ข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับสามีและภรรยา หลักพระคัมภีร์ของชีวิตครอบครัว

คัมภีร์​ไบเบิล​กล่าว​อย่าง​ไร​เกี่ยว​กับ​บทบาท​ของ​สามี​ใน​การ​สมรส?

ลัทธิหลังสมัยใหม่ที่เราอาศัยอยู่พยายามที่จะย้อนกลับค่านิยมพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับสถาบันของครอบครัวและเปลี่ยนความคิดของผู้คน ผู้หญิงที่ซึ่งเจตจำนงเสรีของตนเอง ในที่ที่ต้องการ พวกเขารับบทบาทเป็นสามี และสิ่งนี้นำไปสู่ความไม่ลงรอยกันทั้งในครอบครัวและในสังคม เนื่องจากเราต้องการดำเนินชีวิตตามจุดประสงค์ที่พระเจ้าสร้างเราขึ้นมา เพราะเราต้องการมีครอบครัวที่เข้มแข็งและต้องการสะท้อนภาพลักษณ์ของพระเจ้าในทุกสิ่ง จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้ชายทุกคนจะต้องรู้ว่าพระเจ้าคาดหวังอะไรจากเขาในการแต่งงาน สำหรับผู้หญิงทุกคนจำเป็นต้องรู้บทบาทของสามีเพื่อไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ในทางกลับกัน เพื่อช่วยและสร้างแรงบันดาลใจให้สามีของเธอได้รับบทบาทที่พระเจ้ามอบให้เขา แล้วสามีมีหน้าที่อะไรในการแต่งงาน?

รักภรรยา

ในจดหมายถึงชาวเอเฟซัส อัครสาวกเปาโลเขียนว่า

สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาของคุณ เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและทรงสละพระองค์เองเพื่อให้เธอชำระเธอให้บริสุทธิ์ โดยทรงชำระเธอด้วยการอาบน้ำโดยพระวจนะ เพื่อถวายแด่พระองค์เป็นพระศาสนจักรอันรุ่งโรจน์ ไม่มีตำหนิ ไม่มีรอยย่น หรืออะไรทำนองนั้น แต่เพื่อพระนางจะบริสุทธิ์และไม่มีที่ติ สามีจึงควรรักภรรยาเหมือนรักกาย ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง เพราะไม่มีใครเคยเกลียดชังเนื้อหนังของเขาเอง แต่หล่อเลี้ยงและให้ความอบอุ่นเช่นเดียวกับที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำในศาสนจักร เพราะเราเป็นอวัยวะในพระกายของพระองค์ จากเนื้อหนังและจากกระดูกของพระองค์ เพราะฉะนั้นผู้ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน ความลึกลับนี้ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าพูดเกี่ยวกับพระคริสต์และศาสนจักร ดังนั้นให้แต่ละคนรักภรรยาของตนเหมือนรักตนเอง แต่ให้ภรรยาเกรงกลัวสามีของตน (เอเฟซัส 5:25-33)

นี่เป็นบัญญัติที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับบทบาทของสามีในการแต่งงาน และการนำไปปฏิบัตินำไปสู่การเติมเต็มให้คนรอบข้าง จากผู้ชายทุกคน พระเจ้าคาดหวังความรักแบบเดียวกันกับภรรยาของเขาเช่นเดียวกับที่พระคริสต์มีต่อคริสตจักรและในขณะที่บางคนรักร่างกายของเขาเอง เมื่อชายคนหนึ่งแสดงความรักแบบนี้ต่อภรรยาของเขา ความรักนั้นจะแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความรักที่พระเยซูคริสต์มีต่อศาสนจักรของพระองค์

ชื่นชมภรรยาของคุณ

เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา ชายคู่แรกและหญิงคู่แรก นี่คือสิ่งที่ชายผู้นี้กล่าวเมื่อเขาเห็นผู้หญิงคนนั้นเป็นครั้งแรก:

และชายคนนั้นกล่าวว่า "ดูเถิด นี่เป็นกระดูกของข้าพเจ้า และเป็นเนื้อของเนื้อข้าพเจ้า เธอจะเรียกว่าผู้หญิง เพราะเธอถูกรับไปจากผู้ชาย (ปฐมกาล 2:23)

นิพจน์ "ที่นี่" แสดงความชื่นชมต่อคนที่คุณปรารถนาและคาดหวังมานาน นี่คือทัศนคติที่ผู้ชายทุกคนควรมีต่อภรรยาของเขาตลอดวันแต่งงาน

ทิ้งพ่อแม่

เมื่อพระเจ้านำเอวามาหาอาดัม พระองค์ตรัสว่า

ดังนั้นผู้ชายจะละพ่อและแม่ของเขา... (ปฐมกาล 2:24)

โดยสิ่งนี้พระเจ้าไม่ได้หมายความถึงว่าเด็กควรละเลยพ่อแม่หรือไม่ดูแลพวกเขา แต่ตั้งแต่ช่วงแต่งงาน ผู้ชายทุกคนควรตระหนักว่าความสัมพันธ์กับภรรยาเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก และไม่คิดว่าพ่อแม่จะควบคุมความสัมพันธ์นี้หรือบงการ พ่อแม่ที่ฉลาดจะไม่มีวันทำสิ่งนี้ แต่ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนจะฉลาดขนาดนี้ ฉันรู้จักชายคนหนึ่งซึ่งหลังจากแต่งงานแล้ว ปล่อยให้แม่ของเขามีอำนาจควบคุมพวกเขา ซึ่งทำให้แม่ของฉันเก็บเงินไว้และตัดสินใจว่าจะซื้อเสื้อผ้าอะไรให้ภรรยาของเขา การแต่งงานของพวกเขาไม่นานและเขาก็ไม่มีความสุขอย่างมาก แน่นอน ฉันเตือนเขามากกว่าหนึ่งครั้งเกี่ยวกับจุดจบเช่นนี้ ถ้าเขาไม่ทิ้งแม่และเกาะติดกับภรรยาของเขา ในขณะเดียวกัน ผู้ชายทุกคนควรตระหนักว่าเมื่อแต่งงานแล้ว เขาต้องเลี้ยงดูครอบครัวและดูแลพ่อแม่และพ่อแม่ของภรรยา และถ้าพ่อแม่พร้อมที่จะเลี้ยงดูครอบครัวที่อายุน้อยด้านการเงินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นพร ไม่ใช่สิ่งที่ควร

ยึดติดกับภรรยาของคุณ

และผูกพันกับภรรยาของเขา; และจะเป็นเนื้อเดียวกัน (อ้าง.)

แนวคิดดั้งเดิมของพระบัญญัติข้อนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ซึ่งผู้ริเริ่มต้องเป็นผู้ชาย อย่า​ให้​ใคร​คิด​ว่า​เป็น​บาป​หรือ​ผิด​ที่​ภรรยา​จะ​ริเริ่ม​ใน​สาย​สัมพันธ์​ที่​สนิทสนม. มีเพียงผู้ชายทุกคนเท่านั้นที่รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้เขาริเริ่ม ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกับครอบครัวของเขา และในด้านอื่นๆ ของชีวิต เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ยากลำบากในครอบครัว ผู้ชายคนหนึ่งถูกคาดหวังให้เป็นคนที่แสวงหาทางแก้ไข ซึ่งใช้ทัศนคติที่ถูกต้องและดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้

เปิดใจกับภรรยา

ในบทเดียวกันที่ 2 ของหนังสือปฐมกาล มีเขียนไว้ว่า

และพวกเขาทั้งสองเปลือยกายอยู่ อดัมและภรรยาของเขา และไม่ละอาย (ปฐมกาล 2:25)

นิพจน์ "ทั้งสองเปลือยกาย" มีมากกว่าการไม่มีเสื้อผ้า ชายและหญิงเปิดกว้างต่อกันมีความสัมพันธ์ที่ตรงไปตรงมาซึ่งไม่มีใครปิดบังอะไรจากอีกฝ่ายและไม่กลัวที่จะพูดความคิดของพวกเขากับอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าจะถูกตัดสิน

เป็นหัวหน้าของเมีย

ข้าพเจ้าสังเกตครั้งหนึ่งระหว่างงานแต่งงาน ชายคนหนึ่งเมื่อได้ยินความจริงนี้ เขาจึงผลักภรรยาแล้วพูดว่า: “คุณได้ยินไหม? คิดให้ดีว่าพระสงฆ์พูดอะไร! และเมื่อฉันสอนหลักสูตร "การแต่งงานโดยไม่เสียใจ" ฉันเห็นหลายครั้งว่าผู้หญิงที่ไม่รู้จักพระวจนะของพระเจ้ามาก่อน เมื่อพวกเขามาถึงหัวข้อนี้ ไม่รู้สึกขอบคุณ แต่นี่เป็นคำสั่งที่พระเจ้ากำหนด:

ฉันต้องการให้คุณรู้ด้วยว่าศีรษะของผู้ชายทุกคนคือพระคริสต์ ศีรษะของผู้หญิงทุกคนคือสามี และศีรษะของพระคริสต์คือพระเจ้า (1 โครินธ์ 11:3)

พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา ห่วงใยเรา ปกป้องและเสียสละพระองค์เองเพื่อเรา ในทำนองเดียวกัน ผู้ชายทุกคนจะต้องเป็นหัวหน้าของภรรยา ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่ออกคำสั่งและบังคับตามความประสงค์ของตนเท่านั้น ขอพระเจ้าช่วยสามีทุกคนให้ปฏิบัติต่อภรรยาของเขาอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงปฏิบัติต่อเรา

ให้เกียรติภรรยา

เป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้ชายบางคนที่จะเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงจึงคาดหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ เช่น การจับมือกันก่อนลงจากรถหรือบนบันได แต่พระเจ้าสอนให้เราทำเช่นนี้:

ในทำนองเดียวกัน สามีทั้งหลาย จงปฏิบัติกับภรรยาอย่างรอบคอบ เช่นเดียวกับภาชนะที่อ่อนแอที่สุด ให้เกียรติแก่พวกเขา ในฐานะทายาทร่วมแห่งพระคุณแห่งชีวิต เพื่อไม่ให้คำอธิษฐานของคุณถูกขัดขวาง (1 ปต. 3:7)

ขอพระเจ้าช่วยสามีทุกคนให้บรรลุบทบาทที่พระเจ้าประทานให้ และด้วยเหตุนี้จึงนำเสนอพระลักษณะขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราให้โลกเห็น

รับผิดชอบ

และพวกเขาได้ยินเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าเดินอยู่ในสวรรค์ในเวลาเย็น; และอาดัมและภรรยาของเขาซ่อนตัวจากที่ประทับขององค์พระผู้เป็นเจ้าท่ามกลางต้นไม้สวรรค์ และพระเจ้าก็ทรงเรียกอาดัมและตรัสกับเขาว่า "คุณอยู่ที่ไหน? เขากล่าวว่า: ฉันได้ยินเสียงของคุณในสวรรค์และฉันก็กลัวเพราะฉันเปลือยกายและซ่อนตัว และเขากล่าวว่า "ใครบอกคุณว่าคุณเปลือยกายอยู่? เจ้าไม่ได้กินจากต้นไม้ที่เราห้ามเจ้ากินหรือ? อดัมกล่าวว่า: ภรรยาที่คุณให้ฉัน เธอให้ฉันจากต้นไม้และฉันกิน (ปฐมกาล 3:8-12)

ในสวนเอเดน อาดัมต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า ผู้ทรงบัญชา: “เฉพาะผลต้นไม้ที่อยู่ท่ามกลางสรวงสวรรค์เท่านั้น พระเจ้าตรัสว่า อย่ากินหรือแตะต้องพวกมัน เกรงว่าเจ้าจะตาย”, ความรับผิดชอบต่ออีฟภรรยาของเขา แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าและกิน

เรายังคงประสบกับผลที่ตามมาของการขาดความรับผิดชอบอยู่ทั่วโลก!

ขณะนี้มีชายคนหนึ่งกำลังเสริมอีกหนึ่งหน้าที่คือ

ปกป้องบ้านเกิดของคุณ บ้าน และภรรยาของคุณ

และในสวนเอเดน เขาไม่มีใครต้องปกป้อง แม้แต่งูก็ยังเป็นสัตว์กินเนื้อ!

บ่อยครั้งก่อนวันหยุดผู้คนถามคำถามตามธรรมชาติ - ผู้พิทักษ์แห่งปิตุภูมิควรเป็นอย่างไร? คุณลักษณะใดควรมีอยู่ในตัวเขา อย่างไรก็ตาม เรายังคงวางใจพระองค์ด้วยชีวิตของเรา แม้กระทั่งตอนนี้ ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนสงบสุข?

เป็นการยากที่จะทำการตรวจสอบที่นี่ - ในกรณีนี้ทุกคนจะมีความคิดเห็นของตัวเองเพราะเราเชื่อมโยงคุณสมบัติเชิงบวกมากเกินไปกับภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์แห่งมาตุภูมิที่แท้จริง โดยธรรมชาติแล้ว คุณสมบัติหลักประการหนึ่งควรเป็นความรักต่อมาตุภูมิของตน เพื่อปิตุภูมิของตน หากขาดความรู้สึกอันสูงส่งนี้ ผลที่สร้างแรงบันดาลใจให้ความเคารพเพิ่มเติมจะไม่ถูกคาดหวัง หลายคนจะยังคงเห็นว่าคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นความเป็นมืออาชีพของผู้พิทักษ์แห่งมาตุภูมิ เป็นการยากที่จะโต้แย้ง เพราะถ้าเรายกตัวอย่างเช่น การรับราชการทหาร การครอบครองเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความสามารถ จะเป็นการรับประกันสันติภาพและความมั่นคงในหลาย ๆ ด้าน เนื่องจากมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถคุกคามประเทศที่มีการฝึกอบรมมาอย่างดีและ กองทัพติดอาวุธอย่างดี

เราไม่ควรลืมว่าการป้องกันของมาตุภูมิไม่ได้เป็นเพียงการป้องกันชายแดนภายนอกเท่านั้นและอาจไม่ได้มากเพราะมีภัยคุกคามภายในที่เพียงพอต่อชีวิตของทุกคนแม้ในชีวิตประจำวันธรรมดา ในที่นี้ ข้าพเจ้าต้องการเน้นย้ำถึงการคุกคามของการก่อการร้าย ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดจากพลเรือน ผู้หญิง และไม่ใช่ทหาร พลเมืองของประเทศใด ๆ ที่ไม่เฉยเมยต่ออนาคตสามารถเป็นผู้พิทักษ์ต่อต้านการก่อการร้ายได้ เพราะคุณเพียงแค่ต้องใส่ใจผู้อื่นมากขึ้นอีกนิดและสามารถป้องกันการกระทำของผู้ก่อการร้ายได้มากมาย

ปรากฎว่าเราแต่ละคนสามารถปกป้องเพื่อนบ้านและมาตุภูมิโดยรวมจากอันตราย! ขอให้คุณสมบัติเชิงบวกของผู้พิทักษ์แห่งปิตุภูมิมีอยู่ในสามีของเราแต่ละคนเพื่อประโยชน์ในการรับใช้มาตุภูมิ จากนั้นพวกเขาจะรับภาพลักษณ์ของพระเจ้าด้วยพระลักษณะของพระองค์ จำไว้ว่า เราได้พูดถึงหีบพันธสัญญาซึ่งมีพระบัญญัติสิบประการของพระเจ้าอยู่ใน:

ในเมืองกัท หลังจากที่เรือถูกส่งไป พระหัตถ์ของพระเจ้าก็เข้ามาที่เมืองนั้น เป็นเรื่องน่าสยดสยองอย่างยิ่ง และพระเจ้าก็ทรงโจมตีชาวเมืองนั้นตั้งแต่เล็กไปหาใหญ่ และการเติบโตก็ปรากฏขึ้นบนพวกเขา

11 ... ความสยดสยองที่ร้ายแรงมีอยู่ทั่วเมือง พระหัตถ์ของพระเจ้าหนักมากสำหรับพวกเขา 12 ส่วนพวกที่ไม่ตายก็ถูกต้นเติบใหญ่จนเสียงโห่ร้องของเมืองนั้นก็ขึ้นไปในสวรรค์ (1 ซามูเอล 5:11-12)

ฟังนะ ความสยองขวัญของมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงความเครียด ความกลัว แต่ความสยองขวัญ และการเติบโต สถานการณ์นี้คล้ายกับอุบัติเหตุที่ Sayano-Shushenskaya HPP

นั่นคือการปกป้องของพระเจ้า

ตามประเพณีของชาวยิว สามีต้อง: 1. สนับสนุนภรรยาของเขา 2. ฟีด 3.แต่งตัว. 4. ซื้อเครื่องประดับ - ภรรยาควรตกแต่งตัวเองให้สามี สุขสันต์วันหยุดผู้ชายที่รัก! ผู้พิทักษ์แห่งปิตุภูมิมีความสุข!

จงกล้าหาญ รับผิดชอบ กล้าหาญ! และเราจะรักคุณ!

ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจ มีความสุข โชคดี และความสำเร็จครั้งใหม่ ทีมงานหญิง

8. ออรัลเซ็กซ์ได้รับอนุญาตหรือไม่?




13. อนุญาตให้ทำแท้งหรือไม่?

1. คู่สมรสมีภาระผูกพันต่อกันอย่างไร?

อัครสาวกเปาโลในสาส์นถึงคริสตจักรเอเฟซัสได้วางรากฐานสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา พระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาเหมือนที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและยอมสละพระองค์เพื่อเธอ” (อฟ 5:25) พระองค์ตรัสกับหญิงนั้นว่า “ภรรยาทั้งหลาย จงเชื่อฟังสามีเหมือนฟังพระเจ้า” (อฟ 5:22) ความสัมพันธ์ดังกล่าวช่วยหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในครอบครัว
สามีต้องพร้อมที่จะเสียสละตัวเองเพื่อประโยชน์ของภรรยา ถ้าเขารักเธอมากพอที่จะผูกมัดกับเธอ ดังที่พระเยซูทรงอุทิศตนให้กับคริสตจักร ภรรยาก็พร้อมที่จะยอมรับคำแนะนำของเขา เธอจะรู้ว่าเขาใส่ใจเกี่ยวกับสวัสดิการของเธอเสมอและให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของเธอมากกว่าตัวเขาเองเสมอ
ด้วยเหตุผลเดียวกัน ภรรยาเองก็สามารถทำให้สามีเป็นหัวหน้าของบ้าน ชักจูงให้เขารับตำแหน่งนักบวชในครอบครัวได้ เธอควรสนับสนุนสามีของเธอให้แสวงหาสิ่งที่พระเจ้าต้องการสำหรับครอบครัวนี้ เธอสามารถยกย่องสามีของเธอได้อย่างมาก และด้วยการเชื่อฟังเขา ทำให้เขารู้สึกรับผิดชอบ เพื่อให้เขาเข้าใจบทบาทของเขาอย่างถูกต้อง
ใครก็ตามที่ยืนกรานใน "สิทธิ" อยู่เสมอจะทำลายความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิตคู่ ถ้าสามีบอกกับภรรยาของเขาว่า “คุณต้องเชื่อฟังฉันเพราะพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น” เขาก็จะทำให้เธอแปลกแยก ในเวลาเดียวกัน หากภรรยาปฏิเสธที่จะเชื่อฟังสามีและขัดแย้งกับเขาในทุกสิ่ง เขาควรพิจารณาว่าเขาเดินตามทางของพระเจ้าหรือไม่ เขาจะเริ่มคิดว่า “ถ้าฉันได้รับคำสั่งจากพระเจ้าล่ะ? ฉันจะพบกับการต่อต้านจากภรรยาของฉันทันที ดังนั้น ฉันจึงยอมทำตามความปรารถนาของฉันเองและปล่อยให้เธอทำตามเธอ” ทัศนคติเช่นนี้ทำได้เพียงทำให้คู่สมรสต้องแยกจากกันแม้ว่าชีวิตตามแผนของพระเจ้าจะทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น
สามีที่เบี่ยงเบนจากกฎหมายของพระเจ้าและยืนยันว่าภรรยาของเขาทำเช่นเดียวกับที่เขาทำจะสูญเสียสิทธิ์ในอำนาจ พระเจ้าไม่ได้ให้สามีมีสิทธิที่จะฝ่าฝืนกฎหมายของเขา ทำให้ขุ่นเคืองกับภรรยาของเขา ดำเนินชีวิตทางเพศที่สำส่อน ผลักดันภรรยาของเขาให้โกหก ขโมยหรือดื่ม แต่ตราบใดที่สามีปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ภรรยาก็ต้องเชื่อฟังอำนาจของเขา แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับเขาก็ตาม
การชี้นำจากสวรรค์นั้นถูกต้องเสมอ แต่ในหลายครอบครัว ภรรยามีความสามารถมากกว่าสามี น่าเสียดายที่บางครั้งผู้หญิงที่มีความสามารถสูงก็เลือกสามีธรรมดาๆ ภรรยาเช่นนี้ต้องต่อต้านการล่อลวงให้ครองครอบครัว บางครั้งสามีของเธอจะตัดสินใจในสิ่งที่เธอเห็นว่าผิด เธอควรพยายามโน้มน้าวสามีของเธออย่างอ่อนโยน หรือสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงให้ความกระจ่างแก่เขา ผู้หญิงคนหนึ่งสมัครใจโอน "อำนาจอธิปไตย" ส่วนหนึ่งให้สามีเมื่อแต่งงานกับเขา เธอต้องวางใจพระเจ้าในการเลือกเส้นทาง อย่างไรก็ตาม หากสามีต้องการให้ภรรยาของเขาปฏิเสธพระเจ้า เกี่ยวข้องกับเธอในการมึนเมาและโน้มเอียงให้เธอละเมิดกฎหมายของพระเจ้าอื่น ๆ เขาก็สูญเสียอำนาจและสิทธิของเขา บุคคลหลักที่ควรอุทิศให้กับภรรยาและผู้ที่เธอควรติดตามคือพระเยซูคริสต์ เธอต้องไม่นอบน้อมต่อสิ่งผิดกฏหมายและผิดธรรมชาติ
สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าสามีและภรรยาเป็นหุ้นส่วน มีคนสังเกตเห็นอย่างถูกต้องว่าผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวจากซี่โครงของผู้ชายไม่ใช่จากศีรษะหรือเท้าของเขา เธอไม่ควรปราบสามีของเธอ และไม่ควรโค่นล้มเขา ปล่อยให้เขาเช็ดเท้าบนเธอ สามีและภรรยาได้รับเรียกให้เป็นหุ้นส่วนในชีวิตและแบ่งปันระบบความสัมพันธ์ทางโลกนั้น ตามที่สามีเป็นหัวหน้าครอบครัว ตราบใดที่เขาเชื่อฟังพระคริสต์

2. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับการหย่าร้างและการแต่งงานใหม่?

พระคัมภีร์มีความชัดเจนเกี่ยวกับการหย่าร้างและการแต่งงานใหม่ ในพันธสัญญาเดิม โมเสสยอมให้ชายหย่าร้างไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม (ฉธบ. 24:1-4) ต่อมาในพันธสัญญาใหม่ เมื่อถามพระเยซูเกี่ยวกับการหย่า พระองค์ตรัสตอบว่าโมเสสยอมให้พวกเขาหย่าร้างเพราะใจแข็งกระด้าง เขาบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นในตอนแรก แล้วพระเยซูตรัสต่อไปว่า
“คุณไม่ได้อ่านหรือว่าพระองค์ผู้ทรงสร้างชายและหญิงในตอนแรกสร้างพวกเขา? เหตุใดผู้ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน เหตุฉะนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ร่วมไว้ด้วยกัน อย่าให้ผู้ใดพรากจากกัน”
ในสายพระเนตรของพระเจ้า การแต่งงานเป็นสายสัมพันธ์ตลอดชีวิตที่ไม่ควรถูกทำลายโดยการกระทำของมนุษย์ ในหนังสือของผู้เผยพระวจนะมาลาคี พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงเกลียดการหย่าร้าง (มล 2.16) เป็นน้ำพระทัยที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้าที่จะรักษาสังคมและคนรุ่นต่อ ๆ ไปผ่านการขัดขืนไม่ได้ของครอบครัว พระเจ้าจัดเตรียมความช่วยเหลืออย่างมากในการรักษาชีวิตแต่งงานและในการรวมครอบครัวที่แตกสลายอีกครั้ง
อย่างน้อยที่สุด มีเพียงสองเหตุผลสำหรับการหย่าร้างและการแต่งงานใหม่ หากมีการล่วงประเวณี (การล่วงประเวณี) การหย่าร้างเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการล่วงประเวณีได้ทำลายสายสัมพันธ์ในครอบครัวไปแล้ว และการหย่าร้างถือเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
อัครสาวกเปาโลได้เพิ่มคำสอนของพระเยซูที่เรียกว่า "เอกสิทธิ์ของเปาโล" ตามชื่อของเขา ตามนั้น เปาโลสอนว่าถ้าคู่สมรสที่ไม่เชื่อทิ้งผู้เชื่อ คนหลังจะไม่ผูกพันด้วยการแต่งงานอีกต่อไป แต่มีอิสระที่จะแต่งงานใหม่ (1 โครินธ์ 7:15) บางคนมองว่าเป็น "การจากลาอย่างสร้างสรรค์" เมื่อสามีหมดแรงกับภรรยามากจนทนไม่ไหวอีกต่อไป หรือเมื่อภรรยาเหนื่อยกับสามีมากจนไม่สามารถอยู่กับเธอได้อีกต่อไป หากสิ่งนี้เกิดขึ้น สถานการณ์ก็เท่ากับการจากไป และไม่ว่าการหย่าร้างของคู่สมรสจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม อนุญาตให้หย่าร้างและแต่งงานใหม่ได้
ยกเว้นเหตุผลเหล่านี้ พระคัมภีร์ไม่ยอมรับเหตุผลอื่นใดในการหย่าร้าง การหย่าร้างไม่สมเหตุสมผลเนื่องจากความไม่ลงรอยกัน การขาดความรัก หรือความทะเยอทะยานในอาชีพการงานระหว่างคู่สมรส และที่จริงแล้ว ดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้ที่คริสเตียนสองคนที่อุทิศตนเพื่อการรับใช้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะมีเหตุผลในการหย่าร้าง
เห็นได้ชัดว่าเมื่อบุคคลที่ไม่มีเหตุผลตามพระคัมภีร์ในการหย่าร้างจะแต่งงานใหม่ เขาพูดอย่างจริงจังว่าล่วงประเวณี คำอธิบายโดยละเอียดมีอยู่ในคำตอบของคำถามถัดไป

3. ฉันควรพูดอะไรกับผู้เชื่อที่หย่าร้างและแต่งงานใหม่และกำลังสงสัยว่าพระคัมภีร์กล่าวถึงการหย่าร้างอย่างไร?

ในสหรัฐอเมริกา การหย่าร้างดำเนินไปอย่างแพร่หลายและพบได้บ่อยเท่าๆ กันในหมู่ประชากรที่เป็นคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียน มันเกิดขึ้นที่ผู้คนไม่ได้แต่งงานครั้งเดียวหรือสองครั้ง แต่สามครั้ง สี่ ห้าหรือหกครั้ง พวกเขาสร้างกลุ่มสามีหรือภรรยา กลุ่มลูก และปัญหามากมาย
พระเจ้าอยู่ฝ่ายมนุษย์ เขารักผู้คนและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีเช่นนี้ แต่ฉันไม่รู้จักพฤติกรรมดังกล่าวว่าถูกต้อง ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องสอนสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าว อย่างไรก็ตาม การสอนต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในพระคัมภีร์เกี่ยวกับความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ เป็นการยากมากที่จะสร้างกฎที่ไม่เปลี่ยนรูปสำหรับทุกโอกาส
ตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่เข้าสู่การแต่งงานครั้งที่สามควรได้รับคำสั่งให้กลับไปหาอดีตคู่สมรสของเขาหรือไม่? เกิดอะไรขึ้นถ้าอดีตสามีของชายคนนั้นแต่งงานใหม่? เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเรียกร้องให้คู่สมรสประกอบด้วยคู่สมรสที่หย่าร้างกันหย่าร้างอีกครั้งและด้วยเหตุนี้จึงทำลายครอบครัวที่สอง? กฎพื้นฐานคือไม่อนุญาตให้มีการหย่าร้างและการแต่งงานใหม่ ยกเว้นในกรณีของการล่วงประเวณีหรือการละทิ้งคู่สมรส และคริสตจักรต้องปฏิบัติตามกฎนี้ คนหนุ่มสาวต้องเข้าใจว่าการแต่งงานเป็นการรวมกันเพื่อชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนเข้ามาและจากไปตามใจชอบ
อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพที่น่าตกตะลึงในปัจจุบันของสถาบันการสมรส ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระศาสนจักรควรใช้อำนาจของศาสนจักรเพื่อ "ผูกมัดและปล่อย" (มธ 16:19) เพื่อชี้นำคู่สามีภรรยาที่หย่าร้างและแต่งงานใหม่ซึ่งได้พบพระคริสต์หลังการหย่าร้างบนเส้นทางสู่ การให้อภัย กล่าวอีกนัยหนึ่ง คริสตจักรต้องพูด (และโดยส่วนตัวฉันพูดแบบนี้) ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณในอดีตได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระคริสต์ มีความสุขกับการแต่งงานในปัจจุบันของคุณเพื่อถวายสง่าราศีของพระเจ้าโดยปราศจากความรู้สึกผิด อย่างไรก็ตาม สำหรับคริสเตียนที่หย่าร้างหลังจากเกิดฝ่ายวิญญาณครั้งที่สอง ด้วยเหตุผลอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวถึง ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นการดีที่สุดที่จะกลับไปหาอดีตคู่สมรสที่เป็นคริสเตียนหรืออยู่นอกสมรส
ในท้ายที่สุด คำแนะนำของฉันสำหรับปัญหาส่วนตัวที่ซับซ้อนเหล่านี้คือให้หันไปหาการอธิษฐานและการศึกษาพระคัมภีร์ ตลอดจนศิษยาภิบาลที่ฉลาดในประชาคมของคุณ

4. คริสเตียนสามารถแต่งงานกับผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนได้หรือไม่?

ไม่ว่าในกรณีใด พระคัมภีร์กล่าวว่า "อย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ... พระคริสต์ทรงมีข้อตกลงอะไรกับบีเลียล" (2 คร 6.14-15).
บิลลี่ เกรแฮมพูดอย่างเหมาะเจาะเมื่อสองสามปีก่อนเมื่อเขากล่าวว่าใครก็ตามที่แต่งงานกับคนนอกศาสนาจะได้รับมารเองเป็นพ่อตาหรือพ่อตา เมื่อคริสเตียนแต่งงานกับผู้ไม่เชื่อ ก็เกิดความโกลาหลภายในอย่างใหญ่หลวง
คริสเตียนบางคนใช้เส้นทางนี้และแต่งงานกับผู้ที่ไม่เชื่อโดยหวังว่าจะเปลี่ยนพวกเขาหลังจากแต่งงาน แต่ถ้าพระเจ้าประสงค์ให้ผู้หญิงคนนี้หรือผู้ชายคนนี้เพื่อคุณจริงๆ พระองค์คงมีกำลังที่จะนำบุคคลนี้มาสู่พระองค์ก่อนแต่งงาน หากพระองค์ไม่ทรงทำเช่นนี้ แสดงว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า คริสเตียนต้องเรียนรู้ที่จะรอคอยพระเจ้าสำหรับการตัดสินใจที่ถูกต้อง วิธีแก้ปัญหาอื่นๆ อาจเป็นความผิดพลาดร้ายแรง

5. ถ้าฉันแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน ฉันควรหย่าร้างไหม?

หากคุณแต่งงานกับผู้ที่ไม่เชื่อและเขาหรือเธอต้องการจะแต่งงาน คุณต้องอยู่กับเขาหรือเธอ โดยความประพฤติของคุณ พยายามนำคนที่คุณรักหรือคนที่คุณรักมาหาพระเจ้า อย่างไรก็ตาม หากคุณเพิ่งเป็นคริสเตียนเมื่อเร็วๆ นี้ การเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของคุณอาจรุนแรงมากจนคนที่ไม่เชื่ออาจต้องการจากคุณไป หากความพยายามอย่างจริงใจของคุณไม่นำไปสู่การรักษาครอบครัว และหากคู่สมรสที่ไม่เชื่อของคุณปฏิเสธที่จะอยู่กับคุณต่อไป คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปล่อยเขา (เธอ) ไป ในกรณีนี้ คุณไม่ได้เกี่ยวข้องอีกต่อไปแล้ว และสามารถแต่งงานใหม่ได้หากต้องการ แต่เฉพาะกับคริสเตียนเท่านั้น

6. การละเมิดเหตุผลสำหรับการหย่าร้างหรือไม่?

มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ฉันคิดว่าความดื้อรั้นทางศีลธรรมไม่ใช่เหตุผลของการหย่าร้างเมื่อพูดถึงวิธีที่คู่สมรสคนใดคนหนึ่งบีบน้ำพริกออกจากหลอดหรือวิธีแขวนถุงน่องในห้องน้ำ พฤติกรรมประเภทนี้มีคำอธิบายที่หลากหลายจนแทบจะไม่สามารถพูดได้อย่างแจ่มแจ้ง
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อว่าความทารุณทางร่างกายและการดูหมิ่น ตลอดจนความเสียหายทางศีลธรรม หากเป็นการคุกคามต่อสภาพร่างกายหรือศีลธรรมของคู่สมรส เป็นเหตุให้ต้องหย่าร้าง เอกสิทธิ์แบบเดียวกับเปาโล (1 โครินธ์ 7:15) ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงก่อนหน้านี้ทำให้สามารถหย่าได้เนื่องจากการจากไปของคู่สมรสที่ไม่เชื่อ เพื่อให้การล่วงละเมิดเป็นเหตุผลที่เพียงพอสำหรับการหย่าร้าง จะต้องไปถึงจุดที่การอยู่ร่วมกันต่อไปอาจตกอยู่ในอันตรายทันที
ประเภทของความโหดร้ายที่ฉันมีอยู่ในใจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิพากษ์วิจารณ์ซูเฟล่ที่เตรียมไว้หรือประณามพี่เขย การระคายเคืองเล็กน้อยต้องการการแก้ไขเล็กน้อย ไม่อนุญาตให้เป็นต้นเหตุของการทำลายสหภาพอันศักดิ์สิทธิ์
เห็นได้ชัดว่า คู่สามีภรรยาที่เป็นคริสเตียนประกอบด้วยคนสองคนที่บังเกิดใหม่ไม่ได้อยู่ภายใต้เอกสิทธิ์ของเปาโล การหย่าร้างและการแต่งงานใหม่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามเป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริงสำหรับคนสองคนที่รักพระเจ้าอย่างจริงใจและพยายามรับใช้พระองค์

7. การผิดประเวณีกับการล่วงประเวณีต่างกันอย่างไร?

การมีเพศสัมพันธ์ของบุคคลที่แต่งงานแล้วกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาหรือคู่สมรสของเขาเป็นการล่วงประเวณี (การล่วงประเวณี)
บัญญัติสิบประการกล่าวว่า "เจ้าอย่าล่วงประเวณี" (อพยพ 20:14) เหตุผลของการห้ามนั้นชัดเจน: การแต่งงานเป็นกระดูกสันหลังของสังคม และด้วยความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูกด้วย ความสัมพันธ์ทางเพศนอกการแต่งงานไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดอันตรายต่อการแต่งงานเท่านั้น แต่ยังทำลายความรู้สึกของความรักของมารดาหรือบิดา ความสับสนในมรดกและสายครอบครัว และความสัมพันธ์ในครอบครัว
การผิดประเวณี ("รักอิสระ") เป็นการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคนที่ยังไม่แต่งงาน อัครสาวกเปาโลกล่าวว่าเป็นบาปต่อร่างกาย เขาสั่งให้คริสเตียนหลีกเลี่ยงการผิดประเวณีเนื่องจากเป็นบาปต่อตนเองและพระเจ้าเนื่องจากร่างกายของผู้เชื่อเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1 คร 6.18-19) เปาโลบอกว่าถ้าผู้เชื่อเข้าร่วมร่างของเขากับหญิงแพศยา (หรือคนผิดศีลธรรม) เขาก็เข้าร่วมกับพระคริสต์กับบุคคลนั้น (1 คร 6:15-16)
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าทั้งผู้ล่วงประเวณีและผู้ทรยศจะไม่เข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ (1 โครินธ์ 6.9-10) ในโลกปัจจุบัน มีการใช้คำว่า "การล่วงประเวณี" และ "การผิดประเวณี" น้อยมาก และความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรมในหมู่คนที่ยังไม่แต่งงานได้กลายเป็นวิถีชีวิตทั่วไป แต่การผิดศีลธรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาเพียงใด ยังคงเป็นบาปที่จะกีดกันผู้คนนับล้านจากอาณาจักรแห่งสวรรค์หากพวกเขาไม่กลับใจ

8. ออรัลเซ็กซ์ได้รับอนุญาตหรือไม่?

ออรัลเซ็กซ์เป็นความสัมพันธ์ทางเพศประเภทหนึ่งที่ไม่นำไปสู่การปฏิสนธิ และพบได้บ่อยในหมู่คนรักร่วมเพศ เปาโลในภาษาโรมพูดถึงผู้หญิงแทนที่ "สิ่งที่เป็นธรรมชาติด้วยสิ่งที่ผิดธรรมชาติ" (โรม 1:26) ความเห็นของฉันเองว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางปากเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว การกระทำทางเพศควรให้กำเนิดและอาศัยการเป็นหุ้นส่วน ทั้งสองฝ่ายไม่ควรกลายเป็น "วัตถุ" แห่งความพึงพอใจของอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ให้คำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิบัติทางเพศของคู่สมรส แม้ว่าพระคัมภีร์จะพูดถึง “ความไม่มีตำหนิ” ของเตียงแต่งงาน (ฮีบรู 13:4) แต่ก็ไม่ชัดเจนทั้งหมดว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร มีหลายแง่มุมของการปฏิบัติทางเพศของคู่สมรสที่พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะพูดอย่างแน่นอน: "สิ่งนี้ได้รับอนุญาต แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งต้องห้าม"
สำหรับกรณีที่ไม่ชัดเจนดังกล่าว มีกฎในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า "ทุกสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับความเชื่อเป็นบาป" (โรม 14.23) หากใครรู้สึกว่าออรัลเซ็กซ์นั้น "นอกใจ" ก็ไม่ควรทำ พระเจ้าได้ทรงเรียกเราสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพื่อความราคะ แต่การแสดงความรักทางกายและทางเพศในการแต่งงานนั้นดี ศักดิ์สิทธิ์ และพระเจ้าประทานให้ ดังนั้นอย่ากลัวที่จะขอให้พระเจ้านำทางคุณบนเส้นทางของความรักทางเพศที่พระองค์ทรงเห็นว่าถูกต้อง

9. คัมภีร์ไบเบิลยอมให้มีเซ็กส์เพื่อความบันเทิงไหม?

ผู้นับถือศาสนาบางคนเชื่อว่าเหตุผลเดียวสำหรับกิจกรรมทางเพศคือการให้กำเนิด คนอื่นๆ เชื่อว่ามีเหตุผลที่สูงกว่าสำหรับความสนิทสนมโดยสมบูรณ์: นี่คือความสัมพันธ์ระดับสูงสุดระหว่างชายและหญิง - ความเชื่อมโยงของวิญญาณสองดวง จิตสำนึกสองดวง สองร่าง
ในพันธสัญญาเดิม คำว่าความใกล้ชิดทางเพศคือ "รู้" (สามีหรือภรรยา) ความ​รู้​ที่​ลึกซึ้ง​ที่​สุด​เกี่ยว​กับ​สามี​และ​ภรรยา​เกี่ยว​กับ​กัน​และ​กัน​มา​จาก​สหภาพ​สาม​คน​นี้​ใน​ชีวิต​สมรส​ของ​คริสเตียน. นั่นคือเหตุผลที่ชีวิตทางเพศของคริสเตียนมีแรงจูงใจมากกว่าชีวิตที่ไม่ใช่คริสเตียน ผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนไม่สามารถรวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ พวกเขาขาดมิติที่สำคัญนี้
พระคัมภีร์กล่าวว่าในการแต่งงาน คู่สมรสคนหนึ่งให้ร่างกายแก่อีกฝ่ายหนึ่ง และไม่ควรละเว้นจากกันและกัน ยกเว้นการถือศีลอดช่วงสั้นๆ พระเจ้าสร้างชายและหญิงเป็นสิ่งมีชีวิต พระองค์ทรงสร้างระบบประสาทของเราในแบบที่เราสนุกกับการมีเซ็กส์ การมีเพศสัมพันธ์ในการแต่งงานเป็นงานที่ดีและศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าบัญชา

10. อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างเชื้อชาติหรือไม่?

ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าสั่งชาวอิสราเอลไม่ให้แต่งงานกับชาติรอบข้าง เหตุผลนี้ไม่ใช่สีผิว แต่เป็นสภาวะของจิตใจ ชาติเหล่านี้เป็นผู้บูชารูปเคารพที่กระทำสิ่งลามกอนาจารในเพศและสิ่งอื่น ๆ เพื่อว่าการสมรสดังกล่าวจะทำให้ประชาชนอิสราเอลเสียหาย
การห้ามการแต่งงานของผู้เชื่อกับผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้ายังคงมีผลบังคับใช้ ลูกของพระเจ้าอย่าแต่งงานกับลูกของซาตาน อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศต้นกำเนิดหรือสีผิว
อย่างไรก็ตาม คนหนุ่มสาวควรตระหนักว่าเราอยู่ในโลกที่ยังมีอคติอยู่มากมาย มีคนที่ไม่พอใจการแต่งงานระหว่างเชื้อชาติ เด็กจากการแต่งงานดังกล่าวมักถูกดูหมิ่นจากทั้งชุมชน (มารดาและบิดา) จากมุมมองทางสังคมวิทยา คู่รักที่เข้าสู่การแต่งงานระหว่างเชื้อชาติต้องเผชิญกับอคติและการปฏิเสธ ไม่มีสิ่งใดของพระเจ้าในสิ่งนี้ แต่นั่นคือความจริงของชีวิต
เนื่องจากแรงกดดันนั้นทนไม่ได้ ผู้คนที่ใคร่ครวญจะเข้าสู่การแต่งงานเช่นนี้จึงต้องมีความมั่นใจซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ในแรงจูงใจของพวกเขา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแต่งงานของพวกเขาเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

11. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับการรักร่วมเพศ?

พระคัมภีร์เรียกสิ่งนี้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนหากมีคนโกหกผู้ชายเหมือนกับผู้หญิง หรือถ้าผู้หญิงนอนกับผู้หญิงเหมือนกับผู้ชาย (ลนต. 18:22; 20:13) พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่าเพราะสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ โลกจึงเป็นมลทินและขับไล่ผู้ที่อาศัยอยู่บนนั้น (ลนต 18.25) อัครสาวกเปาโลเรียกสิ่งนี้ว่าน่าละอาย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่พระเจ้าละทิ้งคนเหล่านี้และ "ปล่อยให้พวกเขากลายเป็นมลทิน" (โรม 1:24-27)
พันธสัญญาเดิมกล่าวว่าผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ถูกขับออกจากเผ่าของอิสราเอลโดยการประหารชีวิต
พันธสัญญาใหม่กล่าวว่าผู้ที่หลงระเริงกับการรักร่วมเพศจะไม่เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า (1 โครินธ์ 6:9,10) อัครสาวกเปาโลในจดหมายถึงชาวโรมันระบุว่าการรักร่วมเพศเป็นการกบฏของผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า เขากล่าวว่าเมื่อผู้คนเข้ามาแทนที่ความจริงของพระเจ้าด้วยความไม่จริงและเริ่มบูชาสิ่งมีชีวิตนั้นแทนที่จะเป็นผู้สร้าง พวกเขาก็หลงระเริงไปกับความชั่วร้าย ในยุคนั้นของชีวิตในสังคม เมื่อคุณค่ากลับกลายเป็นภายในและเกิดความโกลาหลทางศีลธรรม ผู้ชายเริ่มร้อนรุ่มด้วยตัณหาของผู้ชาย และผู้หญิงสำหรับสตรี ซึ่งพวกเขาจะได้รับผลกรรมในร่างกายตามการกระทำของตน (รม 1.22) -27).
ตามพระคัมภีร์แล้ว การรักร่วมเพศแพร่กระจายออกไปเป็นสัญญาณว่าสังคมกำลังตกต่ำ

12. จำเป็นต้องหย่าร้างคู่สมรสรักร่วมเพศหรือไม่?

เราเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการแพร่กระจายของการรักร่วมเพศ ลองนึกภาพความรู้สึกของภรรยาที่รู้ว่าเธอแบ่งปันสามีกับคนรักของเขาอย่างน้อยหนึ่งคน ลองนึกภาพความรู้สึกของสามีที่ถูกบังคับให้แข่งขันเพื่อความรู้สึกของภรรยาของเขากับผู้หญิงที่รักของเธอ
นอกจากปัญหานี้แล้ว เนื่องจากแนวโน้มที่รู้จักกันดีของพวกรักร่วมเพศที่จะเปลี่ยนคู่ครองบ่อยครั้ง ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อกามโรคจากคู่สมรสรักร่วมเพศจึงเพิ่มขึ้น
แต่พระเจ้าเสนอวิธีการชดใช้บาปเสมอ ในสถานการณ์เช่นนี้ ฉันขอแนะนำให้คู่สมรสต่างเพศใช้ทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยคู่สมรสรักร่วมเพศจากภาระของการรักร่วมเพศ พวกรักร่วมเพศสามารถปลดปล่อยตัวเองจากความปรารถนาอันน่าสังเวชและพบกับความพึงพอใจในความสัมพันธ์ต่างเพศที่เจริญรุ่งเรืองอย่างสมบูรณ์ แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นหากปราศจากความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัย สิ่งนี้ต้องการคำแนะนำทางจิตวิญญาณที่ละเอียดอ่อนมาก เนื่องจากกลุ่มรักร่วมเพศจำนวนมากสามารถแสร้งทำเป็นและโกหกได้อย่างน่าเชื่อถือ ซ่อนพฤติกรรมของตนจากผู้อื่น
ท้ายที่สุด หากทุกวิถีทางหมดลง การหย่าร้างกับคู่ครองรักร่วมเพศจะเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดและถูกต้อง ลูกไม่ควรอยู่ภายใต้อิทธิพลของคู่สมรสดังกล่าว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สามีหรือภรรยาไม่ควรรู้สึกผิดว่า “สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับฉันได้อย่างไร” ให้พระเยซูคริสต์ประทานการเริ่มต้นชีวิตใหม่แก่คุณ

13. อนุญาตให้ทำแท้งหรือไม่?

การทำแท้งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างแน่นอน มันคือการใช้ชีวิตของมนุษย์ ฉันเชื่ออย่างลึกซึ้งว่าการทำแท้งเท่ากับการฆาตกรรม ในสดุดี เราอ่านว่าพระเจ้ากำลังวางแผนเราเมื่อเราอยู่ในครรภ์ (ดู สด 139:13) เรารู้ด้วยว่าพระเจ้าเรียกผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ก่อนเขาเกิด (ยรม 1.5) อัครสาวกเปาโลเชื่อว่าเขาได้รับเรียกให้รับใช้พระเจ้าขณะยังอยู่ในครรภ์มารดา (กท 1.15) ว่ากันว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมาชื่นชมยินดีในครรภ์มารดาเมื่อได้ยินเสียงของมารีย์ พระมารดาของพระเจ้า (ลก 1.44) แน่นอนว่าลูกในครรภ์มารดามีความเป็นปัจเจกทางวิญญาณอยู่แล้ว
จากมุมมองทางชีววิทยา ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าชีวิตมนุษย์ไม่ได้เริ่มต้นจากการปฏิสนธิ จากช่วงเวลาที่การพัฒนาที่ก้าวหน้าเริ่มต้นขึ้นซึ่งดำเนินต่อไปในวัยผู้ใหญ่ กระแสชีวิตไม่เคยหยุดนิ่ง นี่เป็นกระบวนการต่อเนื่อง ผู้เสนอการทำแท้งอ้างว่าทารกในครรภ์กลายเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงตั้งแต่เกิด อย่างไรก็ตาม ทารกในครรภ์อายุ 5-6 เดือนที่ผ่าคลอดโดยการผ่าตัดคลอดสามารถเลี้ยงไว้นอกครรภ์มารดาได้
การทำแท้งเป็นสิ่งชั่วร้ายที่น่ากลัว พระเจ้าสาปแช่งชาวอิสราเอลที่ถวายบุตรของตนเป็นเครื่องบูชาแก่พระโมเลค จากนั้นเด็ก ๆ ก็ถูกเผาในเปลวไฟแห่งไฟบูชายัญ (เลวี 20.2)
เราพร้อมที่จะเสียสละลูกหลานของเราเพื่อเทพเจ้าแห่งความสุข ความเย้ายวน และความสบายใจ ในการทำเช่นนั้น เราเป็นพยานว่าเราไม่ให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ นี่เป็นบาปร้ายแรงและเป็นคราบในสังคมของเรา
พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงการทำแท้งอย่างละเอียด เพราะปรากฏการณ์นี้ดูเหมือนคนของพระเจ้าจะคิดไม่ถึง เมื่ออิสราเอลอยู่ในอียิปต์ ฟาโรห์ผู้โหดร้ายเรียกร้องให้ชาวอิสราเอลฆ่าทารกแรกเกิด ในคัมภีร์ไบเบิล เรื่องนี้ถูกตีความว่าเป็นจุดสูงสุดของความโหดร้าย แม้แต่ความคิดที่ว่าชาวยิวสามารถฆ่าลูกของตัวเองได้ก็ยังเป็นคำสาปสำหรับพวกเขา ตลอดพันธสัญญาเดิม ผู้หญิงปรารถนาที่จะมีบุตร เด็กถือเป็นของขวัญจากพระเจ้า พวกผู้หญิงอธิษฐานไม่ให้เป็นหมัน สตรีที่ชอบธรรมจะรุกล้ำชีวิตบุตรของตนได้อย่างไร?
แม่ชีเทเรซาจากกัลกัตตากล่าวว่าเธอกลัวชะตากรรมของอเมริกาเพราะผู้หญิงอเมริกันกำลังฆ่าลูกของพวกเขา
เธอคิดว่าสังคมจะถึงวาระถ้าผู้หญิงไร้หัวใจจนฆ่าลูกของตัวเอง การทำแท้งไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความสูงของการผิดศีลธรรมนอกรีต

14. พระเจ้าได้จัดเตรียมคู่สมรสในอุดมคติให้กับทุกคนหรือไม่?

การแต่งงานไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่มีไว้สำหรับผู้ที่สร้างมาเพื่อครอบครัวเท่านั้น ฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำคุณไปสู่ครึ่งที่ดีกว่าสำหรับคุณ แม้ว่ามันอาจจะไม่ "สมบูรณ์แบบ" ก็ตาม และนั่นเป็นเหตุผล
แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งประกอบด้วยลักษณะทางจิต ปัญญา และจิตวิทยาที่เข้าใจยากหลายร้อยและอาจเป็นพัน
แต่ละคนมีรหัสพันธุกรรมที่ประกอบด้วยลักษณะทางกายภาพและลักษณะอื่นๆ นับล้าน ในการหาคู่ที่ "เหมาะสม" เราต้องสันนิษฐานว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างบุคคลที่มีลักษณะพิเศษนับล้านที่เสริมคุณลักษณะนับล้านของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าไม่ได้สร้างแต่ละคนโดยการกระทำของแต่ละคน แต่เกิดขึ้นจากกระบวนการทางชีววิทยาตามธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งที่พระเจ้าสามารถทำได้หากคุณขอให้พระองค์ทำ พระองค์สามารถทรงนำคุณไปสู่บุคคลที่จะช่วยเสริมบุคลิกภาพ ภูมิหลัง ความปรารถนาของคุณ และรหัสพันธุกรรมที่เสริมด้วยรหัสพันธุกรรมของคุณเอง สามารถผลิตลูกหลานที่พระเจ้าพอพระทัย คุณ และคู่สมรสของคุณ เนื่องจากการเลือกนี้ดูไม่น่าเชื่อในทางคณิตศาสตร์ เราจึงได้แต่หวังเพียงปัญญาอันไม่มีขอบเขตของพระเจ้าในการเลือกคู่หมั้นของเรา เคล็ดลับในการรู้จักการทรงนำของพระองค์มีอยู่ในสุภาษิต 3:5-6
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าคนที่กำลังมองหาสามีหรือภรรยาควรนั่งที่บ้านและรอให้พระเจ้าส่งคนมาเคาะประตูบ้าน เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะขอให้พระเจ้านำทางคุณไปยังสถานที่ที่คนเหงามักพบปะกัน เช่น กลุ่มคริสตจักร ห้องเรียน หรือสถานที่อื่นๆ ที่ผู้คนมารวมกันด้วยศรัทธาและความสนใจ มีหลายสถานที่ที่คุณสามารถพบคนที่ใช่สำหรับคุณ พระเจ้าจะทรงนำคุณมาเป็นคู่สมรสในอนาคตหากคุณให้โอกาสพระองค์ทำเช่นนั้น
จำไว้ว่าเฉพาะบุคคลที่มีพระคริสต์อยู่ในตัวเขาเท่านั้นที่สามารถถือเป็นคู่ครอง "ในอุดมคติ" ของคุณได้

ภูเขาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานบัญญัติ 10 ประการแก่โมเสสเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับโลกและผู้อื่น

ศาสนาไม่ได้เป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า นานมาแล้วบนภูเขาซีนาย พระเจ้าประทานบัญญัติ 10 ประการแก่โมเสส และมีเพียง 4 คนเท่านั้นที่มีหน้าที่ต่อพระผู้สร้าง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับโลกและคนรอบข้าง

พระไตรปิฎกเป็นแนวทางที่ดี เป็นการรวบรวมคำแนะนำ การสนับสนุนทางศีลธรรม และคลังปัญญาสำหรับพวกเราทุกคน ค่านิยมของความสัมพันธ์ในครอบครัวมีความสำคัญมากในชีวิตมนุษย์เพราะเราเรียนรู้ความรักผ่านสิ่งเหล่านี้

พระเจ้าคือความรัก ไม่มาก ไม่น้อย

พระคัมภีร์พูดถึงสามีและภรรยาว่าอย่างไร? จะเติบโตและบันทึกความรักได้อย่างไร? มาว่ากัน!

ความรักคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในครอบครัว

พระบัญญัติที่สำคัญที่สุดที่พระเจ้าประทานแก่เรานั้นมีอธิบายไว้ในพระกิตติคุณของยอห์นดังนี้

“เราให้บัญญัติใหม่แก่ท่านว่าท่านรักกัน ดังที่เราได้รักเธอแล้ว ก็จงรักซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุนี้ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา หากท่านมีความรักต่อกัน” (ยน. 13:34-35)

จำเป็นและสำคัญที่ต้องผูกพันเพื่อระลึกถึงสามีและภรรยา ในความสัมพันธ์ ในความรัก เราใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเพราะ:

“และเราได้รู้จักความรักที่พระเจ้ามีต่อเราและได้เชื่อในความรักนั้น พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าอยู่ในพระองค์” (โยนาห์ 4:16)

กฎบัตรแห่งชีวิตครอบครัวตามพระคัมภีร์

แต่ครอบครัวไม่ได้ปราศจากความขัดแย้ง เราทุกคนล้วนแล้วแต่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง และมีความขัดแย้งระหว่างคนที่รักอย่างจงใจ มักเกิดจากการที่คู่สมรสลืมความรับผิดชอบของตน หรือไม่รู้เรื่องพวกนี้

เพื่อให้ชีวิตคู่ง่ายขึ้น มีกฎบัตรแห่งชีวิตครอบครัวในแง่ของพระคัมภีร์ บทบัญญัติหลัก:

• สามีเป็นพระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า:

“ฉะนั้นสามีจะต้องไม่คลุมศีรษะของเขา เพราะเขาคือพระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 11:7)

• ศีรษะของทุกคนคือพระคริสต์:

“ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบด้วยว่าหัวหน้าของผู้ชายทุกคนคือพระคริสต์ หัวหน้าของภรรยาทุกคนคือสามี และศีรษะของพระคริสต์คือพระเจ้า” (1 โครินธ์ 11:3)

• ภรรยาคือสง่าราศีของสามี:

“ดังนั้น สามีจึงไม่ควรคลุมศีรษะ เพราะเขาเป็นพระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า และภรรยาก็เป็นสง่าราศีของสามี” (1 โครินธ์ 11:7)

• ภรรยาถูกสร้างมาเพื่อสามี:

“เพราะว่าสามีไม่ได้มาจากภรรยา แต่ภรรยามาจากสามี และสามีไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อภรรยา แต่สร้างภรรยาเพื่อสามี” (1 โครินธ์ 11:8-9)

• ภรรยา หัวหน้า สามี:

“ฉันอยากให้คุณรู้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของสามีทุกคน สามีเป็นศีรษะของภรรยา และพระเจ้าเป็นศีรษะของพระคริสต์” (1 โครินธ์ 11:3)

ความรับผิดชอบตามพระคัมภีร์ของสามี

• ทิ้งพ่อและแม่ของคุณไว้กับภรรยาของคุณและกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับเธอ:

“เหตุฉะนั้นผู้ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และ [ทั้งสอง] จะเป็นเนื้อเดียวกัน” (ปฐมกาล 2:24)

หน้าที่ของสามีคือรักภรรยาเหมือนรักตนเองเหมือนรักกายเพื่อหล่อเลี้ยงและให้ความอบอุ่นแก่เธอ

“สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาของคุณ เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักศาสนจักรและทรงสละพระองค์เองเพื่อให้เธอชำระเธอให้บริสุทธิ์ โดยทรงชำระเธอด้วยการอาบน้ำโดยพระวจนะ เพื่อถวายแด่พระองค์เป็นพระศาสนจักรอันรุ่งโรจน์ ไม่มีตำหนิ ไม่มีรอยย่น หรืออะไรทำนองนั้น แต่เพื่อพระนางจะบริสุทธิ์และไม่มีที่ติ

สามีจึงควรรักภรรยาเหมือนรักกาย ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง เพราะไม่มีใครเคยเกลียดชังเนื้อหนังของเขาเอง แต่หล่อเลี้ยงและให้ความอบอุ่นเช่นเดียวกับที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำในศาสนจักร เพราะเราเป็นอวัยวะในพระกายของพระองค์ จากเนื้อหนังและจากกระดูกของพระองค์ (เอเฟซัส 5:25-30)

• ปฏิบัติต่อภรรยาของคุณอย่างชาญฉลาด:

“เช่นเดียวกัน สามีทั้งหลาย จงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างสุขุม เฉกเช่นภาชนะที่อ่อนแอที่สุด ให้เกียรติแก่พวกเขา ในฐานะทายาทร่วมแห่งพระหรรษทานแห่งชีวิต เพื่อไม่ให้คำอธิษฐานของคุณถูกขัดขวาง ให้เกียรติภรรยา” (1 เปโตร 3:7)

หนึ่งในสาวกสิบสองคนของพระเยซูคริสต์ตามศีลของคริสตจักรคาทอลิก - สมเด็จพระสันตะปาปาองค์แรก ในสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ มันถูกพรรณนาว่าเป็นผู้พิทักษ์สวรรค์

• แสดงความโปรดปรานแก่ภรรยาของคุณ:

“เช่นเดียวกัน สามีทั้งหลาย จงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างฉลาด เฉกเช่นภาชนะที่อ่อนแอที่สุด ให้เกียรติแก่พวกเขา ในฐานะทายาทร่วมแห่งพระคุณแห่งชีวิต เพื่อไม่ให้คำอธิษฐานของคุณถูกขัดขวาง” (1 เปโตร 3:7)

• ให้อำนาจแก่ภรรยาของคุณอย่างเต็มที่เหนือร่างกายของคุณ:

“ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของเธอ แต่สามี; ในทำนองเดียวกัน สามีไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่ภรรยามีอำนาจ” (1 โครินธ์ 7:4)

• เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ บริสุทธิ์ สุขุม รอบคอบ ประพฤติตนมีศักดิ์ศรี อัธยาศัยดี ไม่โลภ ควรเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เลี้ยงลูกให้เชื่อฟังและเคารพตนเอง

“ไม่ใช่คนขี้เมา ไม่ใช่นักฆ่า ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่โลภ แต่สงบเสงี่ยม รักสงบ ไม่รักเงิน มีกิจการบ้านดี เลี้ยงลูกให้เชื่อฟังด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” (1 ติโม. 3:3-4)

• จงซื่อสัตย์ต่อภรรยาจนตาย:

“ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน เหตุฉะนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ร่วมไว้ด้วยกัน อย่าให้ผู้ใดพรากจากกัน” (มัทธิว 19:6)

• ดูแลครอบครัว:

“ถ้าผู้ใดไม่เลี้ยงดูตนเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในครัวเรือนของเขา เขาได้ละทิ้งความศรัทธาและเลวร้ายยิ่งกว่าผู้ที่ไม่เชื่อเสียอีก” (1 ติโม. 5:8)

ความรับผิดชอบของภรรยาในพระคัมภีร์

• สามีที่รัก:

“เพื่อสั่งสอนลูกให้รักสามีของตน” (ทต. 2:4)

• ใจดี:

“ผู้ใดพบภรรยาที่ดีก็พบความดี [เงียบ] และได้รับพระคุณจากพระเจ้า” (สุภาษิต 18:22)

“ภรรยาที่ดีคือการแบ่งปัน [ความดี] ที่มีความสุข [ตอน]” (เซอร์. 26.3)

หน้าที่ของภรรยาคือเชื่อฟังสามีในฐานะพระเจ้า

“ภรรยาทั้งหลาย จงเชื่อฟังสามีของคุณเสมือนกับพระเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของร่างกาย” (อฟ.5:22-23)

• เป็นและเรียนรู้ในความเงียบ - ด้วยความถ่อมตนทั้งหมด:

“ให้สตรีศึกษาอย่างเงียบๆ ด้วยความถ่อมตน แต่ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือปกครองสามีของนาง แต่ให้อยู่เงียบๆ (1 ติโม. 2:11)

• ดูแลความงามของจิตวิญญาณแห่งความอ่อนโยนและความอ่อนน้อมถ่อมตนของคุณ:

“อย่าให้การถักเปียภายนอกของผมเป็นเครื่องประดับของคุณ ไม่ใช่เครื่องประดับทองคำ หรือเครื่องวิจิตรในเสื้อผ้าของคุณ” (1 เปโตร 3:3)

• แสดงความโปรดปรานแก่สามีของคุณ:

“สามีแสดงความกรุณาต่อภรรยา เหมือนเป็นภรรยาของสามี” (1 โครินธ์ 7:3)

• เป็นคนบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ เกรงกลัวพระเจ้า ขี้อาย:

“เมื่อพวกเขาเห็นชีวิตที่บริสุทธิ์และเกรงกลัวพระเจ้าของคุณ ขอให้เครื่องประดับของคุณไม่ใช่การทอผมภายนอก ไม่ใช่ผ้าโพกศีรษะสีทองหรือความสง่างามในเสื้อผ้า แต่เป็นชายที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจในความงามที่ไม่มีวันเสื่อมสลายของจิตวิญญาณที่อ่อนโยนและเงียบ ซึ่งมีค่าต่อพระพักตร์พระเจ้า (1 เปโตร 3:2-4)

“ลูกกับการสร้างเมืองทำให้ชื่อคงอยู่ตลอดไป แต่ภรรยาผู้บริสุทธิ์ (ไม่มีที่ติ) ถือว่ายอดเยี่ยมกว่าทั้งคู่” (เซอร์ 40. 19)

“พระคุณเป็นผู้หญิงขี้อาย และไม่มีค่าพอสำหรับจิตใจที่พอประมาณ” (เซอร์. 26:18-19)

• ดูแลปรับปรุงบ้าน:

“ผู้หญิงที่ฉลาดจะสร้างบ้านของเธอ แต่ผู้หญิงที่โง่จะทำลายมันด้วยมือของเธอเอง” (สุภา. 14:1)

พระคัมภีร์ห้ามสามี

• ปรารถนาภรรยาของเพื่อนบ้าน:

“อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน อย่าโลภบ้านของเพื่อนบ้าน หรือทุ่งนา หรือคนใช้ของเขา หรือสาวใช้ของเขา หรือวัวหรือลาของเขา [หรือปศุสัตว์ใดๆ ของเขา] หรือสิ่งใด ๆ ที่เพื่อนบ้านของคุณมี " (ฉธบ. 5:21)

• ล่วงประเวณี:

“ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน เหตุฉะนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ร่วมไว้ด้วยกัน อย่าให้ผู้ใดพรากจากกัน” (1 โครินธ์ 6:9-10)

• เพื่อหลีกเลี่ยงภริยา เว้นแต่โดยยินยอมให้ถือศีลอดและละหมาด

• พระคัมภีร์ห้ามสามีทำรุนแรงกับภรรยา:

“สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาและอย่ารุนแรงกับพวกเขา” (โกโล. 3:19)

พระคัมภีร์ห้ามภริยา

• ในการแสวงหาอำนาจเหนือสามีของเธอ:

ไม่ใช่หนึ่งในอัครสาวกสิบสองคนของพระเยซูคริสต์ จดหมายฝากสิบสี่ฉบับของเปาโลประกอบขึ้นเป็นส่วนใหญ่ของพันธสัญญาใหม่ และเป็นหนึ่งในตำราหลักของเทววิทยาคริสเตียน

“แต่ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือปกครองสามี แต่ให้อยู่เงียบๆ” (1 ติโม. 2:12)

• สอนสามี:

“ให้สตรีศึกษาอย่างเงียบๆ ด้วยความถ่อมตน แต่ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือปกครองสามีของนาง แต่ให้อยู่เงียบๆ (1 ติโม. 2:11-12)

• ล่วงประเวณี:

“หรือท่านไม่รู้หรือว่าคนอธรรมจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก? อย่าถูกหลอกเลย คนผิดประเวณี คนไหว้รูปเคารพ คนเล่นชู้ มาลาเคีย รักร่วมเพศ โจร คนโลภ คนขี้เมา คนด่าว่า คนล่า จะไม่สืบทอดอาณาจักรของพระเจ้า (1 โครินธ์ 6:9-10)

• หลีกเลี่ยงสามี ยกเว้นตามข้อตกลงในการถือศีลอดและอธิษฐาน:

“อย่าพรากจากกัน เว้นแต่โดยตกลงกันเป็นคราวๆ สำหรับการถือศีลอดและละหมาด แล้วกลับมาอยู่ด้วยกันอีก เพื่อว่าซาตานจะไม่ล่อลวงท่านด้วยความเร่าร้อน” (1 โครินธ์ 7:5)

• ไม่พอใจ:

“อยู่ในมุมบนหลังคาดีกว่าอยู่กับภรรยาที่ชอบทะเลาะวิวาทในบ้านกว้างขวาง” (สุภา. 21:9)

“หยดไม่หยุดในวันที่ฝนตก [ฤดูหนาว] และภรรยาที่ทะเลาะวิวาท [ใส่ร้าย] เท่าเทียมกัน ใครก็ตามที่อยากจะซ่อนก็อยากจะซ่อนลมไว้” (สุภาษิต 27:16)

• มีเหตุผล:

"ความสุขมีแก่ผู้ที่อาศัยอยู่กับหญิงที่ฉลาด" (เซอร์ 25:11)

สามีภรรยาควรช่วยเหลือกันให้ดีขึ้น

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสามีและภรรยาที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ดีขึ้น

ครอบครัวไม่ใช่คนสองคนเพียงคนเดียว แต่เป็นครอบครัวเดียวกัน:

“ให้สามีผูกพันกับภรรยาของเขา” (เซนต์จอห์น Chrysostom ถอดความคำจากพระคัมภีร์ - มัทธิว 19:5-6))

มันหมายความว่าอะไร? นี่หมายความว่าสามีภริยาเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีภรรยาที่ดีและสามีที่ไม่ดี ทุกอย่างทำร่วมกันทุกอย่างเชื่อมต่อกัน

ตัวอย่างเช่น สุภาษิต 31 กล่าวว่าภรรยาควรเป็นอย่างไรตามพระคัมภีร์: ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แม้ว่าเธอจะต้องเข้านอนดึกและตื่นเช้า

มีการกล่าวถึงความงามมากมายในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์:

“เฉกเช่นดวงอาทิตย์ที่ขึ้นบนที่สูงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ความงามของสตรีที่ดีอยู่ในการตกแต่ง [ความงาม] ของบ้านของเธอ” (เซอร์. 26:20-21)

แต่เธอจะทำเช่นนี้หรือไม่ถ้าหัวหน้าครอบครัวไม่แยแส? เลขที่ สามีควรชื่นชมภรรยาของเขา คิดถึงภรรยาของเขา แล้วเธอจะมีแรงจูงใจที่จะนำความงาม:

“และชายคนนั้นกล่าวว่า ดูเถิด นี่เป็นกระดูกของข้าพเจ้า และเป็นเนื้อของเนื้อข้าพเจ้า เธอจะถูกเรียกว่าผู้หญิง เพราะเธอถูกพรากไปจากผู้ชาย (ปฐมกาล 2:23)

แม้ว่าข้อความดังกล่าวไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังพูดถึงภรรยาและสามี เราสามารถเข้าใจสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับการแต่งงานในที่ใดที่หนึ่ง:

“แต่ผู้ใดก็ตามที่ไม่ดูแลญาติพี่น้องของตน และเหนือสิ่งอื่นใดในครอบครัวของเขา ได้ปฏิเสธศรัทธาและกลายเป็นคนเลวร้ายยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อ” (1 ทธ. 5:8)

เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพระเจ้าที่สามีต้องดูแลภรรยา และภรรยาดูแลสามีของเธอ

พระเจ้าตั้งงานนี้ให้สูงกว่าศรัทธาของบุคคลในพระองค์ ปรากฎว่า "เคารพสามีของคุณในฐานะพระเจ้า"? ดูสิ่งที่จะลงทุนในวลีนี้ หากความเคารพคือความรัก ความเคารพ ความรู้สึกอบอุ่น แน่นอนว่าใช่ และถ้าเรากำลังพูดถึงความเป็นทาส นี่เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดีอยู่แล้ว

คุณเพียงแค่ต้องจำบทบาทของภรรยาและบทบาทของสามี เธอเป็นแรงบันดาลใจและคนรัก เขาเป็นผู้พิทักษ์ดูแล และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่บรรลุความสามัคคี

พระคัมภีร์มักจะให้พระเยซูคริสต์เป็นตัวอย่างแก่เรา เราสามารถตัดสินความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยาได้จากการกระทำและคำพูดของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงแสดงให้เราเห็นความรัก ความทุ่มเท การดูแลเอาใจใส่อย่างไม่มีเงื่อนไข ในความจริงใจนี้ไม่มีองค์ประกอบของความเห็นแก่ตัว การคำนวณ หรือความพยายามที่จะกำหนดเจตจำนงของตน

ในทางกลับกัน เราไม่วางเงื่อนไขไว้กับพระเยซูคริสต์และยอมรับคำสอนของพระองค์ ดังนั้นสามีและภรรยาจะแต่งงานกันและจากนี้ไปพวกเขาจะดำเนินชีวิตตามกฎใหม่สำหรับตนเอง กฎเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนชอบธรรม และสำหรับคนอื่นๆ ครอบครัวคือจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ

วิดีโอเกี่ยวกับการแต่งงาน ครอบครัว สามีและภรรยาจากนักบวช Andrey Tkachev

I. สถาบันการแต่งงานจัดตั้งขึ้นโดยพระเจ้า
คำว่า "แต่งงาน" หรือ "แต่งงาน" ในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่แปลโดยคำและแนวคิดต่อไปนี้: "การเป็นนาย", "การรับภรรยา", " ยกย่อง" หรือ "เชิดชู" ผู้หญิง "ทำพันธสัญญา", "อยู่ร่วมกัน", "ทำหน้าที่พี่น้องให้สำเร็จ", "เป็นสามี/ภรรยา"

1. แหล่งกำเนิด
พระเจ้าได้จัดตั้งสถาบันของครอบครัวขึ้นเพื่อเป็นการรวมตัวของชายและหญิงอย่างถาวร (ไม่ชั่วคราว) บนพื้นฐานของความรักซึ่งกันและกันและความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (ปฐมกาล 2:18) พระคัมภีร์อธิบายการแต่งงานว่าเป็นความสามัคคีทางร่างกายและจิตวิญญาณระหว่างชายและหญิงที่สร้างขึ้นเพื่อกันและกัน (ปฐมกาล 2:24, มัทธิว 19:5)

2. หลักคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการแต่งงาน - หลักคำสอนเรื่องการแต่งงานที่มีคู่สมรสคนเดียว
การสอนในพระคัมภีร์เป็นการมีคู่สมรสคนเดียว ไม่ใช่การมีภรรยาหลายคน นี่คือหลักคำสอนเรื่องการแต่งงานระหว่างชายกับหญิงหนึ่งคน แน่นอน มีหลายครั้งที่พระคัมภีร์บรรยายไว้เมื่อหลักการนี้ถูกละเมิดโดยผู้คน แต่สิ่งนี้ไม่ได้เบี่ยงเบนไปจากคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการแต่งงานในฐานะการอยู่ร่วมกันแบบคู่สมรสคนเดียวระหว่างคนสองคน
สดุดี 127:3 "ภรรยาของคุณ [หมายเหตุ: ไม่ใช่ภรรยา แต่เป็นภรรยา!] เป็นเหมือนเถาองุ่นมีผลดกในบ้านของคุณ บุตรชายของคุณเป็นเหมือนกิ่งมะกอกที่อยู่รอบโต๊ะของคุณ"; สุภาษิต 5:18 "และปลอบโยนภรรยาในวัยหนุ่มของคุณ"; สุภาษิต 18:22 “ผู้ใดพบภรรยาที่ดี [และไม่ใช่ภรรยา!] เขาได้พบความดีและได้รับพระคุณจากพระเจ้า”; สุภาษิต 19:14 "บ้านและที่ดินเป็นมรดกจากพ่อแม่ แต่ภรรยาที่หยั่งรู้ [และไม่ใช่ภรรยา!] มาจากพระเจ้า"; ปัญญาจารย์ 9:9 “จงใช้ชีวิตอยู่กับภรรยา [ไม่ใช่ภรรยา!] ซึ่งเจ้ารัก ตลอดชีวิตไร้สาระของเจ้า และผู้ที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ตลอดวันไร้สาระของเจ้า”

การมีภรรยาหลายคน:
การมีคู่สมรสคนเดียวในการแต่งงานเกิดขึ้นตั้งแต่การกำเนิดของอาดัมและเอวามาหลายชั่วอายุคน การกล่าวถึงครอบครัวที่มีภรรยาหลายคนในพระคัมภีร์เป็นครั้งแรกเกี่ยวข้องกับลูกหลานของคาอิน ได้แก่ ลาเมค: ปฐมกาล 4:16-19 "และคาอินก็ไปจากที่ประทับของพระเจ้าและตั้งรกรากอยู่ในดินแดนโนด ทางตะวันออกของเอเดน และคาอินรู้จักภรรยาของเขา และนางก็ตั้งครรภ์ นางคลอดเอโนค และเขาสร้างเมืองหนึ่ง และตั้งชื่อเมืองตามชื่อบุตรชายของเขาว่าเอโนค เอโนคให้กำเนิดบุตรชื่ออิราด อิราดให้กำเนิดเมเคียเอล เมคิเอลให้กำเนิดเมธูเสลาห์ เมธูเสลาห์ให้กำเนิดลาเมค และลาเมคมีภรรยาสองคน สำหรับตัวเขาเอง คนหนึ่งชื่อเอด้า คนที่สองชื่อศิลลา"
Lamech ไม่เพียง แต่เป็น "ผู้มีภรรยาหลายคน" เท่านั้น แต่ยังเป็นฆาตกรด้วย: ปฐมกาล 4:23-24 "และ Lamech พูดกับภรรยาของเขาว่า: Ada และ Zilla! me; ถ้า Cain แก้แค้นเจ็ดเท่าแล้ว Lamech เจ็ดสิบคูณเจ็ด" เขาไม่เพียงแต่เป็นนักฆ่าเท่านั้น แต่เขายังภูมิใจกับมันด้วย นั่นคือเขาสนุกกับการฝ่าฝืนกฎของพระเจ้าและระเบียบของพระเจ้า

ตอนนี้เรามาดูแผนการของพระเจ้าสำหรับครอบครัวทีละขั้นตอนกัน:

ก. พระเจ้าสร้างภรรยาเพียงคนเดียวสำหรับอาดัม
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเริ่มต้นจากคนสองคน: อาดัมและเอวา
ปฐมกาล 1:27-28 “และพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ ตามพระฉายของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างเขา พระองค์ทรงสร้างผู้ชายและผู้หญิง พระเจ้าอวยพรพวกเขา และพระเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็ม ให้แผ่นดินโลกปกครอง และครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และบรรดาสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"

ข. ทั้งสองจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
ปฐมกาล 2:23-24 “และชายคนนั้นกล่าวว่า “ดูเถิด นี่เป็นกระดูกของข้าพเจ้า และเป็นเนื้อของข้าพเจ้า เขาจะเรียกว่าผู้หญิง เพราะนางเป็นชายจากชายคนหนึ่ง ดังนั้นชายจะละบิดามารดาของตน และผูกพันกับภรรยาของเขา และพวกเขาจะเป็นเนื้อเดียวกัน"
ทั้งสองกลายเป็นเนื้อเดียวกัน พวกเขามีทุกอย่างที่เหมือนกัน พวกเขาเป็นของกันและกัน พวกเขาเป็นหนึ่ง ความเป็นคู่ในกรณีนี้ (ความปรารถนาในเอกราช) คือปัจเจกซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความสามัคคี

ข. การสมรสและการหย่าร้าง
มัทธิว 19:5-9 พระองค์ตรัสว่า เพราะฉะนั้น ผู้ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน จึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเป็นเช่นใด ได้ร่วมกันห้ามไม่ให้ใครแยกจากกัน พวกเขาพูดกับเขาว่า "แล้วโมเสสได้สั่งให้คุณทำใบหย่าและหย่ากับเธอได้อย่างไร เขาพูดกับพวกเขาว่าโมเสสเพราะใจที่แข็งกระด้างของคุณอนุญาตให้คุณหย่าภรรยาของคุณ แต่ในตอนแรกไม่เป็นเช่นนั้น แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดก็ตามที่หย่าภรรยาของตน มิได้ประพฤติผิดประเวณีและไปแต่งงานกับผู้อื่น ผู้นั้นก็ล่วงประเวณี และผู้ที่แต่งงานกับหญิงที่หย่าร้างก็ล่วงประเวณี" เช่นเดียวกันในมาระโก 10:6-9
ความตายเท่านั้นที่จะแยกมนุษย์ออกจากเนื้อหนังของเขาเองได้ ดังนั้น ความตายเท่านั้นที่จะทำลายพันธะการสมรสได้ พระเยซูตรัสถึงเหตุผลเดียวที่คู่สมรสสามารถหย่าร้างได้ - การล่วงประเวณี นั่นคือ การล่วงประเวณี (มัทธิว 19:9) อัครสาวกเปาโลกล่าวถึงอีกเหตุผลหนึ่งของการหย่าร้างในครอบครัวที่คู่สมรสคนหนึ่งเป็นผู้เชื่อและอีกคนหนึ่งเป็นผู้ไม่เชื่อ: 1 โครินธ์ 7:15 "ถ้าผู้ไม่เชื่อต้องการหย่าก็ให้เขาหย่า พี่ชายหรือน้องสาวในกรณีเช่นนี้ ไม่เกี่ยวกัน"

ครั้งที่สอง คู่สมรส
1. สามี
ก. หัวหน้าครอบครัว
เอเฟซัส 5:23 "... สามีเป็นหัวหน้าของภรรยา"
1 โครินธ์ 11:3 "ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้ด้วยว่าพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของผู้ชายทุกคน สามีเป็นศีรษะของภรรยา และพระเจ้าเป็นศีรษะของพระคริสต์"

ข. หน้าที่ของสามีในฐานะหัวหน้าครอบครัว:
สามีในฐานะหัวหน้าครอบครัวมีหน้าที่หลักสามประการ: จิตวิญญาณ สังคม และเศรษฐกิจ:
ประการแรก บิดามีหน้าที่รับผิดชอบต่อสุขภาพฝ่ายวิญญาณของครอบครัวโดยรวมและสำหรับสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวเป็นรายบุคคล ในสมัยโบราณพ่อเป็นพระสงฆ์ในครอบครัวจึงต้องเสียสละเพื่อสมาชิกในครอบครัว:
ปฐมกาล 12:8 “จากที่นั่นท่านขึ้นไปบนภูเขา ไปทางทิศตะวันออกของเบธเอล และท่านตั้งเต็นท์ของตนให้เบธเอลอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองอัย และเมืองอัยไปทางทิศตะวันออก และท่านได้สร้างแท่นบูชาแด่พระเจ้าที่นั่น และทูลออกพระนามพระเจ้า"; โยบ 1:5 “เมื่อครบกำหนดงานเลี้ยงแล้ว โยบส่งคนไปและชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ และตื่นแต่เช้าตรู่ถวายเครื่องเผาบูชาตามจำนวนของพวกเขา เพราะโยบกล่าวว่า บางทีบุตรชายของข้าพเจ้าอาจทำบาป และหมิ่นประมาทพระเจ้าในใจของเขา โยบก็กระทำตามวันเช่นนั้น”

ต่อมาเมื่อมีการแนะนำฐานะปุโรหิตในอิสราเอล นักบวช (เลวี) ก็เข้ามารับตำแหน่งนี้ อย่างไรก็ตาม พ่อยังคงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของครอบครัวต่อไป สิ่งนี้สำแดงออกมาในการเลี้ยงดูบุตรธิดาและสมาชิกในครัวเรือนทั้งปวงในองค์พระผู้เป็นเจ้า:
อพยพ 12:3,26-27 “จงกล่าวแก่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดว่า ในวันที่สิบของเดือนนี้ ให้แต่ละคนนำลูกแกะมาคนละตัวตามครอบครัว ลูกแกะตัวละหนึ่งตัว ... และเมื่อลูกของท่านพูดว่า สำหรับคุณ นี่คือการปรนนิบัติอะไร จงกล่าวเถิด นี่คือการถวายปัสกา แด่พระเจ้า ผู้ทรงผ่านบ้านของชนชาติอิสราเอลในอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงตีชาวอียิปต์ และทรงมอบบ้านของเราให้พ้น แล้วประชาชนก็กราบลงและ บูชา "; สุภาษิต 22:6 “จงสั่งชายหนุ่มเมื่อเริ่มหนทางของเขา เขาจะไม่หันหนีจากเขาเมื่อเขาแก่แล้ว”; เอเฟซัส 6:4 “และท่านที่เป็นบิดา อย่ายั่วยุบุตรของท่าน แต่จงเลี้ยงดูเขาด้วยคำสอนและตักเตือนขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

ความรับผิดชอบต่อสังคม: รวมถึงการคุ้มครองสมาชิกในครอบครัว พ่อเป็นผู้พิทักษ์บ้าน คนที่โชคร้ายที่สุดในสังคมอิสราเอลคือหญิงม่ายและเด็กกำพร้า ซึ่งถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่มีที่พึ่งได้มากที่สุด ภาระหน้าที่ทางสังคมหลักสี่ประการของหัวหน้าครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับลูกชายมีดังนี้ (ตามประเพณีของชาวยิว): การเข้าสุหนัตของลูกชาย, การโอนมรดกไปยังบุตรหัวปี, การค้นหาภรรยาสำหรับลูกชาย, การสอน ลูกชายฝีมือ

ความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจ: หัวหน้าครอบครัวเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวหรือคนหาเลี้ยงครอบครัว พระเจ้าที่สาปแช่งโลกเพราะบาปของอาดัมกล่าวว่า: ปฐมกาล 3:17-19 "... โลกถูกสาปเพราะเห็นแก่คุณ ในความเศร้าโศกคุณจะกินจากมันตลอดชีวิตของคุณ มันจะเติบโตมีหนามและพืชผักชนิดหนึ่งเพื่อ เจ้า เจ้าจะกินหญ้าในทุ่ง เจ้าเหงื่อออกหน้าของเจ้าจะกินขนมปังจนกว่าจะกลับเป็นดิน"
สามีในฐานะหัวหน้าครอบครัวมีหน้าที่ดูแลความต้องการเร่งด่วนของสมาชิกในครอบครัวของเขา ในกรณีที่คนเกียจคร้านปฏิเสธที่จะดูแลครอบครัวของเขา พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เตือนเขาถึงหน้าที่ของเขาที่มีต่อครอบครัว (สุภาษิต 6:6-11 "ไปหามด เฉื่อยชา ดูการกระทำของเขาและฉลาด เขา ไม่มีเจ้านายหรือ แต่เขาเตรียมขนมปังในฤดูร้อน เขารวบรวมอาหารของเขาในเวลาเก็บเกี่ยว เจ้าขี้เกียจ เจ้าจะนอนนานแค่ไหน ความยากจนของเจ้าเหมือนคนสัญจรไปมา และความปรารถนาของเจ้าเหมือนขโมย”
ในพันธสัญญาใหม่ อัครสาวกเปาโลลงโทษผู้ที่เรียกตนเองว่าเป็นคริสเตียน ลืมดูแลบ้านเรือน (1 ทิโมธี 5:8 “ถ้าผู้ใดไม่เลี้ยงดูตนเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัว เขาได้ปฏิเสธความเชื่อ และเลวร้ายยิ่งกว่าผู้ที่ไม่เชื่อ")

2. ภรรยา
การพึ่งพาสามีของภรรยา: แม้ว่าเธอจะมีบทบาทในการดูแลบ้าน แต่ภรรยาก็ต้องพึ่งพาสามีของเธอโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้แสดงออกในรูปแบบต่างๆ แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่อยู่ของภรรยากับสามีของเธอ: คำที่ภรรยาใช้เมื่อพูดถึงคู่สมรสของพวกเขา "baal" หมายถึง "ลอร์ด" หรือ "เจ้านาย" อย่างแท้จริง ซาราห์เรียกอับราฮัมว่า "นายของเธอ": ปฐมกาล 18:12 "ซาราห์หัวเราะในใจแล้วพูดว่า "เมื่อข้าพเจ้าแก่แล้ว จะได้รับความสบายใจเช่นนี้ไหม และเจ้านายของข้าพเจ้าชราแล้ว"

ก. ผู้ช่วยสามี
ปฐมกาล 2:18, 21-22 "และพระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว ให้เราสร้างผู้ช่วยที่เหมาะกับเขา... และพระเจ้าก็ทรงให้ชายคนนั้นหลับสนิท และเมื่อเขาผล็อยหลับไป เขาก็เอากระดูกซี่โครงอันหนึ่งมาปิดที่เนื้อ และซี่โครงที่นำมาจากชายนั้น พระเจ้าก็ทรงปั้นผู้หญิงเป็นหญิง แล้วทรงพาเธอไปหาชายคนนั้น"
1 โครินธ์ 11:9 "... และสามีไม่ได้ถูกสร้างขึ้นสำหรับภรรยา แต่ภรรยาสำหรับสามี"

ข. หน้าที่ของภริยา ภรรยามีอำนาจเต็มที่และมีอิสระในการจัดการและจัดการบ้านเรือน ซึ่งรวมถึงการอบรมเลี้ยงดูบุตรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเตรียมอาหารด้วย (ปฐมกาล 18:6 และอับราฮัมก็รีบไปที่เต็นท์ของซาราห์และกล่าวว่า แป้งดีที่สุดและทำขนมปังไร้เชื้อ" ; 2 ซามูเอล 13:7-9 "และดาวิดก็ส่งไปหาทามาร์ในบ้านเพื่อพูดว่า: ไปที่บ้านของอัมโนนน้องชายของคุณจัดอาหารให้เขา แล้วนางก็ไปที่บ้านของนาง พี่อัมโนนก็โกหก นางก็เอาแป้งนวดแล้วทำขนมต่อหน้าต่อพระพักตร์ อบขนม นำกระทะมาวางต่อหน้าท่าน แต่ท่านไม่อยากกิน") อาหารในครัวเรือน (สุภาษิต 31:15) และการผลิตผ้าและเสื้อผ้า (สุภาษิต 31:13,21-22) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภรรยาที่สุขุม ดูสุภาษิต 31:10-31

สาม. พันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับการแต่งงานและครอบครัว

1. จะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน?
พระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามการแต่งงาน แต่สนับสนุน:
1 ทิโมธี 4:1-3 “แต่พระวิญญาณตรัสชัดเจนว่าในวาระสุดท้าย บางคนจะละทิ้งความเชื่อ โดยเอาใจใส่วิญญาณที่ล่อลวงและคำสอนของผีปิศาจ ผ่านความหน้าซื่อใจคดของคนพูดเท็จ เผามโนธรรมของตน ห้ามการแต่งงาน " 1 ทิโมธี 5:14 “เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงปรารถนาให้หญิงม่ายสาวแต่งงาน ให้กำเนิดบุตร ปกครองบ้าน และอย่าให้โอกาสใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม” ฮีบรู 13:4 “ขอให้การแต่งงานเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และเตียงก็ปราศจากมลทิน แต่พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนล่วงประเวณีและคนล่วงประเวณี” 1 โครินธ์ 7:1-2 “สิ่งที่ท่านเขียนถึงข้าพเจ้านั้น เป็นการดีที่ผู้ชายจะไม่แตะต้องผู้หญิง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดประเวณี แต่ละคนควรมีภรรยาของตนและแต่ละคนควรมีนาง สามีของตัวเอง”

2. การแต่งงานของคริสเตียน:
พระเจ้าห้ามการแต่งงานของชาวอิสราเอลกับชาวคานาอันเพราะอาจทำให้อิสราเอลละทิ้งพระเจ้า อพยพ 34:15-16 เชิญพวกเจ้าด้วย และเจ้าจะไม่ได้ลิ้มรสเครื่องบูชาของพวกเขา และอย่ารับภรรยาจากลูกสาวของพวกเขาเพื่อ บุตรทั้งหลาย เกรงว่าบุตรสาวของตน ล่วงประเวณีตามพระของตน นำบุตรของท่านไปสู่ความชั่วร้ายตามพระของตน" เฉลยธรรมบัญญัติ 7:3-4 "... อย่าเป็นพันธมิตรกับพวกเขาและอย่าไว้ชีวิตพวกเขา และอย่าเข้าร่วมเป็นญาติกับพวกเขา: อย่าให้ลูกสาวของคุณเป็นลูกชายของเขาและอย่ารับลูกสาวของเขาเพื่อคุณ ลูกเอ๋ย เพราะพวกเขาจะทำให้บุตรชายของเจ้าหันหนีจากเราไปปรนนิบัติพระอื่น แล้วพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพลุ่งขึ้นบนเจ้า และอีกไม่นานพระองค์จะทรงทำลายเจ้า”

พระคัมภีร์ห้ามมิให้ผู้เชื่อแต่งงานกับผู้ไม่เชื่อ:

2 โครินธ์ 6:14-18 "ในพวกเราไม่แน่นสำหรับคุณ แต่ในใจของคุณคับแคบในการลงโทษที่เท่าเทียมกัน" ฉันพูดกับเด็ก ๆ "จงขยายตัวเอง ความสว่างเกี่ยวอะไรกับความมืด? พระคริสต์กับเบลิอัลมีข้อตกลงกันอย่างไรหรืออะไรคือหุ้นส่วนของผู้ศรัทธากับคนไม่เชื่ออะไรคือการรวมกันของพระวิหารของพระเจ้ากับรูปเคารพเพราะคุณเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ดังที่พระเจ้าตรัสว่า: ฉันจะอาศัยอยู่ใน พวกเขาและเดินในพวกเขาและเราจะเป็นพระเจ้าและพวกเขาจะเป็นประชากรของเราดังนั้นจงออกไปจากท่ามกลางพวกเขาและแยกตัวออกจากตัวเองพระเจ้าตรัสว่าอย่าแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทินและเราจะได้รับคุณและเราจะเป็นของคุณ พระบิดา และเจ้าจะเป็นบุตรและธิดาของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพตรัสดังนี้แหละ"
1 โครินธ์ 7:39 "ภรรยาถูกผูกมัดตามกฎหมายตราบเท่าที่สามีของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีของนางตาย นางจะแต่งงานกับใครก็ได้ตามใจชอบ เฉพาะในองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น"

3. ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส:
เอเฟซัส 5:22-33 “ภรรยาทั้งหลาย จงเชื่อฟังสามีเหมือนอย่างพระเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนที่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของร่างกาย แต่ในฐานะที่ คริสตจักรอยู่ภายใต้พระคริสต์ เช่นเดียวกับสามีในทุกสิ่ง สามีรักภรรยา เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและสละพระองค์เองเพื่อเธอ เพื่อชำระเธอให้บริสุทธิ์ ชำระเธอด้วยการอาบน้ำผ่านพระวจนะ เพื่อถวายพระศาสนจักรอันรุ่งโรจน์แด่พระองค์เอง ไม่มีรอยด่างพร้อยหรืออะไรทำนองนั้น แต่เพื่อว่านางจะ “บริสุทธิ์ไร้ที่ติ ดังนั้น สามีจึงควรรักภริยาเหมือนรักกาย ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง เพราะ ไม่มีใครเคยเกลียดชังเนื้อหนังของตน แต่หล่อเลี้ยงและทำให้อบอุ่นเหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำในศาสนจักร เพราะเราเป็นอวัยวะของร่างกายของพระองค์ เป็นเนื้อหนังและกระดูกของพระองค์ ดังนั้นผู้ชายจะละบิดามารดาและเกาะติดแน่น แก่ภรรยาของเขา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน นี่เป็นความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าพูดถึงพระคริสต์และพระศาสนจักร ดังนั้นให้พวกท่านแต่ละคนรักภรรยาของตนเหมือนรักตนเอง แต่ภรรยาจงเกรงกลัวนาง สามี";

โคโลสี 3:18-19 "ภรรยาทั้งหลาย จงยอมอยู่ใต้บังคับของสามีตามที่เห็นสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาของตนและอย่าแข็งกร้าวกับพวกเขา";

ทิตัส 2:4-5 "...เพื่อตักเตือนเด็กให้รักสามี รักลูก เป็นคนบริสุทธิ์ สะอาด ดูแลบ้าน ใจดี เชื่อฟังสามี";

1 เปโตร 3:1-7 “ท่านที่เป็นภรรยาทั้งหลาย จงยอมอยู่ใต้บังคับของสามี เพื่อว่าบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระวจนะจะได้ชีวิตภรรยาของตนโดยปราศจากคำพูด เมื่อเห็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ กลัวชีวิต อย่าให้สิ่งภายนอกเป็นเครื่องประดับผมเปียของคุณ ไม่ใช่ผ้าโพกศีรษะสีทองหรือเสื้อผ้าที่วิจิตรบรรจง แต่ให้เป็นคนที่ซ่อนเร้นอยู่ในความงามที่ไม่เสื่อมสลายของจิตใจที่อ่อนโยนและสงบ ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้น ครั้งหนึ่งบรรดาสตรีผู้บริสุทธิ์ ผู้ซึ่งวางใจในพระเจ้า ประดับตัว เชื่อฟังสามีของตน ดังนั้น ซาราห์จึงเชื่อฟังอับราฮัม เรียกเขาว่านาย เจ้าเป็นลูกของนางถ้าทำดีและไม่วิตกกังวลใดๆ เช่นเดียวกัน สามีทั้งหลาย จงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างฉลาดเฉกเช่น เป็นภาชนะที่อ่อนแอกว่าซึ่งแสดงเกียรติแก่พวกเขาในฐานะทายาทร่วมแห่งพระคุณแห่งชีวิตเพื่อคุณจะไม่ถูกขัดขวางในการสวดอ้อนวอน”

1 โครินธ์ 7:3-16 “แต่สามีแสดงความกรุณาต่อภรรยา ภรรยาก็ให้สามีของนางเช่นเดียวกัน ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่สามี สามีก็ไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตนเช่นเดียวกัน แต่ ภริยา ตามตกลง คราวหนึ่ง เพื่อถือศีลอด ละหมาด แล้วมารวมกันอีก เพื่อไม่ให้ซาตานมาล่อใจเจ้าด้วยอารมณ์ร้อนรน อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า อนุญาต ไม่ใช่ตามบัญชา .แต่แต่ละคนได้รับของประทานจากพระเจ้าทางนี้ อีกทางนั้น. สำหรับคนโสดและหญิงม่ายเราว่า เป็นการดีที่พวกเขาจะยังคงเป็นเหมือนเรา แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถละเว้นได้ ให้พวกเขาแต่งงาน เพราะมันจะดีกว่า ที่จะแต่งงานมากกว่าที่จะอักเสบ. ไม่ใช่เราที่สั่งการแต่งงาน, แต่เป็นพระเจ้า: ภรรยาต้องไม่หย่ากับสามีของเธอ; ถ้าเธอหย่าร้าง, เธอจะต้องอยู่เป็นโสด, หรือคืนดีกับสามีของเธอ, และสามีจะต้องไม่ละทิ้งสามีของเธอ. ภรรยา.
ข้าพเจ้าพูดกับคนอื่นๆ ไม่ใช่พระเจ้า ถ้าพี่น้องคนใดมีภรรยาที่ไม่เชื่อและนางตกลงที่จะอยู่กับเขา เขาไม่ควรทิ้งนาง และภรรยาที่มีสามีที่ไม่เชื่อและเขาตกลงจะอยู่กับนางต้องไม่ทิ้งเขาไป เพราะสามีที่ไม่เชื่อได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยภรรยาที่เชื่อ และภรรยาที่ไม่เชื่อก็ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยสามีที่เชื่อ มิฉะนั้นบุตรของท่านจะเป็นมลทิน แต่ตอนนี้พวกเขาบริสุทธิ์แล้ว ถ้าผู้ไม่เชื่อต้องการหย่าก็ให้เขาหย่า พี่ชายหรือน้องสาวในกรณีดังกล่าวไม่เกี่ยวข้อง พระเจ้าได้ทรงเรียกเราให้มีสันติสุข ภรรยารู้ได้อย่างไร ถ้าสามารถช่วยสามีได้? หรือคุณสามี ทำไมคุณรู้ว่าคุณสามารถช่วยภรรยาของคุณ? "

พระคัมภีร์สอนอะไรเกี่ยวกับครอบครัวโดยอาศัยข้อพระคัมภีร์ข้างต้น?
มาสรุปสิ่งที่เราเพิ่งอ่าน:
1) บุคคลไม่อาจแต่งงานได้
2) อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในบาป พระเจ้าแนะนำว่าทุกคนควรมีภรรยา/สามี
3) หากบุคคลใดเข้าสู่การแต่งงาน บุคคลนั้นผูกพันตามสายสัมพันธ์ทางครอบครัวตราบเท่าที่คู่สมรสทั้งสองยังมีชีวิตอยู่
4) พระคัมภีร์อนุญาตให้หย่าได้สองกรณี: หนึ่งในกรณีของการล่วงประเวณีของคู่สมรสคนใดคนหนึ่ง ประการที่สอง ถ้าคู่สมรสคนใดคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ และอีกคนหนึ่งไม่ต้องการอยู่กับเขา
5) ในกรณีของการหย่าร้าง คู่สมรสมีทางเลือกเพียงสองทาง: ตกลงกันและกลับมาหากัน หรืออยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต
6) ในกรณีที่คู่สมรสคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต คู่สมรสคนที่สองตามพระคัมภีร์มีสิทธิที่จะแต่งงานหรือแต่งงานใหม่ แต่ในพระเจ้าเสมอนั่นคือคู่สมรสจะต้องเป็นผู้เชื่อ
7) หากผู้เชื่อต้องการสร้างครอบครัว เขาต้องแต่งงานหรือแต่งงานกับผู้เชื่อเท่านั้น

IV. การใช้การเปรียบเทียบในครอบครัวของพระเจ้า

1. ในพันธสัญญาเดิม:
A. ในพันธสัญญาเดิม ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับอิสราเอลอธิบายว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส (โดยที่อิสราเอลเป็นภรรยาและพระเจ้าเป็นสามี):
อิสยาห์ 54:5 “เพราะว่าสามีของเจ้าคือผู้สร้างของเจ้า พระเจ้าจอมโยธาคือชื่อของเขา และพระผู้ไถ่ของเจ้าคือผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล เขาจะได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าแห่งพิภพทั้งสิ้น”
อิสยาห์ 62:4-5 “พวกเขาจะไม่เรียกคุณว่า 'ถูกทอดทิ้ง' อีกต่อไป และที่ดินของคุณจะไม่ถูกเรียกว่า 'ที่รกร้าง' อีกต่อไป แต่พวกเขาจะเรียกคุณว่า 'เราพอใจเขามาก' และที่ดินของคุณ 'แต่งงานแล้ว' ,' เพราะพระเจ้าพอพระทัยคุณ และแผ่นดินของคุณก็รวมกัน ชายหนุ่มก็รวมกันเป็นสาวพรหมจารี ลูกชายของคุณก็ร่วมใจกับคุณฉันนั้น และเจ้าบ่าวก็เปรมปรีดิ์ต่อเจ้าสาวฉันนั้น พระเจ้าของคุณจะเปรมปรีดิ์ในคุณฉันนั้น ."

B. อิสราเอล (ภรรยา) นอกใจพระเจ้ากับพระเจ้าอื่น:
อิสยาห์ 1:21 "นครที่สัตย์ซื่อซึ่งเต็มไปด้วยความยุติธรรมได้กลายเป็นหญิงโสเภณีไปเสียแล้ว ความจริงก็อาศัยอยู่ในนั้น แต่บัดนี้กลายเป็นฆาตกร"
เยเรมีย์ 2:21-23 “เราได้ปลูกเจ้าไว้อย่างเถาองุ่นอันสูงส่ง เป็นเมล็ดที่บริสุทธิ์ที่สุด แล้วเจ้ากลายเป็นกิ่งป่าของเถาวัลย์แปลก ๆ กับเราได้อย่างไร ดังนั้นแม้ว่าคุณจะล้างตัวเองด้วยสบู่และใช้น้ำด่างมาก ความชั่วร้ายของคุณ ถูกทำเครื่องหมายต่อหน้าฉัน พระเจ้าตรัสว่า เจ้าพูดได้อย่างไรว่า: "ฉันไม่ได้ทำให้ตัวเองเป็นมลทิน [a] ฉันไม่ได้เดินตามรอยเท้าของ Baal?" ?
เยเรมีย์ 3:1-2 "พวกเขากล่าวว่า 'ถ้าชายคนหนึ่งส่งภรรยาของเขาไป และนางจากเขาไปเป็นภรรยาของชายอื่น นางจะกลับไปหาเขาได้หรือไม่? ประเทศนั้นจะไม่ถูกทำให้เป็นมลทินด้วยสิ่งนี้หรือ” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เจ้ากับคนรักหลายคนยังประพฤติผิดประเวณี แต่จงกลับมาหาเรา เงยหน้าขึ้นดูที่สูงและดูว่าพวกเขาไม่ได้ทำผิดประเวณีกับเจ้าที่ไหน ในถิ่นทุรกันดาร และกระทำให้แผ่นดินเป็นมลทินด้วยการล่วงประเวณีและความชั่วร้ายของเจ้า" เยเรมีย์ 3:6-11 ด้วย

ค. พระเจ้าสัญญาว่าจะชำระเจ้าสาวของเขาให้บริสุทธิ์และทำพันธสัญญาใหม่กับเธอตลอดไป: โฮเชยา 2:16-23 "และในวันนั้นพระเจ้าตรัสว่าเจ้าจะเรียกเราว่า 'สามีของฉัน' และ จะไม่เรียกข้าพเจ้าอีกต่อไปว่า 'บาลี" และเราจะลบชื่อพระบาอัลออกจากปากของเธอ และจะไม่จดจำชื่อของพวกเขาอีกต่อไป และเราจะทำพันธสัญญาสำหรับพวกเขาในเวลานั้นกับสัตว์ป่าทุ่งและกับนกในอากาศและกับสัตว์เลื้อยคลานของแผ่นดิน และคันธนู ดาบ และการศึกสงคราม เราจะตัดขาดจากแผ่นดินนั้น และปล่อยให้พวกเขาอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย และเราจะหมั้นเจ้าไว้เป็นนิตย์ และจะหมั้นเจ้าไว้กับเราด้วยความชอบธรรมและความยุติธรรม ในความดีและความเมตตา และฉันจะหมั้นคุณไว้กับเราอย่างซื่อสัตย์และคุณจะรู้จักพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า ต่อมาในวันนั้น เราจะได้ยิน เราจะฟังฟ้าสวรรค์ ฟ้าจะฟังแผ่นดินโลก และแผ่นดินโลกจะได้ยินขนมปัง น้ำองุ่น และน้ำมัน และคนเหล่านี้จะได้ยินยิสเรเอล และฉันจะหว่านเพื่อตัวฉันเองบนแผ่นดิน และเมตตาต่อผู้ไม่เมตตา และฉันจะไม่พูดกับกลุ่มชนของฉันว่า "คุณเป็นคนของฉัน" แต่พวกเขาจะพูดว่า: "คุณคือพระเจ้าของฉัน!" ".

2. ในพันธสัญญาใหม่:
พระสัญญาที่พระเจ้าประทานให้ในพันธสัญญาเดิมสำเร็จลุล่วงในพันธสัญญาใหม่: พันธสัญญาใหม่อธิบายว่าพระเยซูคริสต์เป็นเจ้าบ่าว และศาสนจักร - เจ้าสาวของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงไถ่ ชำระและชำระด้วยพระโลหิตของพระองค์

มัทธิว 9:14-15 “แล้วสาวกของยอห์นมาทูลพระองค์ว่า “ทำไมเรากับพวกฟาริสีถือศีลอดมาก แต่สาวกของพระองค์ไม่ถือศีลอด? และพระเยซูตรัสกับเขาว่า “บุตรของห้องเจ้าสาวจะคร่ำครวญในขณะที่ เจ้าบ่าวอยู่กับพวกเขาหรือ แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวถูกพรากไปจากพวกเขาแล้วพวกเขาจะอดอาหาร”
ยอห์น 3:29 “ผู้ที่มีเจ้าสาวคือเจ้าบ่าว แต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเขาก็เปรมปรีดิ์ด้วยความปิติยินดีเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว นี่เป็นความยินดีของเราที่สำเร็จแล้ว”
2 โครินธ์ 11:2 "เพราะว่าข้าพเจ้าหึงหวงท่านเพราะหึงหวงพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้หมั้นท่านไว้กับชายคนเดียว เพื่อข้าพเจ้าจะได้มอบสาวพรหมจารีบริสุทธิ์แด่พระคริสต์"
เอเฟซัส 5:23-27 "...เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยาเช่นเดียวกับพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรและพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของร่างกาย แต่ในขณะที่คริสตจักรเชื่อฟังพระคริสต์ ภรรยาก็เช่นกัน สามีของพวกเขาในทุกสิ่ง สามี จงรักภรรยาของคุณ เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและสละพระองค์เองเพื่อเธอ เพื่อพระองค์จะทรงชำระเธอให้บริสุทธิ์ โดยชำระเธอด้วยการอาบน้ำด้วยพระวจนะ เพื่อมอบแด่พระองค์เอง คริสตจักรอันรุ่งโรจน์ไม่มีจุดหรือริ้วรอยหรืออะไรเช่นนั้น แต่เพื่อเธอจะศักดิ์สิทธิ์และไร้ที่ติ";
วิวรณ์ 19:7 “ให้เราเปรมปรีดิ์ เปรมปรีดิ์ และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะการอภิเษกของพระเมษโปดกมาถึงแล้ว และมเหสีของพระองค์ได้เตรียมพร้อมแล้ว”
วิวรณ์ 21:2,9 “และข้าพเจ้า ยอห์น ได้เห็นนครเยรูซาเล็มใหม่ซึ่งลงมาจากสวรรค์ซึ่งมาจากพระเจ้า เตรียมไว้เป็นเจ้าสาวที่ประดับประดาสามีของนาง... และทูตสวรรค์องค์หนึ่งจากเจ็ดองค์ก็มาหาข้าพเจ้า ผู้มีชามเจ็ดใบเต็มไปด้วยภัยพิบัติเจ็ดประการสุดท้ายและพูดกับข้าพเจ้าว่า "มาเถิด เราจะให้เจ้าสาวของพระเมษโปดกเป็นภรรยาให้เจ้าดู"
วิวรณ์ 22:17 “และพระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า มาเถิด ให้ผู้ที่ได้ยินก็ให้พูดมา ให้ผู้ที่กระหายมา ผู้ใดเต็มใจ ให้ผู้นั้นรับน้ำแห่งชีวิตโดยเสรี”

V. สายสัมพันธ์ของครอบครัวบนโลกคือต้นแบบ
ความสัมพันธ์ของพระเยซูคริสต์และคริสตจักร:

ในจดหมายของอัครสาวกเปาโลถึงชาวเอเฟซัส เมื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส กล่าวว่า "ความลึกลับนี้ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าพูดเกี่ยวกับพระคริสต์และคริสตจักร" (เอเฟซัส 5:32) ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเปิดม่านแห่งความลึกลับของพระเจ้าให้เราทราบเกี่ยวกับผู้เชื่อและพระผู้ช่วยให้รอดโดยใช้แบบอย่างของครอบครัว:

ก) เอเฟซัส 5:30 "...เพราะเราเป็นอวัยวะของร่างกาย เป็นเนื้อหนังและกระดูกของพระองค์" อีฟปรากฏตัวขึ้นระหว่างการนอนหลับสนิทของอดัมจากซี่โครง (เนื้อ) ของเขา ที่นี่เราสามารถเปรียบเทียบได้กับพระเยซูคริสต์ซึ่งความตาย (การนอนหลับสนิท) นำไปสู่การประสูติของเจ้าสาวของพระองค์ - คริสตจักรของพระเจ้า (ยอห์น 12:24) ถ้าเขาตายเขาจะเกิดผลมาก"; ยอห์น 19:33- 35 “แต่เมื่อพวกเขามาหาพระเยซูและเห็นพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาไม่ได้หักขาของพระองค์ แต่มีทหารคนหนึ่งแทงที่สีข้างของพระองค์ด้วยหอก ทันใดนั้นเลือดและน้ำก็ไหลออกมา และผู้ที่ได้เห็นก็มี เป็นพยานแล้ว และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง เขารู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อ”

ข) อาดัมตั้งชื่อให้เอวาว่า "อิชาห์ - "ภรรยา" หรือ "ผู้หญิง" ซึ่งมาจากคำว่า "ไอยช" - "ผู้ชาย" หรือ "ผู้ชาย" (ปฐมกาล 2:23 "และชายคนนั้นกล่าวว่า ดูเถิด นี่เป็นกระดูกของ กระดูกและเนื้อเนื้อของข้าพเจ้า เธอจะเรียกว่าผู้หญิง เพราะเธอถูกพรากไปจากผู้ชาย"
พระเยซูทรงให้พระนามใหม่แก่คริสตจักร: วิวรณ์ 3:12 "ผู้ที่ชนะเราจะสร้างเสาในวิหารของพระเจ้าของฉันและเขาจะไม่ออกไปอีก และฉันจะเขียนชื่อของพระเจ้าของฉันและชื่อของเขาลงบนเขา แห่งนครแห่งพระเจ้าของข้าพเจ้า คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ซึ่งลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของข้าพเจ้า และชื่อใหม่ของเรา”

ค) มีคำกล่าวเกี่ยวกับครอบครัว เอเฟซัส 5:31-32 "เหตุฉะนั้นผู้ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน" ในครอบครัวสามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือต้นแบบของความเป็นหนึ่งเดียวของคริสตจักร: โรม 6:5 "เพราะว่าถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในรูปลักษณ์ของการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เราก็จะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันในการเป็นขึ้นจากตายด้วย"

ง) สามีเป็นศีรษะของภรรยา เนื่องจากพระคริสต์ทรงเป็นประมุขของคริสตจักร 1 โครินธ์ 11:3 "ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบด้วยว่าศีรษะของผู้ชายทุกคนคือพระคริสต์ ศีรษะของภรรยาคือสามี และศีรษะของพระคริสต์คือพระเจ้า"; เอเฟซัส 5:23 “สามีเป็นศีรษะของภรรยา เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเป็นหัวหน้าคริสตจักร”

จ) ความตายสามารถแยกสามีและภรรยาได้ อย่างไรก็ตาม ความตายไม่สามารถแยกพระคริสต์ออกจากเจ้าสาวของพระองค์ได้ ยอห์น 10:28-29 “พระบิดาของเราผู้ทรงประทานสิ่งเหล่านี้แก่เรานั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใด และไม่มีใครสามารถแย่งชิงพวกเขาไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้ เราและพระบิดาเป็นหนึ่งเดียว”; โรม 8:35-39 “ใครเล่าจะแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า: ความทุกข์ยาก ความทุกข์ร้อน การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย หรือภยันตราย หรือดาบ แต่เราเอาชนะสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ได้โดยฤทธิ์เดชของพระองค์ผู้ทรงรัก เรา เพราะฉันแน่ใจว่าความตาย หรือชีวิต หรือเทวดา หรืออาณาเขต หรืออำนาจ หรือปัจจุบัน อนาคต หรือความสูง หรือความลึก หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดไม่สามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้าในพระคริสต์ พระเยซูพระเจ้าของเรา”

ฉ) อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่าการนอกใจเป็นเหตุผลที่สองที่สามารถแยกคู่สมรสออกจากกันได้ ในกรณีนี้ เมื่อใช้สิ่งนี้กับความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า เราสามารถพูดได้ว่าการล่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ (การล่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ) อาจทำให้เราปฏิเสธพระผู้สร้างของเราโดยสิ้นเชิง

บทสรุป:

พระเยซูตรัสถึงอาณาจักรสวรรค์ว่าเป็นงานฉลองสมรส:
มัทธิว 22:2-14 “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพระราชาที่ทรงจัดงานอภิเษกให้โอรสของพระองค์ พระองค์จึงทรงส่งคนใช้ไปเชิญผู้ที่ได้รับเชิญไปงานอภิเษก และพวกเขาไม่ต้องการเสด็จมาอีก ส่งคนใช้คนอื่นไปพูดว่า: บอกผู้ที่ได้รับเชิญ: ดูเถิดฉันเตรียมอาหารเย็นลูกวัวของฉันและสิ่งที่ขุนแล้วถูกฆ่าและทุกอย่างพร้อมแล้วมาที่งานเลี้ยงแต่งงาน แต่พวกเขาไม่สนใจสิ่งนี้ไป บ้างก็ไปในทุ่งบ้าง ค้าขายบ้าง บ้างก็จับคนใช้ ทำร้าย และฆ่าเสีย "เมื่อพระราชาทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์ก็กริ้ว จึงส่งกองทหารไป ทรงทำลายพวกที่ฆ่าและเผาเสีย แล้วท่านก็บอกคนใช้ว่า งานอภิเษกพร้อมแล้ว แต่ผู้ที่ได้รับเชิญไม่คู่ควร เพราะฉะนั้น ไปที่ทางแยกเรียกทุกคนที่หาพบ แล้วคนใช้เหล่านั้นก็ออกไปตามถนนและรวบรวมทุกสิ่งที่หาได้ ทั้งคนเลวและฝ่ายดี ในงานอภิเษกสมรสก็เต็มไปด้วยบรรดาผู้เอนกาย คุณเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรโดยไม่มีชุดสำหรับงานแต่งงาน แต่เขาก็นิ่ง แล้วพระราชาตรัสกับพวกคนใช้ว่า เอามือและเท้าโยนเขาทิ้งในความมืดภายนอก จะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หลายคนได้รับเรียก แต่มีน้อยคนที่ได้รับเลือก"

ตอนนี้ให้ตอบคำถาม: "ฉันยอมรับคำเชื้อเชิญของพระบิดาบนสวรรค์ให้ไปงานแต่งงานหรือไม่"

“สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาของตน เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรด้วย” (เอเฟซัส 5:25)เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยภรรยาหรือช่วยชีวิตเธอ ความรักของพระคริสต์ที่มีต่อคริสตจักรนั้นไร้ขอบเขตและไม่เห็นแก่ตัว พระองค์ทรงสละชีวิตเพื่อคริสตจักร - ก่อนที่คุณจะรักพระองค์ ความรักที่พระเยซูมีต่อคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณรักพระองค์มากแค่ไหน โดยอำนาจของพระเจ้า จงรักภรรยาของคุณเหมือนที่คุณรักที่จะรับใช้พระเจ้าและในขณะที่คุณอุทิศชีวิตให้กับพระองค์

“ดังนั้น สามีจึงควรรักภรรยาของตนเหมือนรักกายของตนเอง” (เอเฟซัส 5:28-33)คุณดูแลตัวเองทุกวันและพยายามมีสุขภาพแข็งแรงและอิ่มมากที่สุด คุณพยายามสนองความต้องการและความต้องการทันที รวมถึงความต้องการทางเพศที่ภรรยาของคุณสามารถสนองได้ คุณควรดูแลความต้องการและความเป็นอยู่ที่ดีของภรรยาด้วย รู้สึกถึงความเจ็บปวดและความเจ็บป่วยของเธอ ชื่นชมยินดีในความเป็นอยู่ที่ดีของเธอเช่นเดียวกับที่คุณชื่นชมยินดีในตัวคุณเอง สามีต้องเห็นความต้องการทางเพศของภรรยาและพยายามทำให้พอใจ โดยพื้นฐานแล้ว คุณควรพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองความต้องการหรือความปรารถนาของเธอในด้านการเงิน ร่างกาย อารมณ์ หรือจิตวิญญาณ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่คุณสามารถรักเธอและทำเพื่อเธอในสิ่งที่คุณทำเพื่อตัวคุณเอง

“ท่านเป็นสามียังคงปฏิบัติต่อพวกเขาตามความรู้โดยให้เกียรติพวกเขาตามความรู้…” (1 เปโตร 3:7)พระคัมภีร์กล่าวว่าถ้าเราละเลยพระบัญญัตินี้ พระเจ้าจะไม่ได้ยินคำอธิษฐานของเรา เพื่อที่จะ "ปฏิบัติตามความรู้" ให้กำจัดนิสัยที่รบกวน หากเธอต้องการความช่วยเหลือในการยกน้ำหนัก ช่วยด้วย! ถ้าเธอต้องการพักผ่อน ให้ทำงานบ้านและใช้เวลากับลูกๆ แทนเธอ! พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยภรรยา แสดงความรักด้วยความเคารพ อธิษฐานเพื่อทำความเข้าใจว่าคุณอาจไม่สนใจภรรยาของคุณอย่างไร

“สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาของตนเถิด และอย่ารุนแรงกับพวกเขาเลย” (โคโลสี 3:19)หากภรรยาของคุณอ่อนไหว คุณต้องเข้าใจว่าคำตอบที่หยาบคาย หน้าตาโกรธจัด น้ำเสียงหงุดหงิด และความใจร้อนอาจทำให้ภรรยาขุ่นเคืองอย่างสุดซึ้ง จงดีใจที่เธอเป็นผู้หญิงมากและไม่ชอบคุณ จำไว้ว่านี่คือของขวัญล้ำค่าจากพระเจ้าที่เขาตอบแทนคุณด้วย

“ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน มีแต่สามี สามีก็ไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน มีแต่ภรรยา” (1 โครินธ์ 7:3-5) ได้โปรดภรรยาของคุณและอย่าละเว้นในสิ่งที่เธอต้องการ ความสุขบนเตียงควรนำมาไม่รับและไม่บังคับ ถามเธอว่าเธอต้องการอะไรเข้าและออกจากห้องนอน

“ที่มาของเจ้าจงได้รับพร และจงปลอบโยนภรรยาในวัยเยาว์ของเจ้า กวางผู้น่ารักและเลียงผาที่สวยงามให้หน้าอกของเธอเชื่อใจคุณตลอดเวลา ชื่นชมยินดีในความรักของเธอเสมอ” (สุภาษิต 5:18-19) ผู้ชายไม่ควรมองผู้หญิงคนอื่นหรือภาพผู้หญิงอื่น ๆ ถ้าเขามีภรรยาที่เขามองเห็นได้ทุกอย่าง สามีควรจะพอใจกับเรือนร่างของภรรยาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าหน้าอกของเธอจะเป็นรูปร่างหรือขนาดใด ถ้าผู้ชายต้องการและทูลขอให้พระเจ้าช่วยเขา เขาจะเชื่อว่าเธอมีเสน่ห์ที่สุดในโลก นี่คือ เสน่ห์ของภรรยาของเขาอย่างแน่นอน ตัวเธอเองคุณจะรู้สึกมีเสน่ห์ เย้ายวน และที่สำคัญที่สุดคือเป็นผู้หญิง

“...เพื่อให้ผู้หญิงแต่งกายสุภาพเรียบร้อย มีความสุภาพเรียบร้อยและสุภาพเรียบร้อย มิได้ประดับตัวด้วยผมเปีย ไม่ประดับด้วยทองคำ ไม่ประดับด้วยไข่มุก ไม่สวมอาภรณ์อันล้ำค่า” (1 ทิโมธี 2:9) ส่งเสริมภรรยาของคุณให้เจียมตัวในที่สาธารณะและน่าตื่นเต้นในที่ส่วนตัว ความสุภาพเรียบร้อยประดับประดาผู้หญิง ความบาปและการล่อลวงมาจากผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าเปิดเผยเกินไปในที่สาธารณะ คิดว่าดีแค่ไหนที่รู้ว่าไม่มีใครนอกจากคุณมองเห็นเท้าของภรรยาได้อย่างเต็มที่ คุณจะแปลกใจว่าสิ่งง่ายๆ เช่นนี้จะเพิ่มความรู้สึกของความเป็นชายและความเป็นผู้หญิงของเธอได้มากเพียงใด

“แล้วทำไมเจ้าลูกเอ๋ย ถึงถูกคนแปลกหน้าพาไปโอบกอดอกของผู้อื่น?(หนังสือสุภาษิต 5:20) หากคุณสนใจผู้หญิงคนอื่นและมองดูผู้หญิงคนอื่น จะทำให้ทัศนคติของคุณที่มีต่อภรรยาคุณเสียไป คุณจะไม่พอใจเธอน้อยลง และเธอจะรู้สึกพิเศษน้อยลงสำหรับคุณ ไม่ว่าใครก็ตาม ผู้ชายที่มีภรรยาไม่สามารถพัฒนานิสัยไม่มองย้อนกลับไปที่ผู้หญิงโดยไม่รู้ตัว ภรรยาของคุณจะสังเกตเห็นสิ่งนี้ จงหลงใหลในเธอเท่านั้นและไม่มีใครอื่น เธอจะรู้สึกเหมือนเป็นราชินีและคุณจะตกหลุมรักเธอมากขึ้นไปอีก

“ เด็ก ๆ ลุกขึ้นและทำให้เธอพอใจ - สามีและสรรเสริญเธอ:“มีสตรีที่มีคุณธรรมมากมาย แต่เธอเก่งกว่าพวกเขาทั้งหมด” (หนังสือสุภาษิต 31:28-29) บอกเธอว่าเธอเป็นคนพิเศษและดีที่สุดของผู้หญิงทุกคนในโลก อย่าเพิ่งเน้นถึงรูปลักษณ์ที่ดูดีของเธอ แต่ให้ชมเชยเธอในความห่วงใย การทำงานหนัก และความเป็นผู้หญิงของเธอ หากคุณเชิดชูมันอย่างต่อเนื่อง คุณจะเห็นว่ามันจะผลิบานต่อหน้าต่อตาคุณอย่างไร เธอกระหายคำเหล่านั้นและต้องการได้ยินจากคุณ แน่นอน คุณไม่ต้องการให้เธอคิดมากเกี่ยวกับตัวเอง แต่ภรรยาของคุณต้องการได้รับการชื่นชมเสมอ

“คุณสวยแค่ไหน มีเสน่ห์แค่ไหน ที่รัก ด้วยความดูดีของคุณ!“(เพลงของโซโลมอน 4:7; 7:1-8) ผู้ชายที่รักผู้หญิงของเขาจริง ๆ จะทำให้เธอรู้สึกสมบูรณ์แบบสำหรับเขา พระเจ้าสร้างภรรยาของคุณและเขาไม่ทำผิดพลาด หากคุณไม่ชอบบางส่วน ในร่างกายของเธอคุณต้องเปลี่ยนไม่ใช่เธอ แต่เป็นความคิดของเธอ ผู้ชายต้องรักภรรยาของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ และแสดงความรักต่อเธอทุกอนุภาคและบอกเธอด้วยความเคารพและความรู้สึก เป็นสิ่งต้องห้ามวิจารณ์และเยาะเย้ยเธอ ลองนึกภาพว่าเธอจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณทั้งคู่เชื่อว่าคุณชื่นชมทุกสิ่งเกี่ยวกับเธอ!

“ขอให้การแต่งงานเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และเตียงก็ปราศจากมลทิน แต่พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนล่วงประเวณีและคนล่วงประเวณี” (ฮีบรู 13:4)พระเยซูตรัสว่า "ทุกคนที่มองดูผู้หญิงด้วยราคะได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว" (มัทธิว 5:28) คล้ายกับสำนวนที่ว่า "เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย" (ลูกา 12:34) เป็นสิ่งต้องห้ามเพื่อให้ความปรารถนาดังกล่าวมีชัยในทุกด้านของชีวิตคุณ อย่าให้สิ่งนั้นมาครอบงำหัวใจของคุณ รักษาการแต่งงานของคุณให้บริสุทธิ์โดยการฝึกใจและดวงตาของคุณให้ซื่อสัตย์ต่อภรรยาของคุณ หากคุณยึดมั่นในสิ่งนี้ คุณจะแปลกใจว่าการแต่งงานของคุณจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด

• ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความงามและซาบซึ้ง แต่จงรักษาตา ความปิติ จิตใจ และหัวใจเพื่อภรรยาของคุณ

“ผู้ใดพบภริยา [ดี] ก็พบของดีและได้รับพระคุณจากพระเจ้า” (สุภาษิต 18:22)แค่คิดว่าคุณจะเหงาแค่ไหนหากไม่มีภรรยา อดัมอยู่คนเดียวและเขารู้สึกแย่ในตัวเอง พระเจ้าจึงตอบแทนเขาด้วยภรรยา คุณมีเพื่อนที่เป็นทั้งชีวิตและคนที่คุณรักซึ่งคุณสามารถสนุกกับมันได้ทุกวัน ช่างเป็นพรอะไร! ขอบคุณพระเจ้าและอธิษฐานเผื่อเธอทุกวัน เธอเป็น "ของขวัญ" ที่เหลือเชื่อจากพระเจ้า

“ผู้ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และทั้งสองจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อพวกเขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน” (พระวรสารตามมัทธิว 19:5) สนุกกับชีวิตกับเธอราวกับว่าคุณแยกกันไม่ออก แต่ใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด ใช้เวลากับเธอให้มากเหมือนตอนที่คุณพบ รีบกลับบ้านไปหาเธอจากที่ทำงาน คิดเกี่ยวกับมันตลอดทั้งวัน โทรหาเธอทุกวัน อยู่คนเดียวกับเธอบ่อยๆและรักกัน คุณควรทำเช่นนี้บ่อยเท่าที่จำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการของคู่สมรสทั้งสองและเท่าที่สุขภาพจะเอื้ออำนวย พูดคุยกันและแบ่งปันกิจกรรมของวัน แสดงความสนใจ: ฟังอย่างระมัดระวัง สบตา ภรรยาของคุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและทุกคนยกเว้นพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับเธอ