ ชาวอัมโมน และชาวโมอับ ดังนั้น ลูกชายของพวกเขาจึงพูดภาษาอาซอธหรือภาษาของชนชาติอื่นได้ครึ่งหนึ่ง และพูดภาษายิวไม่ได้ ฉัน ทรงติเตียนเรื่องนี้และสาปแช่งพวกเขา และเฆี่ยนตีบางคน ฉีกผม และเสกให้พวกเขาโดยพระเจ้า เพื่อไม่ให้พวกเขายกลูกสาวให้ลูกชาย และยกลูกสาวให้ลูกชายและเพื่อตัวเอง” ซาโลมอนว่าไหม กษัตริย์แห่งอิสราเอล บาปไหม หลายชาติไม่มีกษัตริย์เช่นพระองค์ พระเจ้าของพวกเขารักพระองค์ และพระเจ้าตั้งพระองค์ให้เป็นกษัตริย์เหนือชาวอิสราเอลทั้งหมด แต่ภรรยาต่างชาติยังทำให้พระองค์มีบาปด้วย... ทำไมคุณทำทั้งหมดนี้ ชั่วร้ายมาก บาปต่อพระพักตร์พระเจ้าของเรา (ไบเบิล, หนังสือของเนหะมีย์ 13:23-27) บัญญัตินี้เน้นย้ำว่าการแต่งงานระหว่างเชื้อชาตินำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างรวดเร็วในชาติ - พระเจ้า "จะทำลายคุณในไม่ช้า" ในสมัยพระคัมภีร์ แม้กระทั่งโทษประหารชีวิตก็ถูกนำมาใช้กับการแต่งงานระหว่างเชื้อชาติ (ไบเบิล กันดารวิถี 25:1-18) ในคัมภีร์ไบเบิล การห้ามการแต่งงานแบบผสมมีความหมายลึกซึ้งและเป็นส่วนหนึ่งของการห้ามการผสมพันธุใด ๆ รวมถึงพืชและสัตว์: "จงรักษากฎเกณฑ์ของเรา อย่านำปศุสัตว์ของคุณไปผสมกับสายพันธุ์อื่น อย่าหว่านพืชในไร่นาของคุณ มีเมล็ดพืชสองชนิด ด้ายต่างกัน คือผ้าขนสัตว์และผ้าป่าน อย่าแต่งตัว” (เลวีนิติ 19:19)

การแต่งงานระหว่างเชื้อชาติ, เชื้อชาติ, เชื้อชาติผสม

มีการกล่าวถึงการแก้ปัญหาครอบครัวอย่างละเอียดในหนังสือวิเคราะห์เรื่อง "ความลับแห่งความสุขในครอบครัว"

บอกเพื่อนเกี่ยวกับไซต์นี้
เพื่อการประกาศที่มีประสิทธิภาพ แบ่งปันลิงก์ไปยังไซต์นี้หรือ

ภูเขาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานบัญญัติ 10 ประการแก่โมเสสเกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกับโลกและผู้อื่น

ศาสนาไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า นานมาแล้วบนภูเขาซีนาย พระเจ้าประทานพระบัญญัติ 10 ประการแก่โมเสส และมีเพียง 4 ข้อเท่านั้นที่เกี่ยวกับหน้าที่ของเราที่มีต่อผู้สร้าง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกับโลกและคนรอบข้าง

พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นแนวทางที่ยอดเยี่ยม แหล่งรวบรวมคำแนะนำ การสนับสนุนทางศีลธรรม และคลังแห่งปัญญาสำหรับเราทุกคน ค่านิยมของความสัมพันธ์ในครอบครัวมีความสำคัญมากในชีวิตมนุษย์เพราะเราเรียนรู้ความรักจากพวกเขา

พระเจ้าทรงเป็นความรัก ไม่มากไปไม่น้อยไป

พระคัมภีร์พูดว่าอย่างไรเกี่ยวกับสามีภรรยา? จะเติบโตและรักษาความรักได้อย่างไร? มาคุยกันเถอะ!

ความรักเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในครอบครัว

พระบัญญัติที่สำคัญที่สุดที่พระเจ้าประทานแก่เราอธิบายไว้ในกิตติคุณของยอห์น:

“เราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้า คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักท่านอย่างไรก็ให้ท่านรักกันด้วย ด้วยวิธีนี้ทุกคนจะรู้ว่าเจ้าเป็นสาวกของเรา ถ้าเจ้ารักกัน” (ยน. 13:34-35).

จำเป็นและสำคัญที่ต้องผูกติดไว้เพื่อระลึกถึงสามีภรรยา ในความสัมพันธ์ ในความรัก เราใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเพราะ:

“และเราได้รู้ถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราและเชื่อในความรักนั้น พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ที่ดำรงอยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น” (โยนาห์ 4:16)

กฎบัตรของชีวิตครอบครัวตามพระคัมภีร์

แต่ครอบครัวไม่ได้ปราศจากความขัดแย้ง เราทุกคนล้วนมีความคิดเห็นเป็นของตนเอง และจำใจมีความขัดแย้งแม้กระทั่งระหว่างคนที่รักกัน บ่อยครั้งที่พวกเขาเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าคู่สมรสลืมความรับผิดชอบ หรือพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับพวกเขา

เพื่อให้ชีวิตคู่ง่ายขึ้น มีกฎบัตรของชีวิตครอบครัวในแง่ของพระคัมภีร์ บทบัญญัติหลัก:

• สามีคือภาพลักษณ์และสง่าราศีของพระเจ้า:

“เหตุฉะนั้นสามีจึงไม่ควรคลุมศีรษะ เพราะเขาเป็นพระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 11:7)

• สำหรับทุกคนศีรษะคือพระคริสต์:

“ฉันอยากให้คุณรู้ด้วยว่าพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของผู้ชายทุกคน สามีเป็นศีรษะของภรรยาทุกคน และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์” (1 โครินธ์ 11:3)

• ภรรยาคือศักดิ์ศรีของสามี:

“ดังนั้นสามีจึงไม่ควรคลุมศีรษะ เพราะเขาคือพระฉายาลักษณ์และสง่าราศีของพระเจ้า และภรรยาก็เป็นสง่าราศีของสามี” (1 โครินธ์ 11:7)

• ภรรยาถูกสร้างมาเพื่อสามี:

“เพราะสามีไม่ได้มาจากภรรยา แต่ภรรยามาจากสามี และสามีไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อภรรยา แต่สร้างภรรยามาเพื่อสามี” (1 โครินธ์ 11:8-9)

• ภรรยาหัวหน้าสามี:

“ฉันอยากให้คุณรู้ด้วยว่าพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของสามีทุกคน สามีเป็นศีรษะของภรรยา และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์” (1 โครินธ์ 11:3)

ความรับผิดชอบในพระคัมภีร์ของสามี

• จงละบิดามารดาของเจ้า ผูกพันอยู่กับภรรยาและเป็นเนื้อเดียวกับนาง

“เหตุฉะนั้นผู้ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และ [ทั้งสอง] จะเป็นเนื้ออันเดียวกัน” (ปฐก. 2:24)

หน้าที่ของสามีคือรักภรรยาเหมือนรักตนเอง เลี้ยงดู ให้ความอบอุ่นแก่นาง

“ผู้เป็นสามี จงรักภรรยาของตน เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงสละพระองค์เองเพื่อชำระนางให้บริสุทธิ์ โดยชำระนางด้วยอ่างน้ำด้วยพระวจนะ เพื่อถวายตัวเธอให้เป็นศาสนจักรอันรุ่งโรจน์ ไม่มีจุดด่างพร้อย ไม่มีริ้วรอย หรืออะไรทำนองนั้น แต่เพื่อเธอจะได้บริสุทธิ์และไม่มีที่ติ

ดังนั้น สามีจึงควรรักภรรยาเหมือนรักกาย ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง เพราะไม่มีใครเกลียดเนื้อหนังของตนเอง แต่เลี้ยงดูและให้ความอบอุ่นแก่เนื้อหนัง เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำกับคริสตจักร เพราะเราเป็นอวัยวะในร่างกายของพระองค์ จากเนื้อและจากกระดูกของพระองค์ (เอเฟซัส 5:25-30)

• ปฏิบัติต่อภรรยาของคุณอย่างชาญฉลาด:

“ในทำนองเดียวกัน ผู้เป็นสามี จงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างสุขุมเฉกเช่นภาชนะที่อ่อนแอที่สุด จงให้เกียรติพวกเขาในฐานะทายาทร่วมแห่งพระคุณแห่งชีวิต เพื่อคำอธิษฐานของคุณจะไม่ถูกขัดขวาง ให้เกียรติภรรยาของคุณ” (1 เปโตร 3:7)

หนึ่งในสาวกสิบสองคนของพระเยซูคริสต์ตามหลักการของคริสตจักรคาทอลิก - พระสันตะปาปาองค์แรก ในสัญลักษณ์ของคริสเตียนมันถูกพรรณนาว่าเป็นผู้พิทักษ์สวรรค์

• แสดงความโปรดปรานแก่ภรรยาของคุณ:

“เช่นเดียวกัน ผู้เป็นสามี จงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างฉลาดเฉลียวเหมือนภาชนะที่อ่อนแอที่สุด จงให้เกียรติพวกเขาในฐานะทายาทร่วมแห่งพระคุณแห่งชีวิต เพื่อคำอธิษฐานของคุณจะไม่ถูกขัดขวาง” (1 เปโตร 3:7)

• ให้ภรรยาของคุณมีอำนาจเหนือร่างกายของคุณ:

“ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของเธอ แต่สามี; เช่นเดียวกัน สามีไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่ภรรยามี” (1 โครินธ์ 7:4)

• มีสติอยู่เสมอ บริสุทธิ์ สุขุม อดกลั้น ประพฤติดี มีอัธยาศัยดี ไม่โลภมาก เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี พึงให้บุตรธิดาอยู่ในโอวาทและเคารพในตน

“ไม่เป็นคนขี้เมา ไม่ฆ่าคน ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่โลภ แต่สงบเสงี่ยม ไม่รักเงินทอง ครองเรือนดี เลี้ยงลูกด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” (1 ทธ. 3:3-4)

• ซื่อสัตย์ต่อภรรยาของคุณจนตาย:

“ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน เหตุฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้ใครมาแยกจากกัน” (มัทธิว 19:6)

• ดูแลครอบครัว:

“ถ้าผู้ใดไม่เลี้ยงดูตนเอง โดยเฉพาะครัวเรือนของตน ผู้นั้นละทิ้งศรัทธาเสียแล้ว และเลวยิ่งกว่าผู้ไม่เชื่อ” (1 ทธ. 5:8)

ความรับผิดชอบของภรรยาในพระคัมภีร์

• สามีที่รัก:

“สอนคนหนุ่มสาวให้รักสามี” (ทต.2:4)

• ใจดี:

“ผู้ที่พบภรรยาที่ดีก็พบความดี [การนิ่งเงียบ] และได้รับพระคุณจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” (สภษ. 18:22)

“ภรรยาที่ดีคือส่วนแบ่ง [ส่วนดี] ที่มีความสุข” (บสส.26.3)

หน้าที่ของภรรยาคือเชื่อฟังสามีในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า

“ผู้เป็นภรรยา จงเชื่อฟังสามีเหมือนเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของร่างกาย” (อฟ.5:22-23)

• เป็นและเรียนรู้ในความเงียบ - ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนทั้งหมด:

“ให้ผู้หญิงคนนั้นศึกษาอย่างเงียบ ๆ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ฉันไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือปกครองสามีของเธอ แต่ให้อยู่ในความเงียบ (1 ทธ. 2:11)

• ดูแลความงามของจิตวิญญาณแห่งความถ่อมตนและความอ่อนน้อมถ่อมตนของคุณ:

“อย่าให้ผมที่ถักเปียไว้ด้านนอกเป็นเครื่องประดับ อย่าใช้เครื่องทองหรือเครื่องเพชรพลอยในเสื้อผ้า” (1 เปโตร 3:3)

• แสดงความโปรดปรานแก่สามีของคุณ:

“สามี​ทำ​ให้​ภรรยา​เห็น​อก​เห็น​ใจ เหมือนภรรยากับสามีของเธอ” (1 โครินธ์ 7:3)

• บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ เกรงกลัวพระเจ้า ขี้อาย:

“เมื่อพวกเขาเห็นชีวิตที่บริสุทธิ์และยำเกรงพระเจ้าของคุณ ขอให้เครื่องประดับของคุณไม่ใช่การทอผมภายนอก ไม่ใช่ผ้าโพกศีรษะสีทองหรือเสื้อผ้าที่สง่างาม แต่เป็นผู้ชายที่ซ่อนอยู่ในหัวใจด้วยความงามที่ไม่เสื่อมคลายของจิตใจที่อ่อนโยนและเงียบขรึม ซึ่งมีค่าต่อพระพักตร์พระเจ้า (1 เปโตร 3:2-4)

“เด็กและการสร้างเมืองทำให้ชื่อคงอยู่ตลอดไป แต่ภรรยาที่บริสุทธิ์ (ไม่มีมลทิน) ถือว่าดีเลิศกว่าทั้งสองอย่าง” (เซอร์ 40. 19)

“พระคุณเติมพระคุณเป็นผู้หญิงที่ขี้อาย ไม่มีค่าพอสำหรับจิตใจที่รู้จักพอประมาณ” (เซอร์.26:18-19)

• ดูแลปรับปรุงบ้าน:

"ผู้หญิงฉลาดจะสร้างบ้านของเธอ แต่ผู้หญิงโง่จะทำลายมันด้วยมือของเธอเอง" (สุภาษิต 14:1)

คัมภีร์ห้ามมีสามี

• ปรารถนาภรรยาของเพื่อนบ้าน:

“อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือโลภบ้านของเพื่อนบ้าน หรือไร่นาของเขา หรือทาสชาย หรือสาวใช้ของเขา หรือวัว ลาของเขา [หรือวัวควายของเขา] หรือสิ่งใด ๆ ที่เพื่อนบ้านของคุณมี " (บัญ. 5:21)

• ล่วงประเวณี:

“ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน เหตุฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้ใครมาแยกจากกัน” (1 โครินธ์ 6:9-10)

• เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นภรรยา เว้นแต่ได้รับความยินยอมในการถือศีลอดและละหมาด:

• คัมภีร์ห้ามสามีรุนแรงต่อภรรยา:

“ท่านทั้งหลายจงรักภรรยาของท่าน และอย่าเอารัดเอาเปรียบพวกเขา” (คส. 3:19)

คัมภีร์ห้ามมีภรรยา

• เพื่อแสวงหาอำนาจเหนือสามี:

ไม่ใช่หนึ่งในอัครสาวกสิบสองคนของพระเยซูคริสต์ สาส์นสิบสี่ฉบับของเปาโลประกอบขึ้นเป็นส่วนใหญ่ของพันธสัญญาใหม่และเป็นหนึ่งในเนื้อหาหลักของเทววิทยาคริสเตียน

“แต่ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้สตรีสั่งสอนหรือปกครองสามี แต่ให้อยู่เงียบๆ” (1 ทธ. 2:12)

• สอนสามี:

“ให้ผู้หญิงคนนั้นศึกษาอย่างเงียบ ๆ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ฉันไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือปกครองสามีของเธอ แต่ให้อยู่ในความเงียบ (1 ทธ. 2:11-12)

• ล่วงประเวณี:

“หรือท่านไม่รู้หรือว่าคนอธรรมจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก? อย่าถูกหลอก: ทั้งคนล่วงประเวณี คนบูชารูปเคารพ คนล่วงประเวณี คนมาลาเรีย คนรักร่วมเพศ คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนกินสัตว์ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก (1 โครินธ์ 6:9-10)

• หลีกเลี่ยงการมีสามี เว้นแต่จะตกลงกันให้ถือศีลอดและละหมาด:

“อย่าเบี่ยงเบนจากกัน เว้นเสียแต่จะตกลงกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อถือศีลอดและอธิษฐาน แล้วจงอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เพื่อมิให้ซาตานล่อลวงท่านด้วยความไม่เต็มใจ” (1 โครินธ์ 7:5)

• ไม่พอใจ:

“อยู่ที่มุมบนดาดฟ้าดีกว่าอยู่กับภรรยาที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งในบ้านหลังใหญ่” (สุภาษิต 21:9)

“หยดไม่หยุดหย่อนในวันฝนตก [ฤดูหนาว] และภรรยาที่ชอบทะเลาะวิวาท [ใส่ร้าย] ก็มีค่าเท่ากัน ใครต้องการซ่อนก็ซ่อนลม” (สุภาษิต 27:16)

• มีเหตุผล:

“ความสุขมีแก่ผู้ที่อยู่กับหญิงที่ฉลาด” (บสย. 25:11)

สามีภรรยาควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อให้ดีขึ้น

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสามีและภรรยาที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ดีขึ้น

ครอบครัวไม่ได้อยู่กันสองคนตามลำพัง แต่เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งหมด:

“ให้สามีแนบแน่นกับภรรยา” (นักบุญยอห์น ไครซอสทอมถอดความจากพระคัมภีร์ไบเบิล - มัทธิว 19:5-6))

มันหมายความว่าอะไร? หมายความว่า สามีภรรยาเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีภรรยาที่ดีและสามีที่ไม่ดี ทุกอย่างทำร่วมกันทุกอย่างเชื่อมต่อกัน

ตัวอย่างเช่น สุภาษิต 31 กล่าวว่าภรรยาควรเป็นอย่างไรตามพระคัมภีร์: ดูแลเป็นอย่างดี แม้ว่าเธอจะต้องเข้านอนดึกและตื่นเช้า

มีการพูดมากมายเกี่ยวกับความงามในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์:

“เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นบนที่สูงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ความงามของสตรีที่ดีก็อยู่ในการตกแต่ง [ความงาม] ของบ้านของเธอ” (ศจ. 26:20-21)

แต่เธอจะทำเช่นนี้หากหัวหน้าครอบครัวไม่แยแส? เลขที่ สามีควรชื่นชมภรรยา คิดถึงภรรยา แล้วเธอจะมีแรงจูงใจที่จะนำความงาม:

“ชายคนนั้นตอบว่า “ดูเถิด นี่เป็นกระดูกจากกระดูกของฉัน และเนื้อจากเนื้อของฉัน จะเรียกนางว่าหญิงเพราะถูกพรากจากชาย (ปฐมกาล 2:23)

แม้ว่าข้อความจะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังพูดถึงภรรยาและสามี แต่เราสามารถเข้าใจสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับการแต่งงานได้จากที่ใดที่หนึ่ง:

“แต่ผู้ใดก็ตามที่ไม่ดูแลญาติพี่น้องของตน และเหนือสิ่งอื่นใดในครัวเรือนของตน ผู้นั้นได้ปฏิเสธศรัทธาและกลายเป็นคนเลวยิ่งกว่าผู้ไม่เชื่อ” (1 ทธ.5:8)

เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับพระเจ้าที่สามีต้องดูแลภรรยา และภรรยาต้องดูแลสามี

พระเจ้าทรงกำหนดงานนี้ให้สูงส่งยิ่งกว่าศรัทธาของบุคคลในพระองค์ ปรากฎว่า - "เคารพสามีของคุณเหมือนพระเจ้า"? ดูว่าจะลงทุนในวลีนี้อย่างไร หากความเคารพคือความรัก ความเคารพ ความรู้สึกอบอุ่น แน่นอนว่าใช่ และถ้าเรากำลังพูดถึงการรับใช้ นี่เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว

คุณต้องจำบทบาทของภรรยาและบทบาทของสามี เธอคือแรงบันดาลใจและคนรัก เขาเป็นผู้พิทักษ์ดูแล และพวกเขาบรรลุความสามัคคีด้วยกันเท่านั้น

พระคัมภีร์มักให้พระเยซูคริสต์เป็นตัวอย่างแก่เรา เราสามารถตัดสินความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยาได้จากการกระทำและคำพูดของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงแสดงความรัก การอุทิศตน ความห่วงใยอย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยความจริงใจนี้ไม่มีองค์ประกอบของความเห็นแก่ตัว การคำนวณหรือความพยายามที่จะกำหนดเจตจำนง

ในทางกลับกัน เราไม่ตั้งเงื่อนไขกับพระเยซูคริสต์และยอมรับคำสอนของพระองค์ ดังนั้นสามีภรรยาจึงเข้าสู่การแต่งงานและจากนี้ไปพวกเขาจะดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ใหม่สำหรับพวกเขาเอง กฎเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนชอบธรรม และสำหรับคนอื่นๆ ครอบครัวเป็นกระดานกระโดดน้ำที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเติบโตทางวิญญาณ

วิดีโอเกี่ยวกับการแต่งงาน ครอบครัว สามีภรรยา จาก Archpriest Andrey Tkachev

(33 โหวต : 4.4 จาก 5 )

สิทธิและหน้าที่ร่วมกันของคู่สมรส

ในทำนองเดียวกัน คุณผู้เป็นภรรยา จงเชื่อฟังสามีของคุณ เพื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระวจนะจะได้ชีวิตภรรยาโดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ เมื่อพวกเขาเห็นชีวิตที่บริสุทธิ์และยำเกรงพระเจ้าของคุณ
ในทำนองเดียวกัน ผู้เป็นสามี จงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างสุขุมเฉกเช่นภาชนะที่อ่อนแอที่สุด ให้เกียรติพวกเขาในฐานะทายาทร่วมแห่งพระคุณแห่งชีวิต เพื่อคำอธิษฐานของคุณจะไม่ถูกขัดขวาง

สามีแสดงความโปรดปรานแก่ภรรยา เหมือนภรรยากับสามีของเธอ

ฝ่ายภรรยาจงเชื่อฟังสามีตามสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาของตน และอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

ภรรยา จงเชื่อฟังสามีเหมือนเชื่อฟังพระเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของร่างกาย แต่เช่นเดียวกับที่คนหนึ่งเชื่อฟังพระคริสต์ ภรรยาก็เชื่อฟังสามีในทุกสิ่ง

ผู้เป็นสามี จงรักภรรยาของตน เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักพระศาสนจักร และทรงสละพระองค์เองเพื่อชำระนางให้บริสุทธิ์ โดยชำระนางด้วยอ่างน้ำผ่านพระวจนะ เพื่อถวายตัวเธอให้เป็นศาสนจักรอันรุ่งโรจน์ ไม่มีจุดด่างพร้อย ไม่มีริ้วรอย หรืออะไรทำนองนั้น แต่เพื่อเธอจะได้บริสุทธิ์และไม่มีที่ติ

ดังนั้น สามีจึงควรรักภรรยาเหมือนรักกาย ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง เพราะไม่มีใครเกลียดเนื้อหนังของตนเอง แต่เลี้ยงดูและให้ความอบอุ่นแก่เนื้อหนัง เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำกับคริสตจักร เพราะเราเป็นอวัยวะในร่างกายของพระองค์ จากเนื้อและจากกระดูกของพระองค์

เหตุฉะนั้นผู้ชายจะจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน ความลึกลับนี้ยอดเยี่ยมมาก ฉันพูดเกี่ยวกับพระคริสต์และคริสตจักร ดังนั้นจงรักภรรยาเหมือนรักตนเอง แต่ให้ภรรยาเกรงกลัวสามี

ความซื่อสัตย์ที่ไม่มีเงื่อนไขของคู่สมรส

คุณเคยได้ยินสิ่งที่คนโบราณกล่าวว่า: อย่าล่วงประเวณี แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองดูสตรีอย่างกำหนัด ผู้นั้นก็ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว

ความสัมพันธ์ในชีวิตสมรส

สามีแสดงความโปรดปรานแก่ภรรยา เหมือนภรรยากับสามีของเธอ ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของเธอ แต่สามี; ในทำนองเดียวกัน สามีไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่ภรรยามี อย่าเบี่ยงเบนจากกัน เว้นเสียแต่โดยตกลงกันชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อถือศีลอดและอธิษฐาน แล้วค่อยอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ซาตานล่อลวงท่านด้วยความไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตาม ฉันพูดแบบนี้เป็นการอนุญาต ไม่ใช่คำสั่ง

ความไม่ละลายของการแต่งงาน หย่า.

ว่ากันว่าถ้าใครหย่ากับภรรยาก็ให้เธอหย่า (ดู) แต่เราบอกท่านว่า ผู้ใดหย่าภรรยาของตน เว้นแต่ความผิดฐานล่วงประเวณี เป็นเหตุให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดแต่งงานกับหญิงที่หย่าร้างก็ล่วงประเวณี

พวกฟาริสีมาล่อลวงพระองค์และทูลพระองค์ว่า "เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่ผู้ชายจะหย่าภรรยาด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม"

พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า พวกเจ้าไม่ได้อ่านหรือว่าพระองค์ผู้ทรงสร้างเพศชายและเพศหญิงตั้งแต่แรกสร้างพวกเขา? และพระองค์ตรัสว่า "เหตุฉะนั้นผู้ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน" ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้รวมเข้าด้วยกันแล้ว อย่าให้ผู้ใดแยกออกจากกัน

พวกเขาทูลพระองค์ว่า: โมเสสสั่งให้ออกใบหย่าและหย่านางได้อย่างไร?

พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า โมเสส เพราะความใจแข็งกระด้างของคุณ อนุญาตให้คุณหย่าภรรยาได้ แต่ทีแรกไม่เป็นเช่นนั้น แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าภรรยาของตนโดยมิใช่เพราะล่วงประเวณีแล้วไปมีภรรยาใหม่ ผู้นั้นก็ล่วงประเวณี และผู้ที่แต่งงานกับหญิงที่หย่าร้างก็ล่วงประเวณี

เหล่าสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า: หากเป็นหน้าที่ของผู้ชายต่อภรรยาก็อย่าแต่งงานเลยดีกว่า

พระองค์ตรัสกับพวกเขา: ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับคำนี้ได้ แต่ผู้ที่ให้ไว้เพราะมีขันทีที่เกิดเช่นนี้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และมีขันทีที่ถูกขับออกจากมนุษย์ และมีขันทีที่ทำตนเป็นขันทีเพื่ออาณาจักรสวรรค์ ใครเลี้ยงได้ก็ให้เขาเลี้ยงไป

พระวรสารนักบุญมาระโก ()

พวกฟาริสีเข้ามาทูลถามพระองค์ว่า สามีจะหย่าภรรยาได้หรือ? พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "โมเสสสั่งท่านว่าอย่างไร" พวกเขากล่าวว่า: มูซาอนุญาตให้เขียนจดหมายหย่าร้างและหย่าได้ พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เพราะท่านมีใจแข็งกระด้าง จึงได้เขียนพระบัญญัตินี้แก่ท่าน" ในช่วงเริ่มต้นของการสร้าง พระเจ้าทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง เหตุฉะนั้นผู้ชายจะจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน เพื่อเขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้รวมเข้าด้วยกันแล้ว อย่าให้ผู้ใดแยกออกจากกัน
ในบ้าน เหล่าสาวกทูลถามพระองค์เรื่องเดิมอีก พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า ผู้ใดหย่าภรรยาของตนแล้วไปมีภรรยาใหม่ ผู้นั้นก็ล่วงประเวณีต่อนาง และถ้าภรรยาหย่ากับสามีแล้วไปมีภรรยาใหม่ เธอก็ล่วงประเวณี

พระวรสารนักบุญลูกา ()

ผู้ใดหย่าภรรยาของตนแล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ล่วงประเวณี และผู้ใดแต่งงานกับหญิงที่หย่ากับสามีแล้ว ผู้นั้นก็ล่วงประเวณี

และสำหรับผู้ที่แต่งงานแล้วไม่ใช่ฉันที่สั่ง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้า: ภรรยาอย่าหย่าร้างกับสามีของเธอ - ถ้าเธอหย่าเธอก็ต้องอยู่เป็นโสดหรือคืนดีกับสามีของเธอ - และสามีจะต้อง ไม่ทิ้งภรรยา
นอกนั้นข้าพเจ้าพูดเอง ไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้า: ถ้าพี่น้องคนใดมีภรรยาที่ไม่เชื่อ และนางตกลงที่จะอยู่กับเขา เขาจะต้องไม่ทิ้งนาง และภรรยาที่มีสามีที่ไม่เชื่อและเขาตกลงที่จะอยู่กับนางก็อย่าจากเขาไป เพราะสามีที่ไม่เชื่อได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยภรรยาที่เชื่อ และภรรยาที่ไม่เชื่อก็ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยสามีที่เชื่อ มิฉะนั้นบุตรของท่านจะเป็นมลทิน แต่ตอนนี้พวกเขาบริสุทธิ์แล้ว
ถ้าผู้ไม่เชื่อต้องการหย่าก็ให้เขาหย่า พี่ชายหรือน้องสาวในกรณีดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกัน พระเจ้าทรงเรียกเราสู่สันติสุข คุณรู้ได้อย่างไรว่าภรรยาของคุณสามารถช่วยสามีของคุณได้? หรือคุณสามีทำไมคุณรู้ว่าคุณสามารถช่วยภรรยาของคุณ?

การแต่งงานครั้งที่สองของหญิงม่าย

ภรรยาต้องผูกพันตามกฎหมายตราบเท่าที่สามียังมีชีวิตอยู่ ถ้าสามีของเธอเสียชีวิต เธอมีอิสระที่จะแต่งงานกับใครก็ได้ที่เธอต้องการ เฉพาะในองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่เธอคงมีความสุขมากกว่าหากเธอยังคงเป็นเช่นนั้นตามคำแนะนำของฉัน แต่ฉันคิดว่าฉันมีพระวิญญาณของพระเจ้าด้วย

การฟื้นคืนชีวิตเปลี่ยนความหมายของการแต่งงาน

พระเยซูตรัสตอบเขาว่า: เด็กในยุคนี้แต่งงานและยกให้เป็นสามีภรรยากัน แต่คนเหล่านั้นที่คู่ควรที่จะไปถึงยุคนั้นและการฟื้นคืนชีพจากความตายจะไม่แต่งงานหรือยกให้เป็นสามีภรรยากัน และไม่สามารถตายได้อีกต่อไป เพราะพวกเขาเท่าเทียมกับทูตสวรรค์และเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นบุตรของการฟื้นคืนชีวิต และคนตายจะฟื้นขึ้น และโมเสสแสดงให้เห็นที่พุ่มไม้ เมื่อเขาเรียกพระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ แต่พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น เพราะคนทั้งปวงมีชีวิตในพระองค์
พวกธรรมาจารย์บางคนกล่าวว่า: นายท่าน! คุณพูดได้ดี และไม่กล้าทูลถามอะไรพระองค์อีก
(ดูแนว: ; )

ครอบครัวคือสหภาพอันศักดิ์สิทธิ์

ครอบครัวเป็นสหภาพศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกที่เป็นธรรมชาติและในเวลาเดียวกัน มนุษย์ถูกเรียกให้สร้างความสัมพันธ์นี้ด้วยความรัก ความศรัทธา และเสรีภาพ ครอบครัวเป็นเซลล์แรกเริ่มของจิตวิญญาณ ไม่เพียงแต่ในแง่ที่ว่าที่นี่เป็นที่ที่คน ๆ หนึ่งเรียนรู้ (หรืออนิจจา ไม่ได้เรียนรู้!) เพื่อเป็นวิญญาณส่วนตัว ความแข็งแกร่งและทักษะทางวิญญาณ (รวมถึงจุดอ่อนและการไร้ความสามารถ) ที่ได้รับในครอบครัว จากนั้นบุคคลจะถ่ายโอนไปสู่ชีวิตทางสังคมและสถานะ

ครอบครัวที่แท้จริงเกิดจากความรักและให้ความสุขแก่บุคคล หากการแต่งงานไม่ได้เกิดจากความรัก ครอบครัวก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก หากการแต่งงานไม่ได้ให้ความสุขแก่คน ๆ นั้น เขาก็จะไม่บรรลุจุดประสงค์ดั้งเดิมของเขา พ่อแม่สามารถสอนลูก ๆ ให้รักได้ก็ต่อเมื่อพวกเขารู้วิธีที่จะรักในชีวิตแต่งงาน พ่อแม่สามารถให้ความสุขกับลูกได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาพบความสุขในชีวิตแต่งงานแล้วเท่านั้น ครอบครัวที่หล่อหลอมด้วยความรักและความสุขคือโรงเรียนแห่งสุขภาพจิต ลักษณะนิสัยที่สมดุล และองค์กรที่สร้างสรรค์ ในชีวิตของสังคมเปรียบเสมือนดอกไม้ที่ผลิบานอย่างสวยงาม ครอบครัวที่ปราศจากศูนย์กลางที่ดีต่อสุขภาพนี้ สูญเสียความแข็งแกร่งไปกับความรู้สึกขยะแขยง ความเกลียดชัง ความสงสัย และ "ฉากครอบครัว" เป็นแหล่งเพาะตัวละครที่ป่วย ความโน้มเอียงทางจิต ความเฉื่อยชาจากโรคประสาทอ่อน และ "ความล้มเหลว" ในชีวิต

คนถูกเรียกให้มองเห็นและรักในผู้หญิงที่รัก (หรือตามนั้น ในผู้ชายที่รัก) ไม่เพียง แต่หลักการทางกามารมณ์ไม่เพียง แต่ปรากฏการณ์ทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึง "จิตวิญญาณ" ด้วย - ความคิดริเริ่มของบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย หัวใจ ความลึก ซึ่งลักษณะที่ปรากฏของบุคคลทำหน้าที่เพียงการแสดงออกทางร่างกายหรืออวัยวะที่มีชีวิต
สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจากการแต่งงานคือ ประการแรก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันใหม่ - ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของสามีและภรรยา: พวกเขาต้องเข้าใจกันและแบ่งปันความสุขและความทุกข์ในชีวิต ในการทำเช่นนี้ พวกเขาต้องรับรู้ชีวิต โลก และผู้คนอย่างเท่าเทียมกัน สิ่งที่สำคัญในที่นี้ไม่ใช่ความคล้ายคลึงกันทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่ความคล้ายคลึงกันของตัวละครและนิสัยใจคอ แต่เป็นความสม่ำเสมอของการประเมินทางจิตวิญญาณ ซึ่งเพียงอย่างเดียวสามารถสร้างความสามัคคีและมีเป้าหมายชีวิตร่วมกันสำหรับทั้งสอง สิ่งสำคัญคือสิ่งที่คุณบูชา สิ่งที่คุณรัก สิ่งที่คุณปรารถนาในชีวิตและความตาย อะไรและเพื่ออะไรที่คุณสามารถเสียสละได้ เจ้าสาวและเจ้าบ่าวต้องหาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตและสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีค่าควรแก่การอยู่ร่วมกัน เมื่อนั้นพวกเขาเท่านั้นที่จะสามารถรับรู้ซึ่งกันและกันในฐานะสามีภรรยาอย่างถูกต้องตลอดชีวิตของพวกเขา เชื่อในกันและกันและเชื่อในกันและกัน นี่คือสิ่งที่มีค่าที่สุดในการแต่งงาน: ไว้วางใจซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์ต่อหน้าพระเจ้า ความเคารพซึ่งกันและกันและความสามารถในการสร้างเซลล์ทางจิตวิญญาณใหม่ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งนี้ มีเพียงเซลล์ดังกล่าวเท่านั้นที่สามารถแก้ปัญหาหลักประการหนึ่งของการแต่งงานและครอบครัวได้ - เพื่อดำเนินการศึกษาทางจิตวิญญาณของเด็ก ๆ

ดังนั้นจึงไม่มีพื้นฐานที่แน่นอนสำหรับชีวิตครอบครัวที่คู่ควรและมีความสุขมากไปกว่าความรักทางจิตวิญญาณของสามีภรรยา: ความรักที่จุดเริ่มต้นของความหลงใหลและมิตรภาพผสานเข้าด้วยกัน เกิดใหม่สู่สิ่งที่สูงกว่า - สู่ไฟแห่งความสามัคคีรอบด้าน . ความรักเช่นนั้นจะไม่เพียงยอมรับความเพลิดเพลินและความยินดีเท่านั้น - และจะไม่เสื่อมถอย ไม่จางหาย ไม่หยาบกระด้างจากพวกเขา แต่จะยอมรับความทุกข์และความโชคร้ายใดๆ เพื่อที่จะเข้าใจพวกเขา ชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ และรับการชำระผ่านพวกเขา และมีเพียงความรักดังกล่าวเท่านั้นที่สามารถให้บุคคลที่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อความอ่อนแอและการให้อภัยซึ่งกันและกัน ความอดทน ความอดกลั้น การอุทิศตน และความจงรักภักดี ซึ่งจำเป็นสำหรับการแต่งงานที่มีความสุข

ความสุขของครอบครัวที่ยากลำบาก

เมื่อเข้าสู่การแต่งงาน คนเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับการแสดงความรักทุกวันทุกชั่วโมง การสร้างความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาที่เปี่ยมด้วยความรักและเอาใจใส่นั้นต้องใช้เวลาและการทำงาน หรืออาจใช้เวลาทั้งชีวิต ต้องพยายามอย่างมากที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมเห็นแก่ตัวที่ได้มาระหว่างการเกี้ยวพาราสีให้เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิตสมรสที่มีความสุข

เมื่อเข้าสู่สหภาพครอบครัวบุคคลจะต้องเผชิญกับความขัดแย้งบางอย่างโดยมีเงื่อนไขที่เข้ากันไม่ได้สองประการซึ่งส่งผลต่อการเลือก ด้านหนึ่งจำเป็นต้องทำความรู้จักกับคู่ครองในอนาคตให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนแต่งงาน และในทางกลับกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะทำความรู้จักคู่ครองในอนาคตให้ดีก่อนแต่งงาน

คู่สมรสทั้งสองนำอดีตส่วนตัว วัฒนธรรม ลักษณะการสื่อสารมาสู่การแต่งงาน สองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน สองประสบการณ์ชีวิต และสองชะตากรรมที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่ถ้าคู่สมรสแต่ละคนไม่มีทักษะในการสื่อสารและความสามารถในการเข้าใจอีกฝ่ายและไม่เต็มใจที่จะเรียนรู้สิ่งนี้ก็จะไม่มีความใกล้ชิดที่น่าพอใจ

การแต่งงานคือการที่คนสองคนที่ไม่สมบูรณ์แบบมาพบกัน และแต่ละคนก็ช่วยเหลืออีกฝ่ายให้สมบูรณ์และปรับปรุงตัวเอง คุณจะไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปหากคุณเรียนรู้ที่จะให้ความต้องการของคู่สมรสมาก่อนความต้องการของตนเอง การแต่งงานไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณเพิ่มเข้าไปในกิจกรรมประจำวันของคุณในฐานะคนโสด การแต่งงานควรเป็นเวทีหลักในชีวิตของคุณ และการแสวงหาอื่น ๆ ทั้งหมดจะจางหายไปเป็นเบื้องหลัง

ความยากลำบากที่ได้รับพรของครอบครัวคือที่นี่เราแต่ละคนเข้าใกล้บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน - กับอีกคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการแต่งงาน ทรัพย์สินของอีกฝ่ายที่จะเป็นของอีกฝ่ายได้เน้นย้ำอย่างชัดเจนถึงข้อห้ามสองประการ: ข้อห้ามในพระคัมภีร์เกี่ยวกับความรักระหว่างเพศเดียวกันและข้อห้ามในการร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง ผู้ชายต้องเชื่อมต่อกับผู้หญิงและยอมรับมุมมองของผู้หญิงในสิ่งต่าง ๆ จิตวิญญาณของผู้หญิงของเธอ - จนถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณผู้ชายของเขาเอง และผู้หญิงก็มีงานที่ยากพอๆ กันในความสัมพันธ์กับผู้ชาย นอกจากนี้ ชายและหญิงที่สร้างครอบครัวใหม่จะต้องมาจากสองครอบครัวที่แตกต่างกัน โดยต้องมีความแตกต่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในด้านทักษะและนิสัย ซึ่งมันดำเนินไปโดยไม่ได้บอก - และทำความคุ้นเคยกับความแตกต่าง ความหมายที่แตกต่างกันเล็กน้อยของ ท่าทางพื้นฐานที่สุด , คำ, น้ำเสียง
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ตรงกันข้าม ความสามัคคีของเนื้อและเลือดอยู่ที่จุดเริ่มต้นของเส้นทาง แต่วิธีการคือการตัดสายสะดือครั้งแล้วครั้งเล่า ออกมาจากท้องก็ต้องมาเกิดเป็นคน นี่คือการทดสอบสำหรับทั้งพ่อแม่และลูก: การยอมรับอีกครั้งในฐานะผู้อื่น - คนที่เขาเคยสร้างเป็นหนึ่งเดียวที่แยกไม่ออกในอ้อมอกอันอบอุ่นของการดำรงอยู่ทั่วไป และอุปสรรคทางจิตใจระหว่างรุ่นเป็นเรื่องยากที่จะแข่งขันกับก้นบึ้งที่แยกโลกชายออกจากโลกหญิงและคูน้ำที่ขุดระหว่างประเพณีของครอบครัวต่างๆ

อื่นนี้ตามข่าวประเสริฐ คนกลาง! ประเด็นคือเราไม่ได้ประดิษฐ์เขาขึ้นมา - เขานำเสนอความจริงอันโหดร้ายของการเป็นอยู่ของเขาอย่างไม่ลดละ ตรงไปตรงมา เป็นอิสระจากจินตนาการของเราโดยสิ้นเชิง เพื่อทำให้เราหมดแรงและเสนอโอกาสเดียวของเราเพื่อความรอด นอกนั้นไม่มีความรอด ทางคริสเตียนไปหาพระเจ้าคือผ่านทางเพื่อนบ้าน

หลักคำสอนของการแต่งงานในพันธสัญญาใหม่

ในพันธสัญญาใหม่ ความเข้าใจเรื่องการแต่งงานมีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน ความแตกต่างนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นเพราะหมวดหมู่ของการคิดในพันธสัญญาเดิมถูกนำมาใช้ในพันธสัญญาใหม่เพื่อเติมเต็มด้วยเนื้อหาใหม่ ตัวอย่างเช่น ตรงกันข้ามกับแนวคิดของชาวยิว ไม่มีที่ไหนในพระกิตติคุณกล่าวถึงว่าการให้กำเนิดเป็นสิ่งชอบธรรมสำหรับการแต่งงาน ในตัวของมันเอง การคลอดบุตรเป็นหนทางแห่งความรอดก็ต่อเมื่อมาพร้อมกับ "ศรัทธา ความรัก และความศักดิ์สิทธิ์" () การเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานของชีวิตในพันธสัญญาเดิมนั้นชัดเจนเป็นพิเศษในสามตัวอย่าง:

1. เรื่องราวเกี่ยวกับทัศนคติของพระเยซูคริสต์ต่อคนเลวมีอยู่ใน Synoptic Gospels ทั้งหมด (; ; ) สิ่งสำคัญคือต้องเน้นว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับคำสอนของพระคริสต์เกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพและความเป็นอมตะ - คำสอนที่ไม่ต้องการแนวคิดเรื่องชีวิตนิรันดร์ในลูกหลาน เมื่อพวกสะดูสี (“ผู้ซึ่งกล่าวว่าไม่มีการฟื้นคืนชีวิต”) ถามว่าพี่น้องคนใดในเจ็ดคนที่แต่งงานกับผู้หญิงคนเดียวกันจะได้ภรรยา “ในการฟื้นคืนชีวิต” พระเยซูตรัสตอบว่า “ในการฟื้นคืนชีวิตพวกเขาไม่แต่งงาน ไม่ แต่งงานแต่เป็นเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า”

คำเหล่านี้มักถูกตีความในแง่ที่ว่าการแต่งงานเป็นสถาบันทางโลกที่บริสุทธิ์ ซึ่งความเป็นจริงแล้วความตายจะถูกทำลาย ความเข้าใจนี้มีชัยในคริสตจักรตะวันตกซึ่งอนุญาตให้หญิงหม้ายแต่งงานใหม่ได้และไม่จำกัดจำนวนการแต่งงาน แต่ถ้าความเข้าใจดังกล่าวในพระวจนะของพระเยซูถือว่าถูกต้อง เราจะพบว่าตัวเองขัดแย้งโดยตรงกับคำสอนเรื่องการแต่งงานของอัครสาวกเปาโลและกับหลักปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับของคริสตจักรออร์โธดอกซ์ คำตอบของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อพวกสะดูสีจำกัดเฉพาะความหมายของคำถามของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาปฏิเสธการฟื้นคืนชีพเพราะพวกเขาตื้นตันใจกับความเข้าใจของชาวยิวเกี่ยวกับการแต่งงานในฐานะการต่ออายุการดำรงอยู่ของมนุษย์บนโลกผ่านการสืบพันธุ์ของลูกหลาน พระเจ้าตรัสกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้: “คุณคิดผิดแล้ว” เพราะชีวิตในอาณาจักรจะเป็นเหมือนชีวิตของทูตสวรรค์... ดังนั้น คำตอบของพระคริสต์จึงเป็นเพียงการปฏิเสธความเข้าใจที่ไร้เดียงสาและวัตถุนิยมเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพ การปฏิเสธความเข้าใจวัตถุนิยม ของการแต่งงาน

2. แก่นแท้ของการแต่งงานของคริสเตียนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อย่างล้ำลึกโดยพระคริสต์ทรงห้ามการหย่าร้าง ข้อห้ามดังกล่าวขัดแย้งโดยตรงกับเฉลยธรรมบัญญัติ (; ; ) การแต่งงานของคริสเตียนเป็นสิ่งที่ไม่อาจละลายได้ และนี่เป็นการปิดกั้นการตีความที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ใดๆ ในเรื่องนี้ การอยู่กินร่วมกันของสามีภริยาก็สิ้นสุดลงในตัวมันเอง มันเป็นสหภาพนิรันดร์ระหว่างคนสองคน สหภาพที่ไม่สามารถละลายได้เพราะเห็นแก่ "การให้กำเนิด" (การให้เหตุผลของการเป็นนางบำเรอ) หรือการปกป้องผลประโยชน์ของชนเผ่า

เนื่องจากผู้ล่อลวงต้องการตัดสินลงโทษพระคริสต์และกล่าวหาว่าพระองค์ละเมิดกฎของโมเสส ดังนั้น พระองค์ทรงเจาะเข้าไปในความคิดอันเร้นลับของพวกเขา พระองค์จึงชี้ให้พวกเขาเห็นโมเสสคนเดียวกันและเปิดโปงพวกเขาด้วยคำพูดของพระองค์เอง “พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า พวกเจ้าไม่ได้อ่านหรือว่าพระองค์ผู้ทรงสร้างเพศชายและเพศหญิงเป็นผู้สร้างพวกเขา?” (, เปรียบเทียบ: ). การกระทำดั้งเดิมของการสร้างกล่าวว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ในรูปแบบที่ใช้งานอยู่ นั่นคือ พระองค์ทรงสร้างคนคนหนึ่งจากสองซีก - ชายและหญิง โดยกำหนดให้ครึ่งหนึ่งเป็นอีกซีกหนึ่ง โดยพระองค์ทรงสร้างชายสำหรับหญิง และหญิงสำหรับชาย ดังนั้น การแต่งงานจึงอยู่ที่พื้นฐานของการสร้างมนุษย์ พระเจ้าจึงตรัสว่า “เหตุฉะนั้นผู้ชายจะจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อพวกเขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน” (เปรียบเทียบ:) และจากคำพูดเหล่านี้ของโมเสสที่เปิดเผยแนวคิดพื้นฐานของการแต่งงาน พระคริสต์ทรงให้ข้อสรุปโดยตรงและชัดเจนสำหรับทุกคน: “ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงรวมไว้ด้วยกันแล้ว คำตอบคือ เด็ดเดี่ยว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เกิดขึ้นเองจากแผนและภารกิจการสร้างมนุษย์ มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดขาดสิ่งที่พระเจ้าทรงรวบรวมไว้ และถ้าเขาแยกจากกันในบางครั้ง นี่คือความเด็ดขาดของเขา ไม่ใช่พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตรงกันข้าม นี่เป็นการละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างชัดเจน

"จงสมบูรณ์แบบเหมือนที่พ่อของคุณสมบูรณ์แบบ" ข้อกำหนดของการมีคู่สมรสคนเดียวแสดงให้เห็นความไม่สมบูรณ์ทั้งหมดของผู้ฟังของพระคริสต์ (ดู:) ในความเป็นจริง ความรักอยู่นอกประเภทของ "เป็นไปได้" และ "เป็นไปไม่ได้" มันคือ "ของขวัญที่สมบูรณ์แบบ" ซึ่งเป็นที่รู้จักจากประสบการณ์จริงเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าความรักเข้ากันไม่ได้กับการล่วงประเวณี เพราะในกรณีนี้ของขวัญนั้นถูกปฏิเสธและการแต่งงานจะไม่มีอยู่อีกต่อไป จากนั้นเรากำลังเผชิญกับ "การหย่าร้าง" ทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโศกนาฏกรรมของการใช้เสรีภาพในทางที่ผิดซึ่งก็คือบาปด้วย

3. อัครสาวกเปาโลพูดถึงการเป็นม่ายได้มาจากความจริงที่ว่าการแต่งงานไม่ได้ถูกขัดจังหวะด้วยความตายและความรักไม่เคยสิ้นสุด () โดยทั่วไปแล้ว ทัศนคติของอัครสาวกเปาโลต่อการแต่งงานนั้นแตกต่างอย่างมากจากมุมมองการแต่งงานของชาวยิว-แรบไบ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษใน 1 โครินธ์ ซึ่งอัครสาวกชอบการถือพรหมจรรย์มากกว่าการแต่งงาน เฉพาะในสาส์นถึงชาวเอเฟซัสเท่านั้นที่มุมมองเชิงลบนี้ได้รับการแก้ไขโดยหลักคำสอนเรื่องการแต่งงานว่าเป็นภาพของการรวมกันของพระคริสต์และศาสนจักร หลักคำสอนที่กลายเป็นพื้นฐานของเทววิทยาของการแต่งงานที่สร้างขึ้นโดยประเพณีออร์โธดอกซ์

ในประเด็นที่ถกเถียงกันเรื่องพรหมจรรย์ของหญิงม่าย ทัศนะของอัครสาวกเปาโลสอดคล้องกับประเพณีที่เป็นที่ยอมรับและชำระให้บริสุทธิ์ของศาสนจักรทุกประการ: “หากพวกเขาไม่สามารถละเว้นได้ ก็จงแต่งงานเสีย ). การแต่งงานครั้งที่สองของพ่อม่ายหรือผู้หย่าร้างนั้นทนได้เพื่อรักษาอาการ "หงิกงอ" เท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ พิธีให้ศีลให้พรแก่คู่สมรสคนที่สองในปัจจุบันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอนุญาตให้มีได้ก็ต่อเมื่อมีความอ่อนแอของมนุษย์เท่านั้น พระคัมภีร์และประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์มีจุดเริ่มต้นมาจากความจริงที่ว่าพ่อม่ายหรือแม่หม้ายที่ซื่อสัตย์ต่อผู้ตายหรือผู้ตายนั้นเป็นอะไรที่มากกว่า "อุดมคติ" มันเป็นบรรทัดฐานของชีวิตคริสเตียนเพราะการแต่งงานของคริสเตียนไม่ใช่แค่ทางโลกเท่านั้น ความสัมพันธ์ทางเนื้อหนัง แต่เป็นพันธะนิรันดร์ที่ไม่ขาดออกจากกันแม้ในขณะที่ร่างกายของเรา "กลายเป็นฝ่ายวิญญาณ" และเมื่อพระคริสต์ทรงเป็น "ทุกสิ่งในทุกสิ่ง"

ตัวอย่างทั้งสามนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพันธสัญญาใหม่ได้ให้เนื้อหาใหม่แก่คำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิลโบราณเกี่ยวกับการแต่งงาน และแนวคิดใหม่นี้มีพื้นฐานมาจากข่าวดีเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ที่พระผู้ช่วยให้รอดสั่งสอน คริสเตียนถูกเรียกให้อยู่ในโลกนี้แล้วให้ยอมรับชีวิตใหม่ เป็นพลเมืองของราชอาณาจักร และเขาสามารถดำเนินตามเส้นทางนี้ในการแต่งงานได้ ในกรณีนี้ การแต่งงานไม่ใช่เพียงการสนองความต้องการทางธรรมชาติชั่วคราวและการรับประกันการมีชีวิตรอดโดยลวงผ่านลูกหลาน มันเป็นการรวมตัวกันของสองสิ่งที่ไม่ซ้ำใครในความรัก สิ่งมีชีวิตสองคนที่อยู่เหนือธรรมชาติของมนุษย์และกลายเป็นหนึ่งเดียว ไม่เพียง "มีกันและกัน" แต่รวมถึง "ในพระคริสต์" ด้วย

เลวิเรต- ประเพณีการแต่งงานแบบโบราณตามที่ภรรยาของผู้ตายควรแต่งงานกับพี่ชายของเขา - พี่เขยของเธอ (เลเวียร์)
นางบำเรอ- รับรองโดยกฎหมายโรมัน การอยู่ร่วมกันของชายและหญิงโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย

พระคัมภีร์เกี่ยวกับผู้หญิง

เพื่อจรรโลงใจเยาวชนและ
ก่อนอื่นหลานของฉัน

ดังที่คุณทราบ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาและอุปมาอุปไมยของพระองค์ เพื่อเขาจะปกครอง "เหนือฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ ฝูงสัตว์ใช้งาน เหนือแผ่นดินโลก และบรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่เลื้อยคลาน" ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” (ปฐก. 1:26) ไม่ว่าพระเจ้าจะพอพระทัยต่อการสร้างของเขาหรือไม่ก็ตามไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์กล่าวว่าคน ๆ หนึ่งเริ่มทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จไม่ใช่ในฐานะเจ้านาย (เจ้านาย) แต่เป็นชาวสวนธรรมดา "ใน สวนเอเดนจงปลูกและรักษาไว้” (ปฐมกาล 2:15) เห็นได้ชัดว่าผลิตภาพแรงงานของบุคคลไม่สูงเกินไป ความต้องการผู้ช่วยก็ชัดเจน พระเจ้าตรัสว่า "การที่มนุษย์อยู่คนเดียวนั้นไม่ดี ให้เราสร้างเขาขึ้นมา ผู้ช่วยสอดคล้องกับพระองค์” (ปฐก. 2:18)
นักจิตวิทยาจะทำการวินิจฉัย: ความเหงาที่นานเกินไปส่งผลกระทบต่อพระเจ้าในทางที่ไม่ดี และเขาก็เริ่มทำผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ประการแรกเขาไม่ได้สร้างผู้ช่วยสำหรับบุคคล แต่เป็นผู้ช่วย! ราวกับว่าเขาไม่ได้จินตนาการ (แต่เขาจำเป็นต้องทำ!) สิ่งนี้จะส่งผลต่องานในสวนและชะตากรรมของสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดบนโลกได้อย่างไร!
เพิ่มเติม - แย่ลง สิ่งที่จะทำให้ผู้ช่วย? ด้วยเหตุผลบางอย่าง พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยกับ "ผงธุลีดิน" ที่มนุษย์สร้างขึ้น และพระองค์ทรงตัดสินพระทัยใช้กระดูกที่นำมาจากบุคคลที่อยู่ภายใต้การดมยาสลบ คำถามเกิดขึ้นทันที: ผู้สร้างมีความคิดใด ๆ เกี่ยวกับเลขคณิต, เกี่ยวกับเลขคู่และเลขคี่, เกี่ยวกับสามัญ, หลังจากทั้งหมด, สมมาตร เขาคงคิดค้นสมมาตร หลังจากการสร้างมนุษย์เนื่องจากเขาพบซี่โครงพิเศษ
หลักสูตรของการดำเนินการเพื่อสร้างผู้ช่วย: "และพระเจ้าทรงนำชายที่แข็งแกร่ง ฝัน; ครั้นบรรทมหลับไปก็เอาเนื้อซี่โครงมาซีกหนึ่ง และพระเจ้าทรงสร้าง จากกระดูกซี่โครงที่เอามาจากชายคนหนึ่งภรรยาและพานางไปหาชายคนนั้น และชายคนนั้นกล่าวว่า ดูเถิด สิ่งนี้ กระดูกจากกระดูกและเนื้อของฉัน; จะเรียกนางว่าหญิง เพราะนางถูกพรากจากสามี" (ปฐก.2:21-23)
ดังนั้นผลลัพธ์คือ: ผู้หญิง- ประการแรกนี่คือ "กระดูก" ที่แปลกเป็นพิเศษ (แม้ว่าจะเป็นกระดูกซี่โครงก็ตาม) และเกี่ยวกับ "เนื้อ" ที่บุคคลนั้นหลับไปครึ่งหลับครึ่งตื่น (เห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากการดมยาสลบ) น่าแปลกที่เขาเดาถูก - ผู้ช่วยกลับกลายเป็นคนค่อนข้างอ่อนในที่ต่างๆ
ดูเหมือนว่ายังต้องการมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ทรงสงบสติอารมณ์และทรงซ้ำเติมความผิดพลาดของพระองค์: “ในตอนเริ่มต้นของการสร้างพระเจ้าทรงสร้างพวกเขาให้เป็นเพศชายและเพศหญิง ดังนั้น ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาและผูกพันอยู่กับเขา ภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน” (มาระโก 10:6-8)
จะเข้าใจทั้งหมดนี้ได้อย่างไร? ท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าสำหรับบุคคลในเอกพจน์คือผู้ปกครอง (ทั้งแม่และพ่อในเวลาเดียวกัน)! และเขาละทิ้งผู้สร้างยึดติดกับใครบางคนด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ (กระดูกและแม้กระทั่งการมีเพศ "ผู้หญิง" ที่เข้าใจยาก) และด้วยความสมัครใจจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง (อิสระ) รวมเป็นเนื้อเดียวนั่นคือ เชื่อมต่อร่างกายของเขากับ "กระดูก" กลายเป็นเนื้อนุ่มหรืออีกนัยหนึ่งคือผ้าขี้ริ้ว

ตอนนี้เรามาฟังความคิดเห็นของผู้รวบรวมพระคัมภีร์กัน

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ [ประการ] ๔ อย่าง คือ วิถีของนกอินทรีในท้องฟ้า วิถีของงูบนหิน วิถีของเรือในท้องทะเล และ ทางผู้ชายกับหญิงสาว” (สภษ. 30:18-19)

"เพราะแมลงเม่าออกมาจากเสื้อผ้าฉันใด ความชั่วร้ายของผู้หญิงก็ออกมาจากผู้หญิงฉันนั้น" (ศจ.42:13)

"ความโน้มเอียงที่จะผิดประเวณีของผู้หญิงจะรับรู้ได้จากการเงยหน้าขึ้นของตาและเปลือกตาของเธอ" (เซอร์ 26:11)

“ข้าพเจ้าพบว่าผู้หญิงคนหนึ่งขมขื่นยิ่งกว่าความตาย เพราะเธอเป็นบ่วงแร้ว และใจของเธอเป็นบ่วง มือของเธอเป็นตรวน คนดีต่อหน้าพระเจ้าจะรอดจากเธอ และคนบาปจะถูกเธอจับ” ( ปญจ. 7:26)

“อย่าให้กำลังของคุณแก่ผู้หญิง หรืออย่าให้ทางของคุณแก่ผู้ที่ทำลายกษัตริย์” (สภษ. 31:3)

“แต่สำหรับคนโสดและคนเป็นหม้าย ข้าพเจ้าว่าเป็นการดีที่เขาจะคงอยู่อย่างข้าพเจ้า แต่ถ้าเขางดเว้นไม่ได้ ก็จงแต่งงานเสีย เพราะแต่งงานเสียก็ดีกว่าเดือดร้อน” (1 โครินธ์ 7:8) -9).

ถ้อยคำของพระเยซูจากกิตติคุณของโธมัสโดดเด่น:
"118. ซีโมนเปโตรกล่าวกับพวกเขาว่า: ปล่อยให้มารีย์ไปจากเราเพราะผู้หญิงไม่คู่ควรกับชีวิต พระเยซูตรัสว่า: ดูสิเราจะแนะนำให้เธอสร้างเธอให้เป็นผู้ชายเพื่อที่เธอจะได้เป็นวิญญาณที่มีชีวิตเช่นเดียวกับคุณ ผู้ชาย สำหรับผู้หญิงทุกคนที่กลายเป็นผู้ชายจะได้เข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ "

ชีวิตครอบครัว.

“เขาต้องรับสาวใช้มาเป็นภรรยา คือหญิงม่าย หญิงโสเภณี หญิงมีมลทิน หรือหญิงโสเภณี เขาต้องไม่รับหญิงสาวจากหมู่ชนของเขามาเป็นภรรยา” (เลวี.21:13-14 ).
“ลูกเอ๋ย จงระวังการประพฤติชั่วทุกชนิด จงหาภรรยาจากตระกูลบิดาของเจ้า แต่อย่าหาภรรยาต่างชาติซึ่งไม่ได้มาจากเผ่าบิดาของเจ้า” (Tov.4:12)

“จงให้การสมรสเป็นที่นับถือในหมู่คนทั้งปวง และเตียงก็ปราศจากมลทิน แต่ผู้ที่ล่วงประเวณีและล่วงประเวณี พระเจ้าจะทรงพิพากษา” (ฮบ.13:4)

“ส่วนผู้ที่แต่งงานแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้สั่ง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าคือ ภรรยาต้องไม่หย่าร้างกับสามี ถ้าหย่าก็จะต้องอยู่เป็นโสด หรือคืนดีกับสามี และสามีต้องไม่จากไป ภรรยาของเขา” (1 โครินธ์ 7:10-11)

“ให้ผู้หญิงศึกษาอย่างเงียบ ๆ ด้วยความถ่อมตัวทั้งหมด แต่ฉันไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสอนหรือปกครองสามีของเธอ แต่ให้อยู่ในความเงียบ เพราะอาดัมถูกสร้างขึ้นก่อนจากนั้นจึงสร้างอีฟ และอาดัมไม่ได้ถูกหลอก แต่หญิงผู้นั้นถูกหลอกลวงและตกในความผิด อย่างไรก็ตาม เขาจะรอดได้ด้วยการคลอดบุตร ถ้าเขายังคงอยู่ในความเชื่อ ความรัก และความบริสุทธิ์ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์" (1 ทธ.2:11-15)

อัครสาวกเปาโล: “ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรู้ด้วยว่าพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของผู้ชายทุกคน สามีเป็นศีรษะของภรรยา และพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์” (1 โครินธ์ 11:3)

“ฝ่ายภรรยาจงเชื่อฟังสามีตามสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (คส. 3:18; อฟ. 5:22; 1 เปโตร 3:1)

“ความรำคาญ ความละอาย และความขายหน้าอย่างยิ่งเมื่อภรรยาจะมีชัยเหนือสามี” (ศจ.25:24)

“ผู้เป็นสามี จงรักภรรยาของตน และอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง” (คส.3:19)
“เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงรักภรรยาเหมือนรักตนเอง และให้ภรรยายำเกรงสามี” (อฟ.5:33)

“เช่นเดียวกัน ท่านที่เป็นสามี จงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างฉลาดเฉลียวเหมือนภาชนะที่อ่อนแอที่สุด จงให้เกียรติภรรยาในฐานะทายาทพร้อมกับพระคุณแห่งชีวิต เพื่อคำอธิษฐานของท่านจะไม่ถูกขัดขวาง” (1 เปโตร 3:7)

“จงใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานกับภรรยาที่ท่านรักตลอดวันเวลาอันเปล่าประโยชน์ของท่าน ผู้ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่ท่านภายใต้ดวงอาทิตย์สำหรับวันว่างๆ ของท่าน เพราะนี่คือส่วนแบ่งในชีวิตและงานของท่าน ซึ่งท่านทำงานภายใต้ดวงอาทิตย์” (ปญจ. .9:9)

“ผู้ที่ได้พบภรรยา [ที่ดี] ก็พบสิ่งที่ดีและได้รับพระหรรษทานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า [ผู้ใดขับภรรยาที่ดีออกไปย่อมหมดความสุข และผู้ใดมีหญิงชู้เป็นคนโง่เขลาและเจ้ายศเจ้าอย่าง]” (สุภาษิต 18:23) .

“สามีของภริยาที่ดีย่อมเป็นสุข และจำนวนวันของเขาก็บริสุทธิ์ ภริยาที่ดีย่อมทำให้สามีพอใจ และอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ภริยาที่ดีก็มีความสุขมาก เธอได้รับมรดกแก่ผู้ยำเกรง องค์พระผู้เป็นเจ้า กับเธอ คนรวยและคนจนมีจิตใจที่อิ่มเอิบและมีความสุขทุกเวลา" (ศรส.26:1-4)

“ใครเล่าจะหาภรรยาที่ดีได้ นางมีราคาสูงกว่าไข่มุก” (สภษ.31:10)

“ภรรยาที่ดีเป็นมงกุฎของสามี แต่สามีที่ไร้เกียรติก็เหมือนความเน่าเปื่อยในกระดูก” (สภษ.12:4)

"ความสุขมีแก่ผู้ที่อาศัยอยู่กับสตรีที่ฉลาด ผู้ซึ่งไม่ใช้ลิ้นผิด และไม่ปรนนิบัติผู้ที่ไม่คู่ควรกับตนเอง" (ศจ.25:11)
“บ้านและที่ดินเป็นมรดกจากบิดามารดา แต่ภรรยาที่ฉลาดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” (สภษ.19:14)

“ผู้หญิงฉลาดจะสร้างบ้านของเธอ แต่ผู้หญิงโง่จะทำลายมันด้วยมือของเธอเอง” (สภษ.14:1)

"อย่าละทิ้งภรรยาที่ฉลาดและใจดี เพราะศักดิ์ศรีของเธอมีค่ามากกว่าทองคำ" (เซอร์ 7:21)

"มารยาทของภรรยาจะทำให้สามีของเธอพอใจ และความรอบคอบของเธอจะทำให้กระดูกของเขาอ้วนพี" (ศจ.26:16)

“ภรรยาที่อ่อนโยนเป็นของประทานจากพระเจ้า และไม่มีราคาสำหรับจิตวิญญาณที่ดี” (เซอร์.26:17)

"พระคุณต่อพระคุณเป็นผู้หญิงที่ขี้อาย ไม่มีค่าพอสำหรับจิตใจที่พอประมาณ" (เซอร์.26:18-19)

“เหมือนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นบนที่สูงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ความงามของผู้หญิงที่ดีในการตกแต่งบ้านของเธอก็เป็นฉันนั้น” (ศจ.26:20-21)

“เพื่อละเว้นจากการผิดประเวณี ทุกคนต่างมีภรรยาเป็นของตน และต่างก็มีสามีเป็นของตน สามีย่อมแสดงธรรมแก่ภรรยาเหมือนภรรยาต่อสามี ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกาย แต่สามีก็เช่นเดียวกัน สามีไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตนแต่เป็นภรรยา” (1 โครินธ์ 7:2-4)
“อย่าเบี่ยงเบนจากกันเว้นแต่จะตกลงกันชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อถือศีลอดและอธิษฐานแล้วจึงอยู่ด้วยกันอีกเพื่อไม่ให้ซาตานล่อลวงท่านด้วยความไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เป็นการอนุญาตและ ไม่ใช่คำสั่ง” (1 โครินธ์ 7:5-6)

“มือที่หย่อนลงและเข่าที่ผ่อนคลาย - ภรรยาที่ไม่ทำให้สามีมีความสุข จุดเริ่มต้นของบาปตั้งแต่ภรรยา และเราทุกคนตายเพราะนาง” (ศจ.25:26-27)

คำแนะนำสำหรับชายคนหนึ่งจาก Book of Wisdom of Jesus บุตรของ Sirach

1) "อย่าอิจฉาภรรยาในใจของคุณและอย่าให้บทเรียนที่ไม่ดีกับเธอ" (เซอร์ 9:1)
2) "อย่ามอบจิตวิญญาณของคุณให้กับภรรยาของคุณ เกรงว่าเธอจะกบฏต่ออำนาจของคุณ" (เซอร์ 9:2)
3) "อย่าออกไปพบหญิงทราม เพื่อไม่ให้ติดข่ายของเธอ" (ศจ.9:3)
4) "อย่าอยู่กับนักร้องนานๆ เกรงว่าคุณจะหลงใหลในศิลปะของเธอ" (ศจ.9:4)
5) "อย่าจ้องมองสาวใช้ เพื่อไม่ให้เสน่ห์ของเธอล่อลวง" (คส.9:5)
6) "อย่ามอบชีวิตของท่านให้กับหญิงแพศยา เกรงว่ามรดกของท่านจะถูกทำลาย" (คส.9:6)
7) "จงละสายตาจากหญิงงาม และอย่ามองดูความงามของคนอื่น หลายคนหลงผิดเพราะความงามของหญิง ความรักก็จุดไฟจากนางเหมือนไฟ" (ศจ.9:8-9)
8) "อย่านั่งกับภรรยาที่แต่งงานแล้วและอย่าอยู่กับเธอในงานเลี้ยงเพื่อดื่มเหล้าองุ่น เกรงว่าจิตวิญญาณของคุณจะก้มลงไปหาเธอและเกรงว่าวิญญาณของคุณจะเข้าสู่ความพินาศ" (Sir.9:10-11) .

ตามพระคัมภีร์ ผู้ชาย (สามี) ไม่ "มีความสุข" กับภรรยา (กระดูกและเนื้อของสามี) สามประเภท - ชั่วร้าย ทะเลาะวิวาท และ "เล่นชู้"

1) เมียชั่ว:

“แอกวัวที่เคลื่อนไปโน่นไปนี่ก็เป็นภรรยาที่ชั่วร้าย ผู้ที่รับนางไปก็เหมือนกับจับแมงป่อง” (ศจ.26:9)

“อย่าให้น้ำเป็นทางระบาย หรืออย่าให้หญิงชั่วมีอำนาจ ถ้านางไม่เดินอยู่ใต้มือของเจ้า ก็จงตัดนางออกจากเนื้อของเจ้า” (ศจ.25:28-29)

"คุณสามารถทนต่อบาดแผลใด ๆ ได้ แต่ไม่สามารถทนต่อบาดแผลที่จิตใจและความโกรธใด ๆ ได้ แต่ไม่สามารถทนต่อความโกรธของผู้หญิงได้" (เซอร์ 25:15)

"ความโกรธทั้งหมดนั้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความโกรธของผู้หญิง ให้คนบาปตกอยู่ที่เธอ" (ศจ.25:21)

“จิตใจเศร้าหมอง ใบหน้าเศร้าหมอง และบาดแผลในใจเป็นภรรยาที่ชั่วร้าย” (ศจ.25:25)

“ข้าพเจ้าตกลงที่จะอยู่กับราชสีห์และมังกรดีกว่าอยู่กับภริยาที่ชั่วร้าย ความโกรธของภริยาทำให้นางเปลี่ยนไป และทำให้หน้าของนางหม่นหมองเหมือนหมี” (ศจ.25:19)

“การเริ่มต้นของการทะเลาะวิวาทก็เหมือนน้ำที่ปะทุ จงหยุดการวิวาทเสียก่อนที่จะปะทุขึ้น” (สภษ.17:14)

2) ภรรยาที่ไม่พอใจ:

“น้ำหยดในวันฝนตกกับภรรยาที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งก็เท่ากัน” (สภษ. 27:15)

"สิ่งที่ปีนขึ้นไปบนพื้นทรายก็เพื่อเท้าของชายชรา ภรรยาที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งก็เพื่อสามีที่สงบเสงี่ยม" (ศจ.25:22)

“อยู่ในแดนทุรกันดารดีกว่าอยู่กับผู้หญิงที่ขี้ทะเลาะและขี้โมโห” (สภษ. 21:19)

“อยู่ที่มุมบนดาดฟ้าดีกว่าอยู่กับภรรยาที่ชอบทะเลาะวิวาทในบ้านหลังใหญ่” (สุภาษิต 21:9)

“ลูกที่โง่เขลาเป็นความหายนะของพ่อ และภรรยาที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งก็เป็นท่อระบายน้ำ” (สภษ.19:13)

3) ภรรยาที่เป็นชู้:

“อย่าปรารถนาความงามของนาง [หญิงไร้ค่า] ในใจของเจ้า [เกรงว่าเจ้าจะถูกดึงดูด] และอย่าให้นางจับใจเจ้าด้วยขนตาของนาง เพราะภรรยาสุรุ่ยสุร่าย พวกเขาจึงยากจนเพียงเศษขนมปัง และภรรยาที่แต่งงานแล้วได้วิญญาณที่รัก” (สภษ.6:25-26)

“นี่เป็นวิถีของภรรยาที่เล่นชู้ เธอกินและเช็ดปากและพูดว่า 'ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด'" (สภษ. 30:20)

“ผู้ใดหย่าภรรยาของตนแล้วไปมีภรรยาใหม่ ผู้นั้นก็ล่วงประเวณีโดยนางนั้น และถ้าภรรยาหย่ากับสามีแล้วไปมีภรรยาใหม่ ผู้นั้นก็ล่วงประเวณี” (มาระโก 10:11-12; ลูกา 16:18; มธ. 19:9)

4) ข้อบกพร่องอื่น ๆ ของผู้หญิง:

"ความเจ็บป่วยของจิตใจและความเศร้า - ภรรยาอิจฉาภรรยาคนอื่นและลิ้นของเธอโจมตีทุกคน" (Sir.26: 7-8)

"ความน่ารำคาญอย่างใหญ่หลวงคือผู้หญิงที่ถูกปล่อยให้ดื่มเหล้าเมามาย และเธอจะไม่ซ่อนความอายของเธอ" (ศจ.26:10)

“ผู้หญิงไม่ควรสวมเสื้อผ้าของผู้ชาย และผู้ชายไม่ควรสวมเสื้อผ้าของผู้หญิง เพราะทุกคนที่ทำเช่นนี้เป็นที่น่ารังเกียจต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของคุณ” (ฉธบ.22:5)

การล่วงประเวณีคืองานศพของวิญญาณ

“อย่าล่วงประเวณี” (อพย. 20:14; Deut. 5:18; Matt. 5:27); “อย่านอนกับภรรยาของเพื่อนบ้านเพื่อหลั่งน้ำอสุจิและทำให้เป็นมลทินกับเธอ” (เลวี.18:20)

“แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองดูผู้หญิงด้วยความกำหนัด ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว” (มธ.5:28)

“ถ้าใจของข้าพเจ้าถูกผู้หญิงล่อลวง และข้าพเจ้าสร้างโรงตีเหล็กที่ประตูบ้านของเพื่อนบ้าน ให้ภรรยาของข้าพเจ้าบดขยี้คนอื่น และให้ผู้อื่นเยาะเย้ยนาง เพราะนี่เป็นอาชญากรรม” (โยบ.31:9-10)

“หญิงโสเภณีเป็นเหวลึก และหญิงแปลกหน้าเป็นบ่อน้ำแคบ เธอนั่งซุ่มอยู่เหมือนโจร และเพิ่มคนทำผิดกฎหมายในหมู่คน” (สุภาษิต 23:26-28)

“เหวลึกเป็นปากของหญิงโสเภณี ใครก็ตามที่โกรธองค์พระผู้เป็นเจ้าจะล้มลงที่นั่น” (สภษ. 22:14)

“บ้าน [ของหญิงโสเภณี] ของเธอเป็นทางไปสู่นรก ลงไปสู่แดนมรณา” (สุภาษิต 7:27; สุภาษิต 2:18; สุภาษิต 5:5) "และเขาไม่รู้ว่าคนตายอยู่ที่นั่นและในความลึกของยมโลกพวกเขาถูกเรียกโดยเธอ [แต่คุณกระโดดถอยหลัง อย่าลังเลในจุดนั้น อย่าหยุดจ้องมองเธอ เพราะในเรื่องนี้ ทางเจ้าจะข้ามน้ำต่างถิ่น จงออกห่างจากน้ำต่างถิ่น และอย่าดื่มน้ำจากบ่อน้ำพุของคนแปลกหน้า เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนยาว และปีแห่งชีวิตจะเพิ่มให้แก่เจ้า]" (สุภาษิต 9:18 ).

“เธอ [โลก] ไม่สามารถทนสี่: คนใช้เมื่อได้เป็นกษัตริย์ คนโง่เมื่อกินข้าวอิ่ม หญิงขายหน้าเมื่อแต่งงาน และสาวใช้เมื่อรับตำแหน่งนายหญิง” (สุภาษิต 30 :21- 23).

ผู้ใดล่วงประเวณีกับหญิงไม่มีความคิด เขาทำลายจิตใจของเขา ผู้ใดทำเช่นนี้ เขาจะถูกเฆี่ยนตีและได้รับความอับอาย ความอัปยศอดสูของเขาจะไม่ถูกลบล้าง เพราะความริษยาเป็นความโกรธของมนุษย์ และเขาจะไม่ไว้ชีวิต วันแห่งการแก้แค้น จะไม่ยอมรับค่าไถ่ และจะไม่พอใจ ไม่ว่าเจ้าจะทวีขึ้นมากเพียงใด" (สภษ.6:32-35)

“ถ้าผู้ใดล่วงประเวณีกับภรรยาที่แต่งงานแล้ว ถ้าผู้ใดล่วงประเวณีกับภรรยาของเพื่อนบ้าน ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษถึงตายทั้งผู้ล่วงประเวณีและผู้ล่วงประเวณี” (ลวต.20:10; Deut.22:22)

“เหล้าองุ่นและผู้หญิงจะทำให้ผู้มีปัญญาเสื่อมเสีย และผู้ที่คบค้าสมาคมกับหญิงแพศยาก็จะยิ่งอวดดี” (ศจ.19:2)

I. สถาบันการแต่งงานได้รับการสถาปนาโดยพระเจ้า
คำว่า "แต่งงาน" หรือ "แต่งงาน" ในพันธสัญญาเดิมและใหม่แปลโดยคำและแนวคิดต่อไปนี้: "เป็นนาย", "รับภรรยา", " ยกย่อง" หรือ "ยกย่อง" ผู้หญิง "ทำพันธสัญญา", "อยู่ด้วยกัน", "ทำหน้าที่ของพี่น้อง", "เป็นสามี/ภรรยา".

1. แหล่งกำเนิด
พระเจ้าทรงสถาปนาสถาบันครอบครัวให้เป็นสหภาพถาวร (ไม่ใช่ชั่วคราว) ของชายและหญิงบนพื้นฐานของความรักซึ่งกันและกันและความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (ปฐมกาล 2:18) พระคัมภีร์อธิบายการแต่งงานว่าเป็นความสามัคคีทางร่างกายและจิตวิญญาณระหว่างชายและหญิงที่ทำขึ้นเพื่อกันและกัน (ปฐมกาล 2:24, มัทธิว 19:5)

2. หลักคำสอนของการแต่งงานในพระคัมภีร์ - หลักคำสอนของการแต่งงานที่มีคู่สมรสคนเดียว
การสอนในพระคัมภีร์คือการมีคู่สมรสคนเดียว ไม่ใช่การมีภรรยาหลายคน นี่คือหลักคำสอนเรื่องการแต่งงานระหว่างชายหนึ่งหญิงหนึ่ง แน่นอน มี​หลาย​ครั้ง​ที่​คัมภีร์​ไบเบิล​พรรณนา​ไว้​เมื่อ​ผู้​คน​ละเมิด​หลักการ​นี้. แต่สิ่งนี้ไม่ได้หันเหไปจากคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการแต่งงานในฐานะคู่สมรสคนเดียวระหว่างคนสองคน
สดุดี 127:3 "ภรรยาของคุณ [หมายเหตุ: ไม่ใช่ภรรยา แต่เป็นภรรยา!] เหมือนเถาองุ่นในบ้านของคุณ ลูกชายของคุณเหมือนกิ่งมะกอกรอบโต๊ะของคุณ"; สุภาษิต 5:18 "และปลอบโยนภรรยาในวัยเยาว์ของคุณ"; สุภาษิต 18:22 "ผู้ใดพบภรรยาที่ดี [แต่ไม่ใช่ภรรยา] ผู้นั้นพบสิ่งดีและได้รับพระคุณจากองค์พระผู้เป็นเจ้า"; สุภาษิต 19:14 "บ้านและที่ดินเป็นมรดกจากพ่อแม่ แต่ภรรยาที่ฉลาด [ไม่ใช่ภรรยา!] มาจากพระเจ้า"; ปัญญาจารย์ 9:9 "จงใช้ชีวิตอย่างสำราญกับภรรยา [ไม่ใช่ภรรยา!] ที่ท่านรัก ตลอดวันเวลาอันเปล่าประโยชน์ของท่าน และผู้ที่พระเจ้าประทานให้แก่ท่านภายใต้ดวงอาทิตย์สำหรับวันว่างๆ ทั้งปวงของท่าน"

การมีภรรยาหลายคน:
การมีคู่สมรสคนเดียวในการแต่งงานมีขึ้นตั้งแต่การสร้างอาดัมและเอวามาหลายชั่วอายุคน การกล่าวถึงครอบครัวที่มีภรรยาหลายคนเป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์เกี่ยวข้องกับลูกหลานของคาอิน กล่าวคือ ลาเมค: ปฐมกาล 4:16-19 "และคาอินไปจากที่ประทับของพระเจ้าและตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งโนด ทางตะวันออกของเอเดน และคาอินก็รู้จักภรรยาของเขา นางจึงตั้งครรภ์และให้กำเนิดเอโนค เขาจึงสร้างเมืองหนึ่งและตั้งชื่อเมืองนั้นตามชื่อบุตรชายของเขาว่าเอโนค เอโนคให้กำเนิดบุตรชื่ออิราด อิราดให้กำเนิดบุตรชื่อเมเคียเอล เมเคียเอลให้กำเนิดบุตรชื่อเมธูเสลาห์ เมธูเสลาห์ให้กำเนิดบุตรชื่อลาเมค และลาเมคมีภรรยาสองคน สำหรับตัวเขาเอง: ชื่อหนึ่งคือ Ada และชื่อที่สอง: Zilla"
ลาเมคไม่ได้เป็นเพียง "ผู้มีภรรยาหลายคน" แต่ยังเป็นฆาตกรด้วย: ปฐมกาล 4:23-24 "และลาเมคพูดกับภรรยาของเขาว่า: อาดาและซิลลา! ฉัน ถ้าคาอินได้รับการล้างแค้นเจ็ดเท่า ลาเมคก็เจ็ดสิบคูณเจ็ด" เขาไม่เพียงแต่เป็นนักฆ่าเท่านั้น เขายังภูมิใจในสิ่งนี้อีกด้วย นั่นคือเขามีความสุขที่ได้ฝ่าฝืนกฎของพระเจ้าและระเบียบของพระเจ้า

ทีนี้มาดูทีละขั้นตอนเกี่ยวกับแผนของพระเจ้าสำหรับครอบครัว:

ตอบ พระเจ้าสร้างภรรยาเพียงคนเดียวให้กับอาดัม
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเริ่มต้นจากคนสองคน: อาดัมและเอวา
ปฐมกาล 1:27-28 “และพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่เขา และพระเจ้าตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้น จนเต็ม แผ่นดินโลกและปราบมัน และมีอำนาจเหนือฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และเหนือสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"

ข. ทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน.
ปฐมกาล 2:23-24 ชายคนนั้นจึงว่า "ดูเถิด นี่เป็นกระดูกจากกระดูกของเรา และเนื้อจากเนื้อของเรา เขาจะเรียกนางว่าหญิง เพราะนางออกมาจากชาย เพราะฉะนั้นผู้ชายจะละบิดามารดาของตน และผูกพันกับภรรยาของเขา และพวกเขาจะเป็นเนื้อเดียวกัน"
ทั้งสองกลายเป็นเนื้อเดียวกัน พวกเขามีทุกอย่างเหมือนกัน พวกเขาเป็นของกันและกัน พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ในกรณีนี้ ความเป็นทวิภาคี (ความปรารถนาที่จะเป็นอิสระ) คือปัจเจกนิยม ซึ่งตรงกันข้ามกับเอกภาพ

ข. การแต่งงานและการหย่าร้าง.
มัทธิว 19:5-9 “พระองค์ตรัสว่า เหตุฉะนั้นผู้ชายจะจากบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระเจ้าองค์ใด รวมกันแล้วอย่าให้ผู้ใดแยกจากกัน เขาทั้งหลายจึงกล่าวแก่เขาว่า "แล้วโมเสสสั่งเจ้าอย่างไรให้ออกใบหย่าและหย่านาง" เขากล่าวแก่เขาว่า "โมเสสเอ๋ย ใจแข็งกระด้างของเจ้าจึงยอมให้เจ้าหย่าภรรยาของเจ้า" แต่ก่อนไม่เป็นอย่างนั้น แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าภรรยาของตนแล้วไม่ผิดประเวณี แล้วไปมีภรรยาใหม่ ผู้นั้นก็ผิดประเวณี และผู้ใดแต่งงานกับหญิงที่หย่าร้างแล้ว ผู้นั้นก็ผิดประเวณี" เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในมาระโก 10:6-9
ความตายเท่านั้นที่สามารถแยกมนุษย์ออกจากเลือดเนื้อของเขาเอง ดังนั้น มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะทำลายสายใยการแต่งงานได้ พระเยซูกล่าวถึงเพียงเหตุผลเดียวที่คู่สมรสสามารถหย่าร้างได้ นั่นคือ การผิดประเวณี นั่นคือ การล่วงประเวณี (มัทธิว 19:9) อัครสาวกเปาโลกล่าวถึงเหตุผลอีกประการหนึ่งของการหย่าร้างในครอบครัวที่ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เชื่อและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ไม่เชื่อ: 1 โครินธ์ 7:15 "ถ้าผู้ไม่เชื่อต้องการหย่าร้าง ให้เขาหย่ากัน พี่น้องในกรณีเช่นนี้ ไม่เกี่ยวกัน"

ครั้งที่สอง คู่สมรส
1. สามี
น. หัวหน้าครอบครัว
เอเฟซัส 5:23 "...สามีเป็นศีรษะของภรรยา"
1 โครินธ์ 11:3 "ฉันอยากให้คุณรู้ด้วยว่าพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของทุกคน สามีเป็นศีรษะของภรรยา และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์"

ข. หน้าที่ของสามีในฐานะหัวหน้าครอบครัว
สามีในฐานะหัวหน้าครอบครัวมีหน้าที่รับผิดชอบหลักสามประการ ได้แก่ จิตวิญญาณ สังคม และเศรษฐกิจ:
ประการแรก บิดารับผิดชอบสุขภาพทางวิญญาณของครอบครัวโดยรวมและสำหรับสมาชิกแต่ละคนในครอบครัว ในสมัยโบราณบิดาเป็นนักบวชในครอบครัวจึงต้องเสียสละเพื่อสมาชิกในครอบครัว:
ปฐมกาล 12:8 "จากที่นั่นท่านขึ้นไปบนภูเขาทางทิศตะวันออกของเบธเอล และท่านตั้งเต็นท์ของท่านให้เบธเอลอยู่ทางทิศตะวันตก และเมืองอัยอยู่ทางทิศตะวันออก และท่านได้สร้างแท่นบูชาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น และร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า"; โยบ 1:5 “เมื่อครบกำหนดวันเลี้ยงแล้ว โยบก็ส่งคนไปชำระให้บริสุทธิ์ แล้วตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ถวายเครื่องเผาบูชาตามจำนวนทั้งหมด เพราะโยบพูดว่า “บางทีบุตรชายของเรามี พวกเขาทำบาปและดูหมิ่นพระเจ้าในใจ โยบก็ทำเช่นนี้ทุกวัน"

ต่อมาเมื่อมีการแนะนำฐานะปุโรหิตในอิสราเอล ปุโรหิต (คนเลวี) เข้ามารับบทบาทนี้ อย่างไรก็ตามพ่อยังคงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของครอบครัว สิ่งนี้แสดงให้เห็นในการเลี้ยงดูลูก ๆ และสมาชิกในครัวเรือนทั้งหมดในองค์พระผู้เป็นเจ้า:
อพยพ 12:3,26-27 "จงกล่าวแก่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดว่า ในวันที่สิบของเดือนนี้ ให้แต่ละคนเลือกลูกแกะสำหรับตนเองตามครอบครัว ครอบครัวละหนึ่งตัว ... และเมื่อลูกของท่านพูดว่า “นี่คือพิธีบูชาอะไร จงบอกเถิด นี่คือการถวายปัสกาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เสด็จผ่านบ้านของชนชาติอิสราเอลในอียิปต์ เมื่อพระองค์ได้โจมตีชาวอียิปต์และกอบกู้บ้านของเรา ประชาชนก็กราบลงและ บูชา"; สุภาษิต 22:6 "จงสั่งสอนคนหนุ่มเมื่อเริ่มเดินทาง เขาจะไม่หันเหไปจากเขาเมื่อเขาแก่"; เอเฟซัส 6:4 “ท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วยุบุตร แต่จงเลี้ยงดูเขาด้วยคำสอนและการตักเตือนขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

ความรับผิดชอบต่อสังคม: รวมถึงการคุ้มครองสมาชิกในครอบครัว พ่อเป็นผู้พิทักษ์บ้าน คนที่โชคร้ายที่สุดในสังคมอิสราเอลคือแม่หม้ายและเด็กกำพร้าซึ่งถือว่าเป็นคนที่ไม่มีที่พึ่งมากที่สุด ภาระทางสังคมหลักสี่ประการของหัวหน้าครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับลูกชายมีดังนี้ (ตามประเพณีของชาวยิว): การเข้าสุหนัตของลูกชาย, การโอนมรดกให้กับลูกคนหัวปี, ค้นหาภรรยาให้ลูกชาย, การสอน ลูกชายช่าง

ความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจ: หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวหรือหาเลี้ยงครอบครัว พระเจ้าทรงสาปแช่งโลกเพราะบาปของอาดัมตรัสว่า: ปฐมกาล 3:17-19 "...แผ่นดินโลกถูกสาปแช่งเพราะเห็นแก่เจ้า เจ้าจะกินจากแผ่นดินนี้ด้วยความโศกเศร้าตลอดชีวิตของเจ้า มันจะงอกหนามและต้นหนามเพื่อ เจ้า และเจ้าจะกินหญ้าในทุ่งนา เจ้าจะกินขนมปังด้วยหยาดเหงื่อ จนเจ้ากลับเป็นดิน"
สามีในฐานะหัวหน้าครอบครัวจำเป็นต้องดูแลความต้องการเร่งด่วนของสมาชิกในครอบครัว ในกรณีที่คนเกียจคร้านปฏิเสธที่จะดูแลครอบครัวของเขา พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เตือนให้เขานึกถึงหน้าที่ของเขาที่มีต่อครอบครัว (สุภาษิต 6:6-11 "จงไปหามด คนเกียจคร้าน ดูการกระทำของเขา และฉลาด เขา ไม่มีเจ้านายหรือมีแต่เขาเตรียมอาหารของเขาในฤดูร้อน เขารวบรวมอาหารของเขาในฤดูเก็บเกี่ยว เจ้าคนเกียจคร้าน เจ้าจะหลับไปนานเท่าใด ความยากจนของเจ้าก็เหมือนคนสัญจรผ่านไปมา ความขัดสนของเจ้าก็เหมือนขโมย"
ในพันธสัญญาใหม่ อัครสาวกเปาโลตัดสินผู้ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน ลืมดูแลครอบครัวของตน (1 ทิโมธี 5:8 "ถ้าผู้ใดไม่เลี้ยงดูตนเอง โดยเฉพาะครัวเรือนของตน ผู้นั้นปฏิเสธความเชื่อ และเลวยิ่งกว่าผู้ไม่มีศรัทธา")

2. ภรรยา
การพึ่งพาอาศัยของภรรยาต่อสามี: แม้เธอจะมีบทบาทในการจัดการบ้าน แต่ภรรยาก็ต้องพึ่งพาสามีโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้แสดงออกในรูปแบบต่างๆ กัน แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการปราศรัยของภรรยาต่อสามี คำที่ภรรยาใช้เมื่อกล่าวถึงคู่สมรสของตน "baal" หมายถึง "เจ้านาย" หรือ "เจ้านาย" ตามตัวอักษร ซาราห์เรียกอับราฮัมว่า "เจ้านายของเธอ": ปฐมกาล 18:12 "ซาราห์หัวเราะในใจและพูดว่า "เมื่อฉันแก่แล้ว ฉันจะได้รับความสะดวกสบายอย่างนี้ไหม และนายของฉันก็แก่แล้ว"

น. ผู้ช่วยเหลือสามี
ปฐมกาล 2:18, 21-22 พระเจ้าตรัสว่า "การที่มนุษย์อยู่คนเดียวนั้นไม่ดี ให้เราสร้างผู้ช่วยที่เหมาะสมแก่เขา... และพระเจ้าก็ทรงบันดาลให้ชายผู้นั้นหลับสนิท ครั้นบรรทมหลับไปก็ทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งมาปิดส่วนที่เป็นเนื้อนั้น พระเจ้าทรงชักกระดูกซี่โครงออกจากชายนั้น พระเจ้าทรงปั้นให้เป็นหญิง แล้วทรงนำนางมาให้ชายนั้น"
1 โครินธ์ 11:9 "...และสามีไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อภรรยา แต่สร้างภรรยาไว้สำหรับสามี"

ข. หน้าที่ของภรรยา. ภรรยามีอำนาจและอิสระเต็มที่ในการบริหารและจัดการบ้าน ซึ่งรวมถึงการเลี้ยงดูบุตรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเตรียมอาหารด้วย (ปฐมกาล 18:6 "อับราฮัมรีบไปที่เต็นท์ของนางซาราห์และพูดว่า "รีบนวดผ้าสามผืน แป้งที่ดีที่สุดและทำขนมปังไร้เชื้อ" ; 2 ซามูเอล 13:7-9 "ดาวิดจึงใช้คนไปบอกทามาร์ในบ้านว่า "จงไปที่บ้านของอัมโนนพี่ชายของเจ้า และเตรียมอาหารให้เขา และนางก็ไปที่บ้านของนาง อัมโนนน้องชาย และเขาโกหก เธอเอาแป้งนวดและทำขนมต่อหน้าต่อตาเขา และอบขนม แล้วเอากระทะมาวางต่อหน้าเขา แต่เขาไม่อยากกิน") การกระจายของ อาหารในครัวเรือน (สุภาษิต 31:15) และการผลิตผ้าและเครื่องนุ่งห่ม (สุภาษิต 31:13,21- 22) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภรรยาที่สุขุม ดูสุภาษิต 31:10-31

สาม. พันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับการแต่งงานและครอบครัว

1. จะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน?
พระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามการแต่งงาน แต่สนับสนุน:
1 ทิโมธี 4:1-3 “แต่พระวิญญาณตรัสอย่างชัดเจนว่าในวาระสุดท้าย บางคนจะละทิ้งความเชื่อ หันไปสนใจวิญญาณที่ล่อลวงและคำสอนของปีศาจ โดยความเจ้าเล่ห์ของพวกพูดเท็จ เผามโนธรรมของพวกเขา และห้ามการแต่งงาน " 1 ทิโมธี 5:14 "เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าปรารถนาให้หญิงม่ายสาวแต่งงาน มีบุตร ครองเรือน และไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูใส่ร้าย" ฮีบรู 13:4 “จงให้การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และเตียงก็ปราศจากมลทิน แต่ผู้ที่ล่วงประเวณีและล่วงประเวณี พระเจ้าจะทรงพิพากษา” 1 โครินธ์ 7:1-2 "และเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเขียนถึงฉัน เป็นการดีที่ผู้ชายจะไม่แตะต้องผู้หญิง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดประเวณี แต่ละคนควรมีภรรยาของตัวเอง และแต่ละคนควรมีนาง สามีตัวเอง”

2. การแต่งงานของคริสเตียน:
พระเจ้าทรงห้ามการแต่งงานของชาวอิสราเอลกับชาวคานาอันเพราะอาจทำให้ชาวอิสราเอลหลงไปจากพระเจ้า อพยพ 34:15-16 ได้เชิญท่านด้วย และท่านจะไม่ได้ลิ้มรสเครื่องบูชาของพวกเขา และอย่ารับภรรยาจากบุตรสาวของพวกเขามาเป็นของท่าน บุตรชายเอ๋ย เกรงว่าบุตรสาวของพวกเขาจะประพฤติผิดประเวณีตามพระของพวกเขา จะนำลูกชายของคุณไปสู่ความชั่วร้ายตามพระของพวกเขา" เฉลยธรรมบัญญัติ 7:3-4 "... อย่าเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขาและอย่าไว้ชีวิตพวกเขา และอย่าเข้าร่วมเป็นเครือญาติกับพวกเขา อย่ายกลูกสาวให้กับลูกชายของเขา และอย่าเอาลูกสาวของเขามาเป็นของคุณ ลูกเอ๋ย เพราะพวกเขาจะหันลูกของเจ้าจากเราไปปรนนิบัติพระอื่น แล้วพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทุขึ้นเจ้า และในไม่ช้าพระองค์จะทรงทำลายเจ้า”

พระคัมภีร์ห้ามผู้เชื่อแต่งงานกับผู้ที่ไม่เชื่อ:

2 โครินธ์ 6:14-18 "เราไม่แน่นสำหรับคุณ แต่แน่นอยู่ในใจของคุณ ในผลกรรมที่เท่าเทียมกัน" ฉันพูดกับเด็กๆ "จงขยายตัวเอง ความสว่างเกี่ยวอะไรกับความมืด? มีข้อตกลงระหว่างพระคริสต์กับเบลีอัลหรืออะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื่อสัตย์กับผู้ไม่เชื่อ วิหารของพระเจ้ากับรูปเคารพสัมพันธ์กันอย่างไร เพราะท่านทั้งหลายเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสว่า เราจะอาศัยอยู่ พวกเขาและเดินเข้าไปในพวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้า และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า จงออกไปจากท่ามกลางพวกเขาและแยกตัวออกไป และอย่าแตะต้องคนที่ไม่สะอาด แล้วเราจะรับเจ้าไว้ และเราจะเป็นของเจ้า พระบิดา เจ้าจะเป็นบุตรธิดาของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพตรัสดังนี้"
1 โครินธ์ 7:39 "ภรรยามีพันธะตามกฎหมายตราบเท่าที่สามียังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีของเธอเสียชีวิต เธอมีอิสระที่จะแต่งงานกับใครก็ได้ตามที่เธอต้องการ แต่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น"

3. ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส:
เอเฟซัส 5:22-33 “ผู้เป็นภรรยา จงเชื่อฟังสามีเหมือนเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของร่างกายด้วย แต่ในฐานะ คริสตจักรอยู่ภายใต้พระคริสต์ ภรรยาของสามีก็เช่นกันในทุกสิ่ง สามีรักภรรยาของคุณ เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและยอมสละพระองค์เองเพื่อเธอ เพื่อชำระเธอให้บริสุทธิ์ โดยชำระเธอด้วยอ่างน้ำด้วยพระวจนะ ที่จะถวายพระศาสนจักรอันรุ่งโรจน์แด่พระองค์เอง ไม่มีตำหนิ ไม่มีรอยย่นหรืออะไรทำนองนั้น แต่ให้นางเป็น "ผู้บริสุทธิ์และไม่มีตำหนิ ดังนั้น สามีควรรักภรรยาเหมือนรักกายของตน ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง เพราะไม่มีใครเคยเกลียดชังเนื้อหนังของตนเองแต่จงเลี้ยงดูและให้ความอบอุ่นแก่เนื้อหนังเหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำแก่คริสตจักรเพราะเราเป็นอวัยวะในร่างกายของพระองค์ เป็นเนื้อหนัง และกระดูกของพระองค์ ดังนั้น ผู้ชายจะละบิดามารดาของตนและ แนบแน่นกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน นี่เป็นข้อลึกลับที่ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าพูดถึงพระคริสต์และคริสตจักร ดังนั้นให้ทุกคนรักภรรยาเหมือนรักตนเอง แต่ให้ภรรยากลัว สามีของเธอ";

โคโลสี 3:18-19 "ฝ่ายภรรยาจงเชื่อฟังสามีตามสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฝ่ายสามีจงรักภรรยาและอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง";

ทิตัส 2:4-5 "...สอนคนหนุ่มสาวให้รักสามี รักลูก ให้เป็นคนบริสุทธิ์ สะอาด ดูแลบ้าน มีเมตตา เชื่อฟังสามี";

1 เปโตร 3:1-7 “เช่นเดียวกัน ผู้เป็นภรรยา จงยอมเชื่อฟังสามี เพื่อว่าคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระวจนะจะได้ชีวิตภรรยาโดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ เมื่อพวกเขาเห็นความบริสุทธิ์ของคุณ พระเจ้า- กลัวชีวิต อย่าให้สิ่งภายนอกเป็นเครื่องประดับที่ถักผมของเธอ, อย่าให้ผ้าโพกศีรษะสีทองหรือเครื่องประดับอันวิจิตร, แต่จงเป็นคนที่ซ่อนเร้นอยู่ในความงามที่ไม่เสื่อมคลายของจิตใจที่อ่อนโยนและเงียบขรึม, ซึ่งมีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า. ผู้ซึ่งวางใจในพระเจ้า ประดับตัวและเชื่อฟังสามี ดังนั้นนางซาราห์จึงเชื่อฟังอับราฮัมและเรียกเขาว่านาย ท่านเป็นลูกของนาง ถ้าท่านทำความดีและไม่กลัวสิ่งใด ท่านผู้เป็นสามีก็เช่นเดียวกัน จงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างฉลาดเฉลียว เช่นเดียวกับ เป็นภาชนะที่อ่อนแอกว่า ให้เกียรติพวกเขาในฐานะทายาทร่วมแห่งพระคุณแห่งชีวิต เพื่อท่านจะไม่ถูกขัดขวางในการอธิษฐาน”

1 โครินธ์ 7:3-16 "ฝ่ายสามีย่อมแสดงความรักต่อภรรยาตามสมควร ภรรยาย่อมมีต่อสามีเช่นเดียวกัน ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่สามีก็เช่นเดียวกัน สามีก็ไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่ ภริยา. โดยตกลงกันชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อถือศีลอดและอธิษฐานแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันอีกเพื่อไม่ให้ซาตานล่อลวงท่านด้วยความไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เป็นการอนุญาตไม่ใช่คำสั่ง แต่ทุกคนมีของประทานจากพระเจ้าเป็นของตน ทางนี้ อีกทางหนึ่ง ข้าพเจ้ากล่าวว่าสำหรับคนโสดและหญิงม่าย ที่จะเป็นเหมือนข้าพเจ้าก็เป็นการดี แต่ถ้าพวกเขางดเว้นไม่ได้ ก็จงแต่งงานเสียดีกว่า แต่งงานดีกว่าที่จะร้อนระอุ ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้สั่งการแต่งงาน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ภรรยาต้องไม่หย่าร้างกับสามี ถ้าเธอหย่า เธอต้องอยู่เป็นโสดหรือคืนดีกับสามี และสามีต้องไม่ทิ้งสามี ภรรยา.
นอกนั้นข้าพเจ้าพูด ไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพี่น้องคนใดมีภรรยาที่ไม่เชื่อ และนางตกลงที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา เขาก็ไม่ควรละทิ้งนาง และภรรยาที่มีสามีที่ไม่เชื่อและเขาตกลงที่จะอยู่กับนางก็อย่าจากเขาไป เพราะสามีที่ไม่เชื่อได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยภรรยาที่เชื่อ และภรรยาที่ไม่เชื่อก็ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยสามีที่เชื่อ มิฉะนั้นบุตรของท่านจะเป็นมลทิน แต่ตอนนี้พวกเขาบริสุทธิ์แล้ว ถ้าผู้ไม่เชื่อต้องการหย่าก็ให้เขาหย่า พี่ชายหรือน้องสาวในกรณีดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกัน พระเจ้าทรงเรียกเราสู่สันติสุข คุณรู้ได้อย่างไรว่าภรรยาของคุณสามารถช่วยสามีของคุณได้? หรือคุณสามีทำไมคุณรู้ว่าคุณสามารถช่วยภรรยาของคุณ? "

อะไรคือคำสอนของพระคัมภีร์เกี่ยวกับครอบครัวตามข้อพระคัมภีร์ข้างต้น?
ขอสรุปสิ่งที่เราเพิ่งอ่าน:
1) บุคคลไม่สามารถแต่งงานได้
2) อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในบาป พระเจ้าแนะนำให้ทุกคนมีภรรยา/สามี
3) ถ้าบุคคลใดแต่งงานกัน เขาผูกพันโดยสายสัมพันธ์ในครอบครัวตราบเท่าที่คู่สมรสทั้งสองยังมีชีวิตอยู่
4) พระคัมภีร์อนุญาตให้มีการหย่าในสองกรณี: ประการแรก ในกรณีของการล่วงประเวณีของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประการที่สอง หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และอีกฝ่ายไม่ต้องการอยู่กับเขา
5) ในกรณีของการหย่าร้าง คู่สมรสมีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือคืนดีและกลับมาหากันอีกครั้ง หรืออยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต
6) ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต คู่สมรสคนที่สองตามพระคัมภีร์มีสิทธิที่จะแต่งงานหรือแต่งงานใหม่ แต่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ กล่าวคือ คู่สมรสจะต้องเป็นผู้ศรัทธา
7) หากผู้ศรัทธาต้องการสร้างครอบครัว เขาต้องแต่งงานหรือแต่งงานกับผู้ศรัทธาเท่านั้น

IV. พระเจ้าใช้การเปรียบเทียบครอบครัว

1. ในพันธสัญญาเดิม:
ตอบ ในพันธสัญญาเดิม ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับอิสราเอลถูกอธิบายว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส (โดยที่อิสราเอลคือภรรยาและพระเจ้าคือสามี):
อิสยาห์ 54:5 "เพราะผู้สร้างเจ้าคือสามีของเจ้า พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์จอมโยธา และผู้ไถ่ของเจ้าคือองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล พระองค์จะถูกเรียกว่าพระเจ้าแห่งแผ่นดินโลก"
อิสยาห์ 62:4-5 "พวกเขาจะไม่เรียกเจ้าว่า 'ผู้ถูกทอดทิ้ง' อีกต่อไป และแผ่นดินของเจ้าจะไม่ถูกเรียกว่า 'ถิ่นทุรกันดาร' อีกต่อไป แต่พวกเขาจะเรียกเจ้าว่า 'ฉันพอใจเขา' และแผ่นดินของเจ้าว่า 'แต่งงานแล้ว เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยท่าน และแผ่นดินของท่านก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ชายหนุ่มผูกพันกับหญิงพรหมจารีฉันใด บุตรของเธอก็พลอยเป็นหนึ่งเดียวกับเธอฉันใด เจ้าบ่าวเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าสาวฉันใด พระเจ้าของเธอจะเปรมปรีดิ์เพราะเธอฉันนั้น "

ข. อิสราเอล (ภรรยา) นอกใจพระเจ้าร่วมกับพระอื่น:
อิสยาห์ 1:21 "เมืองที่สัตย์ซื่อ เต็มไปด้วยความยุติธรรม กลายเป็นหญิงโสเภณีไปเสียแล้ว ความจริงอยู่ในเมืองนั้น แต่เดี๋ยวนี้เป็นฆาตกร";
เยเรมีย์ 2:21-23 "เราปลูกเจ้าไว้เหมือนเถาองุ่นอันสูงส่ง เป็นเมล็ดที่บริสุทธิ์ที่สุด เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นกิ่งก้านของเถาองุ่นประหลาดร่วมกับเรา เหตุฉะนั้น แม้ว่าเจ้าจะชำระตัวด้วยสบู่และใช้น้ำด่างมาก แต่ความชั่วช้าของเจ้า ถูกทำเครื่องหมายไว้ต่อหน้าเรา พระเจ้าตรัส เจ้าพูดได้อย่างไรว่า: "เราไม่ได้ทำให้ [a] ตัวเองเป็นมลทิน
เยเรมีย์ 3:1-2 "พวกเขาพูดว่า 'ถ้าชายคนหนึ่งส่งภรรยาไป และนางจากเขาไปและไปเป็นภรรยาของชายอื่น นางจะกลับมาหาเขาได้หรือไม่? ประเทศนั้นจะไม่แปดเปื้อนเพราะสิ่งนี้หรือ" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เจ้ากับคนรักหลายคนก็ล่วงประเวณี แต่ยังกลับมาหาเรา จงเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องสูงและดูว่าพวกเขาไม่ได้ล่วงประเวณีกับเจ้าที่ไหนในถิ่นทุรกันดาร และทำให้แผ่นดินเป็นมลทินด้วยการล่วงประเวณีและความชั่วร้ายของเจ้า” เยเรมีย์ 3:6-11 เช่นกัน

C. พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะชำระเจ้าสาวของพระองค์ให้บริสุทธิ์และทำพันธสัญญาใหม่กับเธอตลอดไป โฮเชยา 2:16-23 พระเจ้าตรัสว่า "และในวันนั้นพระเจ้าตรัสว่า เจ้าจะเรียกเราว่า 'สามีของเรา' และ จะไม่เรียกฉันว่า 'บาลี" อีกต่อไป และเราจะลบชื่อพระบาอัลออกจากปากของนาง และจะไม่จำชื่อพระบาอัลอีกต่อไป ในเวลานั้นเราจะทำพันธสัญญากับสัตว์ป่าทุ่ง นกในอากาศ และสัตว์เลื้อยคลานบนแผ่นดินโลก เราจะตัดคันธนู ดาบ และสงครามเสียจากแผ่นดินนั้น และเราจะให้เขาอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย และเราจะหมั้นเจ้าไว้สำหรับเราตลอดไป และจะหมั้นเจ้าไว้กับเราด้วยความชอบธรรมและความยุติธรรม ด้วยความดีและความเมตตา และเราจะหมั้นเจ้าไว้กับเราด้วยความสัตย์ซื่อ แล้วเจ้าจะรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า และต่อมาในวันนั้น พระเจ้าตรัสว่า เราจะฟัง เราจะฟังสวรรค์ ฟ้าจะฟังโลก และพิภพจะฟังขนมปัง น้ำองุ่น และน้ำมัน และคนเหล่านี้จะได้ยินยิสเรเอล และฉันจะหว่านมันเพื่อตัวฉันเองบนแผ่นดินโลก และเมตตาต่อผู้ไร้ความเมตตา และฉันจะไม่พูดกับคนของฉันว่า: "คุณคือคนของฉัน" แต่พวกเขาจะพูดว่า: "คุณคือพระเจ้าของฉัน!" ".

2. ในพันธสัญญาใหม่:
พระสัญญาของพระเจ้าที่ให้ไว้ในพันธสัญญาเดิมสำเร็จในพันธสัญญาใหม่: พันธสัญญาใหม่กล่าวถึงพระเยซูคริสต์ในฐานะเจ้าบ่าวและคริสตจักร - เจ้าสาวของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงไถ่ ชำระ และล้างด้วยพระโลหิตของพระองค์

มัทธิว 9:14-15 สาวกของยอห์นมาทูลพระองค์ว่า "เหตุใดเราและพวกฟาริสีจึงอดอาหารมาก แต่พวกสาวกของท่านไม่อดอาหาร" พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า เจ้าบ่าวอยู่กับเขาหรือ แต่วันจะมาถึง เมื่อเจ้าบ่าวถูกพรากไปจากเขาแล้วพวกเขาจะอดอาหาร"
ยอห์น 3:29 "ผู้ที่มีเจ้าสาวคือเจ้าบ่าว แต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวยินดีเมื่อได้ยินเสียงเจ้าบ่าว นี่แหละคือความยินดีของเรา"
2 โครินธ์ 11:2 "เพราะข้าพเจ้าอิจฉาริษยาต่อท่าน เพราะข้าพเจ้าได้หมั้นหมายกับชายคนเดียว เพื่อข้าพเจ้าจะได้ถวายสาวบริสุทธิ์แด่พระคริสต์"
เอเฟซัส 5:23-27 "...เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดทางกาย แต่คริสตจักรเชื่อฟังพระคริสต์ฉันใด สามีของตนในทุกสิ่ง สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาของตนเหมือนที่พระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักรด้วยและทรงสละพระองค์เองเพื่อเธอ เพื่อพระองค์จะทรงชำระเธอให้บริสุทธิ์ ชำระเธอด้วยอ่างน้ำโดยทางพระวจนะ เพื่อถวายเธอแด่พระองค์เอง เป็นศาสนจักรอันรุ่งโรจน์ ไม่มีตำหนิ ไม่มีรอยย่นหรืออะไรทำนองนั้น แต่เพื่อเธอจะได้บริสุทธิ์และไม่มีที่ติ";
วิวรณ์ 19:7 "ให้เราชื่นชมยินดีและยินดีและถวายเกียรติแด่พระองค์ เพราะว่าการสมรสของพระเมษโปดกมาถึงแล้ว และพระมเหสีของพระองค์ก็ทรงเตรียมตัวให้พร้อม";
วิวรณ์ 21:2,9 "และข้าพเจ้า ยอห์น ได้เห็นเมืองเยรูซาเล็มอันบริสุทธิ์ใหม่ เสด็จลงมาจากพระเจ้าจากสวรรค์ เตรียมพร้อมเป็นเจ้าสาวที่ประดับประดาสำหรับสามี... และทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ได้มาหาข้าพเจ้า ผู้ทรงมีขันเจ็ดใบซึ่งเต็มไปด้วยภัยพิบัติเจ็ดประการสุดท้าย และตรัสกับข้าพเจ้าว่า "มาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านหามเหสีคนหนึ่ง คือเจ้าสาวของพระเมษโปดก"
วิวรณ์ 22:17 "และพระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า "เชิญมาเถิด ผู้ฟังจงว่ามาเถิด ผู้กระหายจงมาเถิด และผู้ใดเต็มใจ ให้ผู้นั้นรับน้ำแห่งชีวิตตามอิสระ"

V. ความสัมพันธ์ในครอบครัวบนโลกคือต้นแบบ
ความสัมพันธ์ของพระเยซูคริสต์และคริสตจักร:

ในจดหมายของอัครทูตเปาโลถึงชาวเอเฟซัส เมื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคู่ครอง กล่าวว่า: "ข้อลึกลับนี้ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าพูดเกี่ยวกับพระคริสต์และคริสตจักร" (เอเฟซัส 5:32) ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเปิดม่านแห่งความลึกลับของพระเจ้าแก่เราเกี่ยวกับผู้เชื่อและพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขาโดยใช้แบบอย่างของครอบครัว:

ก) เอเฟซัส 5:30 "...เพราะเราเป็นอวัยวะในพระกายของพระองค์ เป็นเนื้อหนังและเป็นกระดูกของพระองค์" อีฟปรากฏตัวในช่วงที่อดัมหลับสนิทจากซี่โครง (เนื้อ) ของเขา ที่นี่เราสามารถเปรียบเทียบได้กับพระเยซูคริสต์ ซึ่งการสิ้นพระชนม์ (หลับสนิท) นำไปสู่การกำเนิดของเจ้าสาวของพระองค์ - คริสตจักรของพระเจ้า (ยอห์น 12:24) ถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์ พระองค์จะเกิดผลมากมาย"; ยอห์น 19:33- 35 "แต่เมื่อพวกเขามาถึงพระเยซูและเห็นพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขามิได้หักขาของพระองค์ แต่มีทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงสีข้างของพระองค์ เลือดและน้ำก็ไหลออกมาทันที ผู้ที่ได้เห็นก็มี เป็นพยานและคำให้การของเขาเป็นความจริง เขารู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านจะได้เชื่อ”

ข) อาดัมตั้งชื่อให้เอวาว่า "อิชาห์ - "ภรรยา" หรือ "หญิง" ซึ่งมาจาก "iysh - "ผู้ชาย" หรือ "ผู้ชาย" (ปฐมกาล 2:23 "และชายคนนั้นพูดว่า: ดูเถิด นี่เป็นกระดูกของ กระดูกและเนื้อหนังของข้าพเจ้า จงเรียกนางว่าหญิง เพราะนางออกมาจากชายแล้ว"
พระเยซูทรงประทานชื่อใหม่แก่คริสตจักร: วิวรณ์ 3:12 "ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะสร้างเสาในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปอีก และเราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเราและพระนามไว้บนเขา แห่งนครแห่งพระเจ้าของฉัน กรุงเยรูซาเล็มใหม่ ซึ่งลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของฉัน และชื่อใหม่ของฉัน"

ค) มีการกล่าวถึงครอบครัว: เอเฟซัส 5:31-32 "เหตุฉะนั้นผู้ชายจะจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน" ในครอบครัว สามีภรรยากลายเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือต้นแบบของเอกภาพของพระศาสนจักร: โรม 6:5 “เพราะว่าถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในลักษณะของการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เราก็ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันในลักษณะของการฟื้นคืนชีพด้วย”

d) สามีเป็นศีรษะของภรรยา เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร 1 โครินธ์ 11:3 "ฉันอยากให้คุณรู้ด้วยว่าพระคริสต์เป็นศีรษะของผู้ชายทุกคน ส่วนสามีเป็นศีรษะของภรรยา และศีรษะของพระคริสต์คือพระเจ้า"; เอเฟซัส 5:23 "สามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร"

จ) ความตายสามารถแยกสามีภรรยาได้ อย่างไรก็ตาม ความตายไม่สามารถแยกพระคริสต์ออกจากเจ้าสาวของพระองค์ได้ ยอห์น 10:28-29 "พระบิดาของเราผู้ประทานสิ่งเหล่านั้นแก่เรานั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใด และไม่มีผู้ใดแย่งชิงไปจากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้ เราและพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"; โรม 8:35-39 "ผู้ใดจะแยกเราจากความรักของพระเจ้า ความทุกข์ยาก ความทุกข์ใจ การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือดาบ แต่เราเอาชนะสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ได้ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ผู้ทรงรักเรา เรา เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต เทวดา อาณาเขต ฤทธานุภาพ ปัจจุบัน อนาคต ความสูง ความลึก หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดไม่สามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าในพระคริสต์ได้ พระเยซูเจ้าของเรา”

ฉ) อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่าการนอกใจเป็นสาเหตุที่สองที่ทำให้คู่สมรสแยกจากกัน ในกรณีนี้ เมื่อนำไปใช้กับความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า เราสามารถพูดได้ว่าการล่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ (การผิดประเวณีฝ่ายวิญญาณ) สามารถทำให้เราปฏิเสธผู้สร้างของเราโดยสิ้นเชิง

บทสรุป:

พระเยซูตรัสถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์ว่าเป็นงานฉลองสมรส:
มัทธิว 22:2-14 “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนกษัตริย์ที่จัดงานอภิเษกให้พระราชโอรส พระองค์ส่งข้าราชการไปเชิญผู้ที่ได้รับเชิญไปงานอภิเษกสมรส แต่พวกเขาไม่อยากมาอีก พระองค์ ส่งคนรับใช้คนอื่นไปกล่าวว่า: ไปบอกผู้ที่ได้รับเชิญ: ดูเถิด, ฉันเตรียมอาหารเย็น, ลูกวัวและสิ่งที่ขุนของฉัน, ถูกฆ่า, และทุกอย่างพร้อมแล้ว, มาที่งานเลี้ยงแต่งงาน, แต่พวกเขา, ละเลยสิ่งนี้, ไป, บางส่วน ไปที่ไร่นาบ้าง บ้างเพื่อการค้า ส่วนคนที่เหลือจับคนรับใช้ โกรธเคืองและฆ่าเสีย กษัตริย์ทรงทราบความกริ้ว จึงส่งกองทหารไปทำลายผู้สังหารพวกเขา และเผาเมืองของพวกเขา แล้วพระองค์ก็ พูดกับคนใช้ของเขา: งานเลี้ยงแต่งงานพร้อมแล้ว แต่คนที่ได้รับเชิญไม่คู่ควร ดังนั้นไปที่ทางแยกและเรียกทุกคนที่คุณพบ และคนรับใช้เหล่านั้นออกไปตามถนนและรวบรวมทุกสิ่งที่หาได้ ทั้งคนเลว และงานอภิเษกสมรสก็เต็มไปด้วยบรรดาผู้เอนกาย ไฉนท่านไม่สวมชุดสำหรับพิธีแต่งงานเข้ามาได้ แต่ท่านนิ่งเสีย กษัตริย์จึงรับสั่งแก่คนใช้ว่า "มัดมือมัดเท้าจับโยนออกไปด้านนอก" ความมืด; จะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะหลายคนถูกเรียก แต่น้อยคนนักที่จะถูกเลือก"

ตอนนี้ตอบคำถาม: "ฉันตอบรับคำเชิญของพระบิดาบนสวรรค์ไปงานเลี้ยงแต่งงานแล้วหรือยัง"