บ้าน › มันน่าสนใจ › 5 ภาษารัก เวอร์ชั่นเต็ม ห้าภาษารัก

5 ภาษารัก เวอร์ชั่นเต็ม ห้าภาษารัก

แชปแมนแกรี่

ห้าภาษารัก

ความกตัญญู

เราเรียนรู้ความรักก่อนอื่นในครอบครัว ครอบครัวของฉันคือพ่อและแม่ของฉัน แซมและเกรซ ผู้ที่รักฉันมากว่าห้าสิบปี ถ้าไม่ใช่สำหรับพวกเขา บางทีตอนนี้ฉันจะไม่เขียนเกี่ยวกับความรัก แต่ตัวฉันเองกำลังมองหามันอย่างสิ้นหวัง ครอบครัวของฉันคือแคโรไลน์ ภรรยาของฉัน ซึ่งเราอาศัยอยู่ด้วยกันมาสามสิบปีแล้ว ถ้าผู้หญิงทุกคนรู้จักความรักแบบนั้น สามีก็จะไม่มองคนอื่น ลูกของเรา เชลลี่และดีเร็ก ออกจากรังพ่อแม่ไปแล้ว พวกเขามีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ฉันรู้ว่าพวกเขารักฉัน ฉันมีความสุขและขอบคุณพวกเขาทุกคน

ฉันรู้สึกขอบคุณผู้เชี่ยวชาญที่มีทฤษฎีที่ช่วยฉันในการทำงาน

ในหมู่พวกเขามีจิตแพทย์ Ross Campbell, Judson Swihart และ Scott Peck

และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ฉันอยากจะขอบคุณผู้คนที่ฉันพบในช่วงยี่สิบปีที่ทำงานและผู้ที่แบ่งปันกับฉันอย่างใกล้ชิดที่สุด ถ้าไม่มีพวกเขา หนังสือเล่มนี้ก็ไม่มีอยู่จริง

เกิดอะไรขึ้นกับความรักหลังแต่งงาน?

ที่ความสูง 30,000 ฟุต ระหว่างบัฟฟาโลกับดัลลัส เขาวางนิตยสารลงแล้วหันมาถามฉันว่า:

- คุณทำงานอะไร?

“ฉันเป็นที่ปรึกษาการแต่งงาน ฉันสอนสัมมนา

“ถ้าอย่างนั้นคุณอาจตอบฉันได้ อยากรู้มานานแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับความรักหลังแต่งงาน?

ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถงีบหลับได้: "คุณกำลังพูดถึงอะไร"

“ฉันแต่งงานมาแล้วสามครั้ง” เขากล่าว - และทุกครั้งก็เหมือนเดิม ทุกอย่างเรียบร้อยดี จนกว่าเราจะแต่งงานกัน ฉันรักเธอ เธอรักฉัน และดูเหมือนว่านี่คือรักแท้ และหลังวิวาห์...เหมือนจะระเหยไป ฉันไม่คิดว่าตัวเองโง่ ฉันประสบความสำเร็จในธุรกิจแล้ว แต่ฉันไม่เข้าใจสิ่งนี้

- และชีวิตครอบครัวของคุณนานแค่ไหน?

- การแต่งงานครั้งแรก - ประมาณสิบปี เราอาศัยอยู่กับภรรยาคนที่สองเป็นเวลาสามปี โดยครั้งสุดท้าย - เกือบหกปี

- แล้วอะไรล่ะ ความรักหายไปทันทีหลังแต่งงาน?

“ครั้งที่สองที่สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ผลตั้งแต่เริ่มต้น ฉันไม่รู้ว่าทำไม. ฉันคิดว่าเรารักกัน แต่แล้วในช่วงฮันนีมูน ฝันร้ายเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเราไม่เคยตื่นนอนเลย ก่อนแต่งงานฉันได้พบกับเธอเพียงหกเดือน มันเป็นความโรแมนติกที่รวดเร็ว สิ่งที่เหลือเชื่อ! แล้ว - สงคราม

ภรรยาคนแรกของฉันและฉันอาศัยอยู่ได้ดีสามหรือสี่ปี แล้วเด็กก็ปรากฏตัวขึ้น และเธอไม่ได้คิดอะไรอีกแล้ว ฉันแค่ไม่ได้สังเกต ราวกับว่าเด็กคนนี้คือทั้งหมดที่เธอต้องการจากฉัน เขาเกิดและฉันไม่ต้องการอีกต่อไป

คุณลองคุยกับเธอหรือยัง

- แน่นอน. เธอตอบว่าฉันมันบ้า ฉันไม่เข้าใจว่าเธอมีลูกยากแค่ไหน เธอบอกว่าฉันควรช่วยเธอ ฉันพยายามแล้ว แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราแยกย้ายกันไปมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่นานก็เย็นลงอย่างสมบูรณ์ต่อกันและกัน ความรักก็หมดไป เราตระหนักว่าการแต่งงานล้มเหลว

ภรรยาคนที่สาม ... ฉันคิดว่ามันคงจะต่างจากเธอ ฉันหย่าร้างมาสามปีและเราเดทกับพวกเขาสองคน ฉันคิดว่าเราทดสอบความรู้สึก สำหรับฉันดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่ฉันเข้าใจความหมายของการรักใครสักคน และเธอก็รักฉันจริง ๆ ฉันรู้สึก

ฉันไม่คิดว่าฉันเปลี่ยนไปตั้งแต่แต่งงาน ฉันยังรักเธอและพยายามทำให้เธอเห็นมัน ฉันบอกว่าเธอสวยแค่ไหน ฉันรักเธอแค่ไหน ภูมิใจในตัวเธอแค่ไหน แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ฟันผุก็เริ่มขึ้น อย่างแรก เรื่องไร้สาระ: ฉันไม่ได้ทิ้งขยะ ฉันไม่ได้เก็บเสื้อผ้า จากนั้นเธอก็เปลี่ยนไปใช้ตัวละครของฉัน เธอบอกว่าฉันไว้ใจไม่ได้ ว่าฉันหลอกลวงเธอ เธอวิจารณ์ทุกอย่าง เมื่อฉันพบเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่น่าพึงพอใจที่สุดในโลก นี่คือสิ่งที่ดึงดูดฉัน เธอมีความสุขกับทุกสิ่งเสมอ ฉันวิเศษมาก เราแต่งงานกันแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าฉันทำทุกอย่างผิด บอกตามตรงฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็รำคาญ...และเลิกรักเธอ ใช่ และเธอก็เช่นกัน อยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีประโยชน์ แล้วเราก็เลิกกัน

มันเป็นปีที่แล้ว ทำไมความรักถึงหายไปหลังจากแต่งงาน? เป็นแบบนั้นกับทุกคนหรือเปล่า? อาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงมีการหย่าร้างมากมาย? ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเกิดขึ้นกับฉันสามครั้งแล้ว และผู้ที่ไม่ได้หย่าร้างอยู่กับความว่างเปล่าในหัวใจของพวกเขาหรือพวกเขารักษาความรักไว้จริง ๆ หรือไม่? ถ้าใช่อย่างไร?

คำถามที่เพื่อนบ้านของฉันบนเครื่องบินถามกำลังทรมานหลายคนในทุกวันนี้ ทั้งที่แต่งงานแล้วและหย่าร้าง บางคนหันไปหาเพื่อน บางคนหันไปหานักจิตวิทยา นักบวช บางคนใกล้ชิดกับตัวเอง บางครั้งพวกเขาตอบเราด้วยศัพท์แสงมืออาชีพซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจ บางครั้งพวกเขาพยายามปลอบโยนเราด้วยเรื่องตลก แน่นอน เรื่องตลกมีความจริงอยู่บ้าง แต่มันจะช่วยให้คุณเหมือนกับแอสไพรินสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง

และเราต้องการมากจนความรักไม่ตายหลังแต่งงาน ความต้องการนี้อยู่ลึกในตัวเรา มีบทความเกี่ยวกับหัวข้อนี้ในนิตยสารเกือบทุกฉบับ ปัญหานี้มีการกล่าวถึงในรายการโทรทัศน์และวิทยุ มีการเขียนหนังสือจำนวนมาก เพราะปัญหามันหนักหนาสาหัสจริงๆ

ดังนั้น ในการกำจัดของเรา - หนังสือ นิตยสาร ความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ แต่ทำไมมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ค้นพบเคล็ดลับของชีวิตครอบครัวที่มีความสุข เราเข้าสัมมนา ฟังคำแนะนำดีๆ แต่ทำไมเมื่อเรากลับถึงบ้านแล้วพบว่าเราตามไม่ทัน? เราอ่านบทความในนิตยสาร "101 วิธีในการแสดงให้คู่สมรสของคุณเห็นว่าคุณรักเขา" เราเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสองสามวิธีในหมู่พวกเขาตามที่ดูเหมือนสำหรับเรา และด้วยเหตุผลบางอย่างที่คู่ของเราไม่สังเกตเห็นอะไรเลย ขอประกาศ 98 ที่เหลือไร้ค่าและดำรงอยู่เช่นเดิม

ในความรัก คุณต้องอธิบายตัวเองในภาษาของคนที่คุณรัก

จุดประสงค์ของหนังสือของฉันคือการตอบคำถามเหล่านี้ ไม่เลยเพราะหนังสือและบทความที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ช่วยไม่ได้ เรามองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคนพูดภาษารักต่างกัน

จากนั้นเราก็สามารถครอบครองผู้อื่นได้ ถึงแม้ว่าสิ่งนี้มักจะต้องใช้กำลังมากกว่าก็ตาม และเราเข้าใจภาษาแม่ของเราดีขึ้นและพูดได้อย่างอิสระมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยิ่งเราเรียนภาษาต่างประเทศนานเท่าไหร่ เราก็ยิ่งดูง่ายขึ้นเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้จักภาษาต่างประเทศและเจอฝรั่งเราก็ลำบาก เพื่อแสดงความคิดที่ง่ายที่สุด เราโบกมือ วาดภาพ เล่นละครใบ้ทั้งหมด สื่อสารกันได้ แต่งุ่มง่าม! ความแตกต่างในภาษาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมมนุษย์ และถ้าเราต้องการไม่ให้พรมแดนขวางกั้นไม่ให้พวกเราเข้าใจกัน เราต้องเรียนภาษาต่างประเทศ

ก็เหมือนกันกับอารมณ์ ภาษาที่คุณแสดงความรักอาจแตกต่างไปจากภาษาของคู่สมรส เช่น ภาษาอังกฤษหรือภาษาจีน มันไม่มีประโยชน์ที่จะประกาศความรักของคุณเป็นภาษาอังกฤษถ้าเขาเข้าใจภาษาจีนเท่านั้น คุณจะไม่มีวันเรียนรู้ที่จะรักกัน กับภรรยาคนที่สาม เพื่อนของฉันพยายามพูดภาษาของ “ถ้อยคำให้กำลังใจ”: “ฉันบอกว่าเธอสวยแค่ไหน รักเธอแค่ไหน ภูมิใจในตัวเธอแค่ไหน” เขาแสดงความรักและจริงใจ แต่เธอไม่รู้ภาษานี้ บางทีเธออาจมองหาสัญญาณแห่งความรักในพฤติกรรมของเขาและไม่เห็นมัน แค่จริงใจไม่พอ ในความรัก คุณต้องอธิบายตัวเองในภาษาของคนที่คุณรัก

ฉันทำงานกับคู่รักมายี่สิบปีแล้ว และนี่คือสิ่งที่ฉันได้ตระหนัก: มีภาษารักหลักห้าภาษา—ห้าวิธีที่ผู้คนแสดงความรัก จากมุมมองทางภาษาศาสตร์ ภาษาใด ๆ สามารถมีภาษาถิ่นได้ พวกเขาสามารถเป็นภาษาแห่งความรัก จึงมีบทความที่มีหัวข้อดังนี้: "10 วิธีในการแสดงคู่สมรสของคุณว่าคุณรักเธอ", "20 วิธีที่จะรักษาสามีของคุณที่บ้าน" หรือ "365 การแสดงออกถึงความรักในชีวิตสมรส" ในความคิดของฉัน มีเพียงห้าภาษาหลัก และอย่างอื่นเป็นภาษาถิ่น วิธีที่คุณประกาศความรักขึ้นอยู่กับจินตนาการของคุณเท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำเช่นนี้ในภาษาของเพื่อนของคุณ

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น บางคนมีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ ในขณะที่บางคนก็เพียงพอแล้ว บางคนรู้สึกไม่ปลอดภัย บางคนรู้สึกปลอดภัยอยู่เสมอ บางคนในวัยเด็กรู้สึกว่าพวกเขารักและชื่นชมคนอื่น ๆ เติบโตขึ้น

ต่างคนต่างชอบการแสดงความสนใจและความรักที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทุกคนมีความเข้าใจของตนเองว่าต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างไร นี่เป็นภาษาแม่ประเภทหนึ่งซึ่งไม่ตรงกับภาษาแม่ของคู่สนทนาเสมอไป

สำหรับบางคน การแสดงความรักที่แท้จริง คือการดูแลและช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง สำหรับบางคน เป็นสัญญาณของความสนใจในรูปแบบของการเซอร์ไพรส์ ของขวัญ และดอกไม้ สำหรับบางคน ทั้งหมดนี้ดูเหมือนไม่จำเป็นหากคู่หูไม่อยู่ด้วย

มันไม่มีประโยชน์ที่จะประกาศความรักกับใครสักคนในภาษาหนึ่งถ้าคู่สนทนาของคุณเข้าใจในอีกภาษาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากของคุณ

เพื่อให้ได้ยินและเข้าใจ คุณต้องพูดภาษาเดียวกันกับคู่ของคุณ

แต่ถ้าคุณอยากได้ดอกไม้ ของขวัญ คำชม แต่ชายหนุ่มไม่เข้าใจเรื่องนี้ล่ะ? เป็นไปได้ไหมที่จะเรียนรู้ภาษาของคู่ของคุณ?

5 ภาษารัก

ในการค้นหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ ฉันสะดุดกับหนังสือ The Five Love Languages ของ Gary Chapman

แชปแมนผสมพันธุ์แนวคิดของการตกหลุมรักและ ตกหลุมรัก - อารมณ์แปรปรวนชั่วคราวที่เข้ามาในชีวิตอย่างไม่คาดคิดและจากไปอย่างกะทันหัน ความรัก - คือทางเลือก การกระทำตามเจตจำนงที่ต้องมีวินัยและตระหนักถึงความจำเป็นในการเติบโต คุณพยายามเพื่อคนอื่น และถ้าคุณประสบความสำเร็จ แสดงว่าคุณเองก็ดีใจที่คุณรักจริง

การเลือกอย่างมีสตินั้นตรงกันข้ามกับความรู้สึกสบายในการตกหลุมรัก รักกันได้แม้ความรู้สึกจะหายไป คำถามคือต้องเลือกให้ถูกต้องเพื่อรักและเคารพผลประโยชน์ของคนรัก ในกรณีนี้ สิ่งสำคัญคือต้อง “พูดกับคู่ของคุณในภาษาของเขา

1. คำพูดให้กำลังใจ

ถ้อยคำให้กำลังใจ - หนึ่งในห้าภาษาหลัก มีผู้ที่มีความสำคัญมากที่จะต้องชื่นชมและยกย่องในเวลา เมื่อมีคนเหล่านี้ชื่นชม พวกเขารู้สึกขอบคุณและพร้อมสำหรับการหาประโยชน์และการร้องขอใดๆ ตัวอย่างเช่น เพื่อปลูกฝังความมั่นใจให้กับคู่ของคุณ คุณเพียงแค่ต้องยกย่องเขาอีกครั้ง

การสรรเสริญและการสนับสนุนช่วยให้คู่ของคุณรู้สึกถึงความสำคัญ

พวกเขาทำให้คุณใกล้ชิดกันมากขึ้น รักษาบาดแผล และช่วยให้คุณทั้งคู่บรรลุบางสิ่งในชีวิต คำพูดที่ถูกต้องจะมอบความมุ่งมั่นและเตรียมคุณให้พร้อมสำหรับชัยชนะ

มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะสามารถชื่นชมไม่เพียง แต่ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ แต่ยังต้องเชื่อในความสามารถของคนที่คุณรักด้วย พูดถึงจุดแข็งไม่ใช่จุดอ่อน จากนั้นภูเขาจะเคลื่อนตัวเพื่อคุณ

2. เวลา

สำหรับคนที่พูดภาษาของเวลา สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้เวลาร่วมกัน การอยู่ด้วยกันหมายถึงการเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แค่การอยู่ใกล้ เมื่อคุณใช้เวลาร่วมกัน คุณควรให้ความสนใจกับคู่ของคุณอย่างเต็มที่ พูดคุย เน้นที่คู่สนทนา และอย่าสร้างภาพลวงตาของการใช้เวลาร่วมกัน

บ่อยครั้งที่คนเข้าใจผิดความต้องการของคู่ของพวกเขา หากภาษาของคู่ของคุณคือ 'เวลา' อย่ารีบหาทางแก้ไขปัญหาของเขา คุณต้องสามารถแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจว่าเพื่อนของคุณลำบากแค่ไหนและดูถูกเพราะเขาต้องการความเข้าใจ จำเป็นต้องฟัง เอาใจใส่ พยายามเข้าใจความคิด ความรู้สึก และความปรารถนาของผู้อื่น

บางครั้งการเรียนรู้ที่จะฟังนั้นยากพอๆ กับการเรียนภาษาต่างประเทศ แต่การจะเข้าใจคู่ครองต้องทำสิ่งนี้ พยายามที่จะไม่แนะนำ แต่ให้ความเห็นอกเห็นใจ พยายามทำความเข้าใจ ไม่ใช่เสนอวิธีแก้ปัญหา ถามคำถามเพิ่มเติมและพยายามให้ความสำคัญกับบุคคลมากกว่าปัญหา

3. ของขวัญ

สำหรับหลาย ๆ คน ความรักและการให้เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้น สำหรับบางคน สัญลักษณ์แห่งความรักที่มองเห็นได้ จึงมีอยู่ใน . สัญลักษณ์มีคุณค่าทางอารมณ์ ในขณะเดียวกันราคาของของขวัญก็ไม่สำคัญเพราะสิ่งสำคัญคือความสนใจ คุณกำลังมองหาของขวัญ ดังนั้น คุณคิดถึงคนๆ หนึ่งและใช้เวลากับมัน

สำหรับคนที่พูดภาษาของของกำนัลราคาของพวกเขาไม่แยแส ในขณะเดียวกัน ภาษาของของขวัญ - ก็เป็นภาษาที่ง่ายที่สุด คุณสามารถซื้อสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือทำอะไรด้วยมือของคุณเอง แม้แต่การปรากฏตัวของคุณก็เป็นของขวัญได้ ถ้าคุณรู้สึกว่านี่คือความสนใจที่คุณต้องการ ให้พูดออกมาดังๆ บางทีคู่ของคุณอาจไม่เข้าใจว่ามันสำคัญกับคุณเลย

4. ช่วยเหลือ

หากดูเหมือนว่าคู่ของคุณไม่ได้ช่วยเหลือคุณ และคุณเบื่อที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ภาษาของคุณก็ช่วยได้ การที่คนประเภทนี้จะช่วย - คือการทำเพื่อคนอื่น ความช่วยเหลืออาจแตกต่างกัน: จัดการกับรถ รับจากที่ทำงาน ทำความสะอาดอพาร์ตเมนต์ หรือพาสุนัขไปเดินเล่น เมื่อช่วยคู่ครอง คุณพยายามทำให้เขาพอใจด้วยการแสดงความรักของคุณ ความช่วยเหลือต้องใช้เวลาและความพยายาม

หากการที่คนรักของคุณช่วยในเรื่องที่ทำให้คุณมีปัญหานั้นสำคัญกับคุณจริง ๆ และเขาไม่เข้าใจก็ให้ถาม ควรขอความช่วยเหลือเท่านั้น ไม่ได้สั่ง และคุณไม่จำเป็นต้องโกรธเคืองหากพวกเขาไม่ช่วยคุณโดยปริยาย บางทีเพื่อนของคุณอาจมีความเข้าใจโลกที่แตกต่างกัน

5. แตะ

สำหรับบางคน วิธีเดียวที่จะสัมผัสถึงความรักคือ - สัมผัส มันสำคัญมากสำหรับคนเหล่านี้ที่จะจับมือพวกเขาต้องกอดและสัมผัสอย่างต่อเนื่อง ตัวรับสัมผัสสำหรับคนเหล่านี้มีความเด็ดขาด แต่ระวัง: ไม่ใช่ทุกอย่างที่คุณชอบอาจจะชอบโดยคู่ของคุณ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะถามเขาเกี่ยวกับความปรารถนา

เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนเหล่านี้ที่จะรู้สึกถึงความใกล้ชิดทางร่างกายของบุคคล หากคู่ของคุณมาจากกลุ่มนี้ สิ่งสำคัญที่คุณต้องทำในยามยากคือการอยู่ที่นั่น บุคคลจะรู้สึกสบายใจในอ้อมแขนของคุณมากกว่าคำพูดสนับสนุนใดๆ

วิธีทำความเข้าใจภาษาที่คุณพูด

เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกรัก? หากคุณตอบไม่ได้ คุณก็ข้ามไปได้ คุณคิดถึงอะไรมากที่สุดในความสัมพันธ์? อะไรที่ทำให้คุณเจ็บและเจ็บที่สุด? หากการวิจารณ์และการประณามคนที่คุณรักเจ็บปวดที่สุด ภาษาของคุณก็คือคำพูดที่ให้กำลังใจ หากคุณอารมณ์เสียที่ไม่มีดอกไม้ที่บ้านและเรื่องเซอร์ไพรส์ที่หาได้ยาก ภาษาของคุณคือ "ของขวัญ" ถ้ามันขัดใจที่ชายหนุ่มมักจะทำงาน และคุณใช้เวลาร่วมกันน้อย - เวลา

คิดว่าตัวเองแสดงความรักอย่างไร ทำอะไรในความสัมพันธ์ อาจเป็นไปได้ว่าคุณต้องการได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกัน

และอย่าโกรธเคืองกับคำวิจารณ์ของคู่ของคุณ พยายามทำให้ถูกต้อง ช่วยกำหนดภาษาของคู่ครอง นี่คือวิธีการขอความรักของเขา

ทำไมคุณถึงต้องการสิ่งนี้

บางครั้งการมองโลกผ่านสายตาของบุคคลอื่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทุกคนมีความต้องการที่แตกต่างกันและก็ไม่เป็นไร บางครั้งเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่สำคัญสำหรับคนรักของคุณก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่แค่สำหรับคุณเท่านั้น จากนั้นจะสามารถสนับสนุนเขาได้ตามที่เขาต้องการ ให้สิ่งที่พวกเขาต้องการแก่ผู้คน ไม่ใช่คุณ

Caroline, Shelley และ Derek

คำแปลจัดทำขึ้นตามฉบับ:

G. แชปแมน

"ห้าภาษารัก"

สำนักพิมพ์นอร์ทฟิลด์,

ชิคาโก ปี 1995

คำพูดในพระคัมภีร์จะได้รับตามการแปล Synodal

ฉบับที่ 18

ความกตัญญู

ฉันรู้สึกขอบคุณผู้เชี่ยวชาญที่มีทฤษฎีที่ช่วยฉันในการทำงาน ในหมู่พวกเขามีจิตแพทย์ Ross Campbell, Judd ลูกชาย Swihart และ Scott Peck

บทที่ 1
เกิดอะไรขึ้นกับความรักหลังแต่งงาน?

- คุณทำงานอะไร?

“ฉันเป็นที่ปรึกษาการแต่งงาน ฉันสอนสัมมนา

ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถงีบหลับได้: "คุณกำลังพูดถึงอะไร"

- และชีวิตครอบครัวของคุณนานแค่ไหน?

- แล้วอะไรล่ะ ความรักหายไปทันทีหลังแต่งงาน?

คุณลองคุยกับเธอหรือยัง

ฉันไม่คิดว่าฉันเปลี่ยนไปตั้งแต่แต่งงาน ฉันยังรักเธอและพยายามทำให้เธอเห็นมัน

ฉันบอกว่าเธอสวยแค่ไหน ฉันรักเธอแค่ไหน ภูมิใจในตัวเธอแค่ไหน แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ฟันผุก็เริ่มขึ้น อย่างแรก เรื่องไร้สาระ: ฉันไม่ได้ทิ้งขยะ ฉันไม่ได้เก็บเสื้อผ้า จากนั้นเธอก็เปลี่ยนไปใช้ตัวละครของฉัน เธอบอกว่าฉันไว้ใจไม่ได้ ว่าฉันหลอกลวงเธอ เธอวิจารณ์ทุกอย่าง เมื่อฉันพบเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่น่าพึงพอใจที่สุดในโลก นี่คือสิ่งที่ดึงดูดฉัน เธอมีความสุขกับทุกสิ่งเสมอ ฉันวิเศษมาก เราแต่งงานกันแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าฉันทำทุกอย่างผิด บอกตามตรงฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็รำคาญ...และเลิกรักเธอ ใช่ และเธอก็เช่นกัน อยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีประโยชน์ แล้วเราก็เลิกกัน

คำถามที่เพื่อนบ้านของฉันบนเครื่องบินถามกำลังทรมานหลายคนในทุกวันนี้ ทั้งที่แต่งงานแล้วและหย่าร้าง บางคนหันไปหาเพื่อน บางคนหันไปหานักจิตวิทยา นักบวช บางคนใกล้ชิดกับตัวเอง บางครั้งพวกเขาตอบเราด้วยศัพท์เฉพาะมืออาชีพ ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจ บางครั้งพวกเขาพยายามปลอบโยนเราด้วยเรื่องตลก แน่นอน เรื่องตลกมีความจริงอยู่บ้าง แต่มันจะช่วยคุณได้เช่นเดียวกับที่แอสไพรินช่วยผู้ป่วยมะเร็ง

และเราต้องการมากจนความรักไม่ตายหลังจากแต่งงาน ความต้องการนี้อยู่ลึกในตัวเรา มีบทความเกี่ยวกับหัวข้อนี้ในนิตยสารเกือบทุกฉบับ ปัญหานี้มีการกล่าวถึงในรายการโทรทัศน์และวิทยุ

มีการเขียนหนังสือจำนวนมาก เพราะปัญหามันหนักหนาสาหัสจริงๆ

ดังนั้น ในการกำจัดของเรา - หนังสือ นิตยสาร ความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ แต่ทำไมมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ค้นพบเคล็ดลับของชีวิตครอบครัวที่มีความสุข เราเข้าสัมมนา ฟังคำแนะนำดีๆ แต่ทำไมเมื่อเรากลับถึงบ้านแล้วพบว่าเราตามไม่ทัน? เราอ่านบทความในนิตยสาร "101 วิธีในการแสดงคู่สมรสของคุณว่าคุณรักเขา" เราเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสองสามวิธีจากพวกเขา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเพื่อนของเราไม่ได้สังเกตอะไรเลย . ขอประกาศ 98 ที่เหลือไร้ค่าและดำรงอยู่เช่นเดิม

ในความรัก คุณต้องอธิบายตัวเองในภาษาของคนที่คุณรัก

ภาษาศาสตร์แยกความแตกต่างหลายภาษา: ญี่ปุ่น จีน สเปน อังกฤษ โปรตุเกส กรีก เยอรมัน ฝรั่งเศส และอื่น ๆ พวกเราส่วนใหญ่พูดภาษาของพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก เราเรียนรู้ภาษานั้น มันกลายเป็นภาษาหลัก ภาษาแม่ของเรา จากนั้นเราก็สามารถครอบครองผู้อื่นได้ ถึงแม้ว่าสิ่งนี้มักจะต้องใช้กำลังมากกว่าก็ตาม และเราเข้าใจภาษาแม่ของเราดีขึ้นและพูดได้อย่างอิสระมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยิ่งเราเรียนภาษาต่างประเทศนานเท่าไหร่ เราก็ยิ่งดูง่ายขึ้นเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้จักภาษาต่างประเทศและเจอฝรั่งเราก็ลำบาก เพื่อแสดงความคิดที่ง่ายที่สุด เราโบกมือ วาดภาพ เล่นละครใบ้ทั้งหมด สื่อสารกันได้ แต่งุ่มง่าม! ความแตกต่างในภาษาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมมนุษย์ และถ้าเราต้องการไม่ให้พรมแดนขวางกั้นไม่ให้พวกเราเข้าใจกัน เราต้องเรียนภาษาต่างประเทศ

ฉันทำงานกับคู่รักมายี่สิบปีแล้ว และนี่คือสิ่งที่ฉันได้ตระหนัก: มีภาษารักหลักห้าภาษา—ห้าวิธีที่ผู้คนแสดงความรัก จากมุมมองทางภาษาศาสตร์ ภาษาใด ๆ สามารถมีภาษาถิ่นได้ พวกเขาสามารถเป็นภาษาแห่งความรัก จึงมีบทความที่มีหัวข้อดังนี้: "10 วิธีในการแสดงคู่สมรสของคุณว่าคุณรักเธอ", "20 วิธีที่จะรักษาสามีของคุณที่บ้าน" หรือ "365 การแสดงออกถึงความรักในชีวิตสมรส" ในความคิดของฉัน มีเพียงห้าภาษาหลัก และส่วนที่เหลือเป็นภาษาถิ่น วิธีที่คุณประกาศความรักขึ้นอยู่กับจินตนาการของคุณเท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำเช่นนี้ในภาษาของเพื่อนของคุณ

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น บางคนมีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ ในขณะที่บางคนก็เพียงพอแล้ว บางคนรู้สึกไม่ปลอดภัย บางคนรู้สึกปลอดภัยอยู่เสมอ บางคนในวัยเด็กรู้สึกว่าพวกเขาเป็นที่รักและชื่นชม บางคนเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีใครรัก ไม่ต้องการ และถูกประเมินต่ำไป

ใครก็ตามที่ถูกห้อมล้อมด้วยความห่วงใยตั้งแต่วัยเด็กได้เรียนรู้ภาษาแห่งความรักซึ่งพ่อแม่และเพื่อน ๆ ได้แสดงความรัก จะกลายเป็นครอบครัวของเขา ต่อมาเขาสามารถเชี่ยวชาญภาษาอื่นๆ ได้ แต่จะง่ายกว่าเสมอสำหรับเขาที่จะพูดภาษาแม่ของเขา สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักความรักของพ่อแม่ ภาษาแห่งความรักก็ก่อตัวขึ้นเช่นกัน แต่เขาไม่ถูกต้องทั้งหมด พวกเขาเป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้หนังสือที่มีคำศัพท์น้อย พวกเขาไม่ได้ลงทุนอะไรมากมายในพวกเขา แต่พวกเขาสามารถเอาชนะมันได้ พวกเขาแค่ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เด็กด้อยพัฒนาทางอารมณ์สามารถสัมผัสถึงความรักและเรียนรู้ที่จะแสดงออก แต่ยากสำหรับเขามากกว่าคนที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีความสุขและมีสุขภาพแข็งแรง

เป็นเรื่องยากมากที่สามีและภรรยาจะพูดภาษารักเดียวกัน ทุกคนใช้ของตัวเองและสงสัยว่าทำไมพวกเขาดูเหมือนจะไม่ได้ยินเขา และพวกเขาไม่เข้าใจซึ่งกันและกันเพราะพวกเขาพูดภาษาต่างกัน ปัญหาหลักอยู่ที่นี่ และฉันต้องการเสนอวิธีแก้ไข นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันเขียนหนังสือเกี่ยวกับความรักอีกเล่มหนึ่ง เมื่อเราเข้าใจภาษาที่เราพูดกับตัวเองและสิ่งที่เพื่อนพูด เราก็สามารถใช้คำแนะนำจากหนังสือและนิตยสารได้

ฉันคิดว่าความสามารถในการพูดภาษาแม่ของคู่สมรสเป็นกุญแจสำคัญสู่ชีวิตครอบครัวที่ยืนยาวอย่างมีความสุข ความรักไม่ได้หายไปทุกครั้งหลังการแต่งงาน แต่เพื่อที่จะรักษามันไว้ พวกเราเกือบทุกคนจะต้องทำงานและเรียนรู้ภาษารักอีกภาษาหนึ่ง เราไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้เมื่อเพื่อนของเราไม่เข้าใจ ถ้าเราอยากให้เขาสัมผัสถึงความรักของเรา เราต้องบอกมันด้วยภาษาของเขา

บางครั้งดูเหมือนว่าชีวิตของคู่รักสร้างขึ้นจากความเข้าใจผิดอย่างต่อเนื่อง และการสื่อสารของชายและหญิงคล้ายกับบทสนทนาของคนหูหนวก เหตุใดจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้รักสองคนที่จะพบความเข้าใจซึ่งกันและกัน? Gary Chapman ผู้แต่ง The Five Love Languages วิธีแสดงความรักต่อคู่หูของคุณ” เชื่อว่าประเด็นคือเราพูดภาษารักต่าง ๆ กับคนที่เรารัก

เขาระบุห้าวิธีที่ผู้คนแสดงความรักของพวกเขา ภาษารักทั้งห้า ภาษาที่เราพูดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ: การเลี้ยงดู รูปแบบครอบครัวของผู้ปกครอง ลักษณะนิสัย เรามักจะ "สืบทอด" ภาษาแห่งความรัก คุ้นเคยกับการแสดงออกและคาดหวังสูตรความรักที่เข้าใจได้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าคู่รักทำตามรหัสความรักที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงล่ะ? ถ้าเราอยากให้เขาสัมผัสถึงความรักของเรา เราต้องบอกเรื่องนี้เป็นภาษาที่เขาเข้าใจ

ภาษารัก #1: Words

ถ้อยคำสนับสนุนและสรรเสริญที่เรียบง่ายและจริงใจคือสิ่งที่พวกเราหลายคนขาด คนที่ไม่ได้รับคำชมมากพอในวัยเด็กมีความต้องการเร่งด่วนสำหรับคู่ของพวกเขา ไม่เพียงแต่ต้องชื่นชมและเคารพพวกเขาเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถพูดอย่างเปิดเผยด้วย นอกจากนี้ เราทุกคนต่างสงสัยในตัวเองเป็นระยะๆ ว่าเราจะประสบความสำเร็จหรือไม่ คำพูดให้กำลังใจจากคนที่รักสามารถให้กำลังใจและให้ความมั่นใจผลักดันให้เริ่มทำในสิ่งที่เราต้องการ แต่เรายังไม่มีความกล้า

ความรักพูดภาษาของคำที่ใจดี ความรักคือการสามารถขอการให้อภัยและพูดว่า "ฉันให้อภัย" ความรักไม่ต้องการ แต่ขอ “ฉันชอบพายอันเป็นซิกเนเจอร์ของคุณมาก ถ้าเพียงแต่คุณจะทำใหม่ได้” แทนที่จะเป็น “ภรรยาของทุกคนทำอาหาร แต่คุณลืมไปแล้วหรือยังไง” และจำไว้ว่าในคำพูด มันสำคัญมาก ไม่เพียงแต่อะไร แต่ยังรวมถึงวิธีที่เราพูดด้วย วลีเดียวกันสามารถพูดได้หลายวิธี

คำแนะนำ:หากภาษานี้เป็นภาษาต่างประเทศสำหรับคุณ และคุณไม่ได้พูดเก่งมาก แต่ดูเหมือนว่าคู่ของคุณพูดภาษานั้น ให้ใส่ใจกับสิ่งที่คนรอบข้างคุณกำลังพูด คุณได้ยินว่าเพื่อนของคุณชมภรรยาของเขาอย่างไร - จำไว้ว่าเจ้านายชื่นชมข้อดีของคุณและยกย่อง - ฟังว่าเขาใช้คำใดในเรื่องนี้ ตัวละครในภาพยนตร์สารภาพรักซึ่งกันและกัน - สิ่งนี้สามารถเข้าไปในกระปุกออมสินของคุณ พจนานุกรมสำหรับคนที่คุณรัก

โบนัส:เมื่อเราได้ยินคำพูดที่น่ายินดี ความสำเร็จของเราก็ได้รับการเฉลิมฉลอง เรารู้สึกขอบคุณ และเป็นไปได้มากว่าเราพร้อมที่จะทำสิ่งที่น่ายินดีตอบแทนพันธมิตร

ภาษารัก #2: เวลา

การใช้เวลากับใครสักคนคือการให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับพวกเขา เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด เมื่อเราบริจาคให้คนอื่น เราก็ให้ส่วนหนึ่งของชีวิตตัวเราเองด้วย การอยู่ด้วยกันและการใกล้ชิดเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน ร่วมกันคือการมองหน้ากัน พูดคุย ฟัง เข้าใจ การนั่งข้างคุณบนโซฟาและดูทีวีไม่เหมือนกับการพูดคุยตอนอาหารเช้าขณะอ่านหนังสือพิมพ์หรือฝังตัวเองในคอมพิวเตอร์ของคุณ

อะไรคือความแตกต่างพื้นฐานจากภาษาแรกของความรัก? ในภาษาของคำพูด สิ่งสำคัญคือการบอกคู่ชีวิตว่าเขามีค่าแค่ไหน ในภาษาของเวลา สิ่งสำคัญคือการฟัง เข้าใจ รู้สึกถึงเขา มันเกิดขึ้นเมื่อคู่ค้าแบ่งปันปัญหา ความคิด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างวัน สิ่งแรกที่เราทำคือการให้คำแนะนำเพื่อแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ชายที่มีแนวทางปฏิบัติในการใช้ชีวิต แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงต้องการหากภาษารักของเธอคือเวลา เธอต้องได้รับการรับฟัง เพื่อให้รู้สึกสำคัญและมีความหมาย เธอต้องการความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจ ความรู้สึกที่คุณรักเธอและเชื่อในตัวเธอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเธอ แล้วเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาของตัวเองได้อย่างง่ายดาย

คำแนะนำ:เมื่อคุณใช้เวลาร่วมกัน ให้มองตาคู่ของคุณโดยตรง สิ่งนี้จะสร้างการติดต่อและถ่ายทอดความรู้สึกที่คุณพร้อมจะได้ยินและเข้าใจจริงๆ อย่าฟุ้งซ่านกับธุรกิจและการโทรของคุณ พักไว้สักครู่หรือชำระล่วงหน้า เรียนรู้ที่จะไม่ขัดจังหวะ ให้สังเกตคู่ของคุณ การแสดงออกทางสีหน้า น้ำเสียง ท่าทาง วิธีนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น พยายามกับตัวเองและพยายามแบ่งปันงานอดิเรกของคนรัก คุณรักร็อค แต่คู่ของคุณชอบคลาสสิกหรือไม่? ไปคอนเสิร์ตกับเขาเถอะ ถึงแม้ว่าความทรงจำในวัยเด็กของโรงเรียนดนตรีจะทำให้คุณตะลึง คุณอาจไม่เคยเรียนรู้ที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างซิมโฟนีกับเพลงอาเรีย แต่คุณจะเรียนรู้ที่จะรักคู่ของคุณ

โบนัส:เมื่อคุณทำอะไรกับคนรัก คุณได้แบ่งปันความทรงจำ และในทางกลับกันพวกเขาสามารถกลายเป็นแหล่งความสุขที่ไม่สิ้นสุดและช่วยเสริมสร้างความสามัคคี

ภาษารัก #3: ของขวัญ

หากการรักหมายถึงการให้ของขวัญก็เหมาะสมที่สุดสำหรับคำจำกัดความนี้ ของขวัญเป็นศูนย์รวมของความรักที่มองเห็นได้ บางทีภาษานี้เป็นภาษาที่ง่ายที่สุด และการเรียนรู้ก็ไม่ยาก ของขวัญสามารถซื้อได้ด้วยมือของคุณเอง เป็นสิ่งสำคัญที่ในกระบวนการที่คุณคิดเกี่ยวกับบุคคลนั้นและเลือกสิ่งที่คุณคิดว่าสามารถทำให้เขาพอใจได้

คำแนะนำ:ต้นทุนวัสดุอยู่ไกลจากสิ่งสำคัญในภาษารักนี้ ของขวัญควรสอดคล้องกับระดับการเงินของคุณ แต่ไม่มากไปกว่านี้ นอกจากนี้คุณสามารถทำของขวัญที่น่าประทับใจได้ด้วยมือของคุณเอง หากคุณไม่รู้จะให้อะไรกับคนที่คุณรักเลย คุณสามารถขอคำแนะนำจากเพื่อนหรือญาติของเขาได้ และไม่มีอะไรน่าละอายในเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่คุณต้องการคือการทำสิ่งที่ดี แสดงความรักของคุณในแบบนี้ ในแบบที่เข้าใจได้

โบนัส:ของขวัญคือสิ่งที่บุคคลมีอย่างน้อยชั่วขณะหนึ่ง ของขวัญคือความคิดหรือความรู้สึกที่เป็นตัวเป็นตนของคุณที่จะมีคนคิดถึงเป็นเวลานาน: "เธอจำฉันได้" หรือ "เขาคิดถึงฉันเมื่อเขาเลือกของขวัญนี้" เมื่อมองดูของขวัญชิ้นนี้หรือถือไว้ คู่ของคุณจะจดจำคุณด้วยความกตัญญูและความรัก ดังนั้นของขวัญบูมเมอแรงที่คุณทำจะคืนความรู้สึกของคุณให้กับคุณ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับพวกเขาด้วยความกตัญญูจากคู่ของคุณ

ภาษารัก #4: Help

การช่วยเหลือคือการทำอะไรเพื่อคนอื่น แสดงความห่วงใยในการกระทำ ภรรยาทำอาหารเย็น ทำความสะอาดบ้าน สามีซื้อของชำ และช่วยรถของภรรยาเมื่อเกิดปัญหา นี่คือการแลกเปลี่ยนที่อาจทำให้สหภาพแข็งแกร่งขึ้น ความช่วยเหลือต้องใช้เวลาและความพยายาม หากคุณยินดีที่จะช่วยเหลือคู่ของคุณ แสดงว่าคุณกำลังแสดงความรัก

คำแนะนำ:หากคุณรู้สึกว่าคู่ของคุณหงุดหงิดตลอดเวลา บ่นเกี่ยวกับคุณ และภาษารักของเขาอาจช่วยได้ ให้ขอให้เขาสร้างรายการสิ่งที่ต้องทำสี่ประเด็นที่เขาต้องการได้รับจากคุณ ตามกฎแล้วสิ่งของเหล่านี้ค่อนข้างง่าย: ทำเตียง รักษาถุงเท้าให้สะอาด ล้างรถ หรือบางครั้งล้างจาน พยายามทำตามประเด็นเหล่านี้เป็นเวลาสองเดือน โดยจำไว้ว่าคุณกำลังทำสิ่งนี้ด้วยความรักที่มีต่อเพื่อนของคุณ และเชื่อฉันเถอะว่าผลลัพธ์จะตามมาในไม่ช้า

โบนัส:แม้ว่าภาษาแห่งความช่วยเหลือจะไม่ใช่ภาษารักของคุณ แต่ความเหนื่อยล้าจากการทำงานและชีวิตประจำวันอาจคุ้นเคยสำหรับคุณ หากคู่ของคุณพูดภาษานี้ตรงๆ และคุณก็เชี่ยวชาญได้เช่นกัน ในช่วงเวลานั้นเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยหน่ายและหมดแรง คุณจะพบว่ามีผู้ช่วยที่อ่อนไหวที่สุดอยู่ข้างๆ คุณ ซึ่งจะตอบแทนคุณด้วยการแลกเหรียญแบบเดียวกัน ในส่วนของภาระผูกพันของคุณ

ภาษารัก #5: Touch

คุณสามารถแสดงความรู้สึกของคุณได้หลากหลายระดับผ่านการสัมผัส ตั้งแต่ความอ่อนโยน ความเอาใจใส่ ความเสน่หา ไปจนถึงความปรารถนาอันแรงกล้า และสำหรับบางคน นี่เป็นวิธีเดียวที่จะรู้สึกถึงความรัก ตัวรับสัมผัสจะอยู่ทั่วร่างกาย ซึ่งทำให้ภาษานี้มีความแตกต่างและความเป็นไปได้มากมาย: การสัมผัสที่อ่อนโยนใดๆ สามารถสื่อถึงความรักได้ ในขณะที่แม้แต่ความหยาบคายหรือความประมาทเพียงเล็กน้อยก็สามารถตีความได้ว่าเป็นการดูถูกที่ลึกที่สุด เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ที่พูดภาษานี้เพื่อจับมือคู่ครอง รู้สึกกอด พวกเขากลัวการจูบ พวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องเพศเป็นพิเศษ และเริ่มสงสัยว่าพวกเขาได้รับความรักหรือไม่หากไม่ได้รับ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าหากคุณสนใจด้านความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ภาษารักของคุณก็สัมผัสได้ ภาษาแห่งความรักนี้กว้างกว่าและสมบูรณ์กว่ามาก

คำแนะนำ:วิญญาณของเราอาศัยอยู่ในร่างกายของเรา เมื่อคุณสัมผัสร่างกายของคู่ของคุณ คุณจะสัมผัสจิตวิญญาณของเขาด้วย ไม่มีคนสองคนเหมือนกัน และสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีอาจไม่ถูกใจคนรักของคุณเลย ฟังเขา สำรวจร่างกายของเขา ปฏิบัติต่อเขาด้วยความอ่อนโยนและให้เกียรติ จากนั้นนี่อาจเป็นกระบวนการที่น่าตื่นเต้นสำหรับคุณทั้งคู่ อย่าจำกัดตัวเองให้มีเซ็กส์และเล่นหน้า การสัมผัสเพียงชั่วครู่ตลอดทั้งวันมีบทบาทอย่างมากหากคู่ของคุณพูดภาษาที่สัมผัสได้ วางมือบนไหล่ของคุณเมื่อคุณนำกาแฟมาหนึ่งถ้วย กอดเอวของคุณเมื่อผ่านไป จูบเพื่อนของคุณเมื่อคุณเข้าไปในรถ - แล้วเขาจะรู้สึกเป็นที่รักอย่างแน่นอน

โบนัส:เราควรพูดถึงโบนัสในการอุทิศเวลาและความสนใจให้กับชีวิตที่ใกล้ชิดของคู่ค้าหรือไม่?

วิธีรับรู้ภาษารัก...

...ของฉัน

สำหรับบางคน การดูชื่อคร่าวๆ ก็เพียงพอแล้วเพื่อให้เข้าใจว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา เช่น เวลาร่วมหรือการสัมผัส แต่บ่อยครั้งที่แม้แต่การจดจำภาษาของคุณเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เคล็ดลับต่อไปนี้จะช่วยให้คุณได้ยินตัวเองได้ดีขึ้น:

1. หากรายการที่เสนอไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนแก่คุณ ให้ลองแยกจากกันสักครู่ จำสิ่งที่มักจะทำร้ายคุณมากที่สุดในความสัมพันธ์กับคนที่คุณรัก? หากคำวิจารณ์ของคู่รักทำให้คุณเจ็บปวดมาก ภาษาแม่ของคุณอาจเป็นคำพูด หากคุณท้อแท้เพราะคู่ของคุณ เมื่อเขากลับมาจากทำงาน ทานอาหารเย็น ทำงานบ้าน ถามคุณเกี่ยวกับวันของคุณ แต่เขาไม่เคยกอดคุณและผล็อยหลับไป หันไปที่กำแพง โดยไม่แม้แต่จะจูบคุณ คุณควรจะ ดูภาษาสัมผัส หากคุณไม่พอใจกับดอกไม้และของขวัญที่หายาก ภาษาของของขวัญก็น่าจะอยู่ใกล้คุณ และอื่นๆ.

2. อีกวิธีในการจดจำภาษาของคุณคือการจดจำว่าคุณมักจะแสดงความรักต่อคู่ของคุณอย่างไร คุณทำอะไรเพื่อสิ่งนี้คุณพูด? คุณกำลังวางแผนเวลาว่างและเลือกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันในช่วงสุดสัปดาห์หรือไม่? ชื่นชมคู่ของคุณเพื่อที่แม้เพื่อนของคุณจะไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพื่อนของคุณดีที่สุดจริงๆ? คุณอาจคาดหวังผลตอบแทนเช่นเดียวกัน

3. หากคุณไม่มีคนที่คุณรักในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ภาษารักแต่อย่างใด ไม่ช้าก็เร็ว คุณจะพบกับคนที่คุณชอบ และตอนนี้คุณสามารถเริ่มเตรียมการสำหรับการประชุมนี้ โดยศึกษาตัวเองและจินตนาการว่าภาษาที่คนอื่นพูดได้ ในกรณีนี้ คุณอาจพบว่าเป็นการยากที่จะจำสิ่งที่ทำร้ายคุณในความสัมพันธ์หรือวิธีแสดงความรักของคุณ จากนั้นใช้จินตนาการของคุณก็เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญไม่แพ้กัน ลองจินตนาการถึงคู่รักในอุดมคติของคุณ เขาเป็นอะไร? เขาทำอะไรให้คุณรู้สึกถึงความรักของเขา? เขากอดคุณ มีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูก ให้คำชมหรือของขวัญกับคุณหรือไม่? ทั้งหมดนี้จะช่วยคุณค้นหากุญแจสู่ภาษาของคุณ

...และพันธมิตร

คุณสามารถเรียนรู้ภาษาโดยใช้วิธีการที่อธิบายไว้ข้างต้น คุณสามารถถามคนที่คุณรักและถามคำถามโดยตรงเกี่ยวกับสิ่งที่เขาคาดหวังและต้องการจากความสัมพันธ์และจากคุณ เคล็ดลับอื่น: ฟังคำกล่าวอ้างของเขา การวิจารณ์เป็นวิธีหนึ่งในการประกาศความรักของคุณ แม้ว่าจะไม่ได้ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็ตาม ฟังสิ่งที่คู่ของคุณวิจารณ์คุณบ่อยที่สุด

คุณไม่เคยให้ดอกไม้ฉันเลย! “ ฉันต้องการมาที่บ้านที่สะอาดและได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทำไมคุณไม่ทำเช่นนี้”, “ คุณย้ายจากฉันไปแล้ว - คุณไม่จูบไม่กอด ”

การวิพากษ์วิจารณ์หากไม่ได้นำมาเป็นการส่วนตัวเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่า คุณจะเชื่อมั่นในสิ่งนี้ หากคุณตั้งใจฟังคู่ของคุณอย่างระมัดระวังและเคารพแทนที่จะรู้สึกรำคาญและเรียกร้องซึ่งกันและกัน “คุณอารมณ์เสียมาก (ก) เพราะเราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ลองคิดดูว่าเราจะหาเวลาและไปกันที่ไหน? เมื่อใช้วิธีนี้ คุณจะเห็นว่าคำวิจารณ์ คำขอร้อง ความกตัญญู และความรักของคู่ของคุณจะไม่ปรากฏแทนที่

Gary Champen
ห้าภาษารัก
แปลโดย น. บูดินา
Gary Champen, PhD, ผลงาน
กับคู่แต่งงานจัดสัมมนา
ในเรื่องครอบครัวและการแต่งงาน
เขาเป็นผู้เขียนหนังสือยอดนิยมหลายเล่มในหัวข้อนี้
วิธีแสดงความรักต่อเพื่อนของคุณ?
คุณและคู่สมรสของคุณเข้ากันได้หรือไม่?
ความรักสามารถแสดงออกได้หลายวิธี Dr. Gary Champen กล่าวว่าภาษารักมีห้าภาษา:
คำพูดให้กำลังใจ - เวลา - ของขวัญ - ช่วยเหลือ - สัมผัส
คุณพยายามแสดงให้คู่สมรสเห็นว่าคุณรักเขา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สังเกตอะไรเลย บางทีคุณอาจพูดภาษาอื่น? บางทีสามีของคุณอาจต้องการให้คุณเห็นอกเห็นใจเขา แต่ทำอาหารเย็นอร่อยๆ แทน บางทีภรรยาของคุณอาจต้องการใช้เวลากับคุณมากขึ้น แต่เธอไม่ต้องการช่อดอกไม้หรูหราที่คุณนำเสนอทุกเย็น
ในตอนท้ายของหนังสือ คุณจะพบคู่มือการสนทนาเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งที่คุณอ่านได้ดีขึ้น ก่อนที่คุณจะสังเกตเห็น คุณจะได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจภาษาของคนอื่น แสดงความรักต่อเขา และในไม่ช้าคุณจะรู้สึกว่าคุณเป็นที่รักเช่นกัน
Caroline, Shelley และ Derek
คำพูดจากพระคัมภีร์จะได้รับตามการแปลเถาวัลย์
เนื้อหา
ความกตัญญู
บทที่ 1 เกิดอะไรขึ้นกับความรักหลังแต่งงาน?
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4 ภาษารัก 1: ถ้อยคำแห่งกำลังใจ
บทที่ 5
บทที่ 6
บทที่ 7
บทที่ 8
บทที่ 9
บทที่ 10
บทที่ 11
บทที่ 12
บทที่ 13
บทที่ 14
คู่มือการสนทนาแบบกลุ่มและแบบครอบครัว
ความกตัญญู
เราเรียนรู้ความรักก่อนอื่นในครอบครัว ครอบครัวของฉันคือพ่อและแม่ของฉัน แซมและเกรซ ผู้ที่รักฉันมากว่าห้าสิบปี ถ้าไม่ใช่สำหรับพวกเขา บางทีตอนนี้ฉันจะไม่เขียนเกี่ยวกับความรัก แต่ตัวฉันเองกำลังมองหามันอย่างสิ้นหวัง ครอบครัวของฉันคือแคโรไลน์ ภรรยาของฉัน ซึ่งเราอาศัยอยู่ด้วยกันมาสามสิบปีแล้ว ถ้าผู้หญิงทุกคนรู้จักความรักแบบนั้น สามีก็จะไม่มองคนอื่น ลูกของเรา เชลลี่และดีเร็ก ออกจากรังพ่อแม่ไปแล้ว พวกเขามีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ฉันรู้ว่าพวกเขารักฉัน ฉันมีความสุขและขอบคุณพวกเขาทุกคน
ฉันรู้สึกขอบคุณผู้เชี่ยวชาญที่มีทฤษฎีที่ช่วยฉันในการทำงาน
ในหมู่พวกเขามีจิตแพทย์ Ross Campbell, Judson Swihart และ Scott Peck
และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ฉันอยากจะขอบคุณผู้คนที่ฉันพบในช่วงยี่สิบปีที่ทำงานและผู้ที่แบ่งปันกับฉันอย่างใกล้ชิดที่สุด ถ้าไม่มีพวกเขา หนังสือเล่มนี้ก็ไม่มีอยู่จริง
บทที่ 1
จะเกิดอะไรขึ้นกับความรักหลังแต่งงาน?
ที่ความสูง 30,000 ฟุต ระหว่างบัฟฟาโลกับดัลลัส เขาวางนิตยสารลงแล้วหันมาถามฉันว่า:
- คุณทำงานอะไร?
- ฉันเป็นที่ปรึกษาการแต่งงาน ฉันเป็นผู้นำการสัมมนา
- ถ้าอย่างนั้นคุณอาจตอบฉันได้ อยากรู้มานานแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับความรักหลังแต่งงาน?
ฉันรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะงีบ: "คุณกำลังพูดถึงอะไร"
“ฉันแต่งงานมาแล้วสามครั้ง” เขากล่าว - และทุกครั้งก็เหมือนเดิม ทุกอย่างเรียบร้อยดี จนกว่าเราจะแต่งงานกัน ฉันรักเธอ เธอรักฉัน และดูเหมือนว่านี่คือรักแท้ และหลังวิวาห์...เหมือนจะระเหยไป ฉันไม่คิดว่าตัวเองโง่ ฉันประสบความสำเร็จในธุรกิจแล้ว แต่ฉันไม่เข้าใจสิ่งนี้
- และชีวิตครอบครัวของคุณนานแค่ไหน?
- การแต่งงานครั้งแรก - ประมาณสิบปี เราอาศัยอยู่กับภรรยาคนที่สองเป็นเวลาสามปี โดยครั้งสุดท้าย - เกือบหกปี
- แล้วอะไรล่ะ ความรักหายไปทันทีหลังแต่งงาน?
- ครั้งที่สองทุกอย่างไปได้ดีตั้งแต่เริ่มแรก ฉันไม่รู้ว่าทำไม. ฉันคิดว่าเรารักกัน แต่แล้วในช่วงฮันนีมูน ฝันร้ายเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเราไม่เคยตื่นนอนเลย ก่อนแต่งงานฉันได้พบกับเธอเพียงหกเดือน มันเป็นความโรแมนติกที่รวดเร็ว สิ่งที่เหลือเชื่อ! แล้ว - สงคราม
ภรรยาคนแรกของฉันและฉันอาศัยอยู่ได้ดีสามหรือสี่ปี แล้วเด็กก็ปรากฏตัวขึ้น และเธอไม่ได้คิดอะไรอีกแล้ว ฉันแค่ไม่ได้สังเกต เหมือนเด็กคนนี้คือทั้งหมดที่เธอต้องการจากฉัน เขาเกิดและฉันไม่ต้องการอีกต่อไป
- คุณลองคุยกับเธอหรือยัง?
- แน่นอน. เธอตอบว่าฉันมันบ้า ฉันไม่เข้าใจว่าเธอมีลูกยากแค่ไหน เธอบอกว่าฉันควรช่วยเธอ ฉันพยายามแล้ว แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราแยกย้ายกันไปมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่นานก็เย็นลงอย่างสมบูรณ์ต่อกันและกัน ความรักก็หมดไป เราตระหนักว่าการแต่งงานล้มเหลว
ภรรยาคนที่สาม... ฉันคิดว่ามันคงไม่ต่างจากเธอ ฉันหย่าร้างมาสามปีและเราเดทกับพวกเขาสองคน ฉันคิดว่าเราทดสอบความรู้สึก สำหรับฉันดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่ฉันเข้าใจความหมายของการรักใครสักคน และเธอก็รักฉันจริง ๆ ฉันรู้สึก
ฉันไม่คิดว่าฉันเปลี่ยนไปตั้งแต่แต่งงาน ฉันยังรักเธอและพยายามทำให้เธอเห็นมัน ฉันบอกว่าเธอสวยแค่ไหน ฉันรักเธอแค่ไหน ภูมิใจในตัวเธอแค่ไหน แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ฟันผุก็เริ่มขึ้น อย่างแรก เรื่องไร้สาระ: ฉันไม่ได้ทิ้งขยะ ฉันไม่ได้เก็บเสื้อผ้า จากนั้นเธอก็เปลี่ยนไปใช้ตัวละครของฉัน เธอบอกว่าฉันไว้ใจไม่ได้ ว่าฉันหลอกลวงเธอ เธอวิจารณ์ทุกอย่าง เมื่อฉันพบเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่น่าพึงพอใจที่สุดในโลก นี่คือสิ่งที่ดึงดูดฉัน เธอมีความสุขกับทุกสิ่งเสมอ ฉันวิเศษมาก เราแต่งงานกันแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าฉันทำทุกอย่างผิด บอกตามตรงฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็รำคาญ...และเลิกรักเธอ ใช่ และเธอก็เช่นกัน อยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีประโยชน์ แล้วเราก็เลิกกัน
มันเป็นปีที่แล้ว ทำไมความรักถึงหายไปหลังจากแต่งงาน? เป็นแบบนั้นกับทุกคนหรือเปล่า? อาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงมีการหย่าร้างมากมาย? ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเกิดขึ้นกับฉันสามครั้งแล้ว และผู้ที่ไม่ได้หย่าร้างอยู่กับความว่างเปล่าในหัวใจของพวกเขาหรือพวกเขารักษาความรักไว้จริง ๆ หรือไม่? ถ้าใช่อย่างไร?
คำถามที่เพื่อนบ้านของฉันบนเครื่องบินถามกำลังทรมานหลายคนในทุกวันนี้ ทั้งที่แต่งงานแล้วและหย่าร้าง บางคนหันไปหาเพื่อน บางคนหันไปหานักจิตวิทยา นักบวช บางคนใกล้ชิดกับตัวเอง บางครั้งพวกเขาตอบเราด้วยศัพท์แสงมืออาชีพซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจ บางครั้งพวกเขาพยายามปลอบโยนเราด้วยเรื่องตลก แน่นอน เรื่องตลกมีความจริงอยู่บ้าง แต่มันจะช่วยให้คุณเหมือนกับแอสไพรินสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
และเราต้องการมากจนความรักไม่ตายหลังแต่งงาน ความต้องการนี้อยู่ลึกในตัวเรา มีบทความเกี่ยวกับหัวข้อนี้ในนิตยสารเกือบทุกฉบับ คำถามนี้ถูกกล่าวถึงในรายการโทรทัศน์และวิทยุ มีการเขียนหนังสือจำนวนมาก เพราะปัญหามันหนักหนาสาหัสจริงๆ
ดังนั้น ในการกำจัดของเรา - หนังสือ นิตยสาร ความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ แต่ทำไมมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ค้นพบเคล็ดลับของชีวิตครอบครัวที่มีความสุข เราเข้าสัมมนา ฟังคำแนะนำดีๆ แต่ทำไมเมื่อเรากลับถึงบ้านแล้วพบว่าเราตามไม่ทัน? เราอ่านบทความในนิตยสาร "101 วิธีในการแสดงคู่สมรสของคุณว่าคุณรักเขา" เราเลือกจากพวกเขาสองหรือสามคนที่เหมาะสมที่สุดตามที่ดูเหมือนกับเราและด้วยเหตุผลบางอย่างที่คู่ของเราไม่ได้สังเกตอะไรเลย ขอประกาศ 98 ที่เหลือไร้ค่าและดำรงอยู่เช่นเดิม
ในความรัก คุณต้องอธิบายตัวเองในภาษาของคนที่คุณรัก
จุดประสงค์ของหนังสือของฉันคือการตอบคำถามเหล่านี้ ไม่เลยเพราะหนังสือและบทความที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ช่วยไม่ได้ เรามองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคนพูดภาษารักต่างกัน
ภาษาศาสตร์แยกความแตกต่างหลายภาษา: ญี่ปุ่น จีน สเปน อังกฤษ โปรตุเกส กรีก เยอรมัน ฝรั่งเศส และอื่น ๆ พวกเราส่วนใหญ่พูดภาษาของพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก เราเรียนรู้ภาษานั้น มันกลายเป็นภาษาหลัก ภาษาแม่ของเรา
จากนั้นเราก็สามารถครอบครองผู้อื่นได้ ถึงแม้ว่าสิ่งนี้มักจะต้องใช้กำลังมากกว่าก็ตาม และเราเข้าใจภาษาแม่ของเราดีขึ้นและพูดได้อย่างอิสระมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยิ่งเราเรียนภาษาต่างประเทศนานเท่าไหร่ เราก็ยิ่งดูง่ายขึ้นเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้จักภาษาต่างประเทศและเจอฝรั่งเราก็ลำบาก เพื่อแสดงความคิดที่ง่ายที่สุด เราโบกมือ วาดภาพ เล่นละครใบ้ทั้งหมด สื่อสารกันได้ แต่งุ่มง่าม! ความแตกต่างในภาษาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมมนุษย์ และถ้าเราต้องการไม่ให้พรมแดนขวางกั้นไม่ให้พวกเราเข้าใจกัน เราต้องเรียนภาษาต่างประเทศ
ด้วยอารมณ์ - เหมือนกัน ภาษาที่คุณแสดงความรักอาจแตกต่างไปจากภาษาของคู่สมรส เช่น ภาษาอังกฤษหรือภาษาจีน มันไม่มีประโยชน์ที่จะประกาศความรักของคุณเป็นภาษาอังกฤษถ้าเขาเข้าใจภาษาจีนเท่านั้น คุณจะไม่มีวันเรียนรู้ที่จะรักกัน กับภรรยาคนที่สามของฉัน เพื่อนของฉันพยายามที่จะพูดภาษาของ "คำพูดให้กำลังใจ": "ฉันบอกว่าเธอสวยแค่ไหน รักเธอแค่ไหน ภูมิใจในตัวเธอแค่ไหน" เขาแสดงความรักและจริงใจ แต่เธอไม่รู้ภาษานี้ บางทีเธออาจมองหาสัญญาณแห่งความรักในพฤติกรรมของเขาและไม่เห็นมัน แค่จริงใจไม่พอ ในความรัก คุณต้องอธิบายตัวเองในภาษาของคนที่คุณรัก
ฉันทำงานกับคู่รักมายี่สิบปีแล้ว และนี่คือสิ่งที่ฉันคิดได้: มีภาษารักที่สำคัญห้าภาษา - ห้าวิธีที่ผู้คนแสดงความรัก จากมุมมองทางภาษาศาสตร์ ภาษาใด ๆ สามารถมีภาษาถิ่นได้ พวกเขาสามารถเป็นภาษาแห่งความรัก จึงมีบทความที่มีหัวข้อดังนี้: "10 วิธีในการแสดงคู่สมรสของคุณว่าคุณรักเธอ", "20 วิธีที่จะรักษาสามีของคุณที่บ้าน" หรือ "365 การแสดงออกถึงความรักในชีวิตสมรส" ในความคิดของฉัน มีเพียงห้าภาษาหลัก และอย่างอื่นเป็นภาษาถิ่น วิธีที่คุณประกาศความรักขึ้นอยู่กับจินตนาการของคุณเท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำเช่นนี้ในภาษาของเพื่อนของคุณ
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น บางคนมีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ ในขณะที่บางคนก็เพียงพอแล้ว บางคนรู้สึกไม่ปลอดภัย บางคนรู้สึกปลอดภัยอยู่เสมอ บางคนในวัยเด็กรู้สึกว่าพวกเขาเป็นที่รักและชื่นชม บางคนเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีใครรัก ไม่ต้องการ และถูกประเมินต่ำไป ใครก็ตามที่ถูกห้อมล้อมด้วยความห่วงใยตั้งแต่วัยเด็กได้เรียนรู้ภาษาแห่งความรักซึ่งพ่อแม่และเพื่อน ๆ ได้แสดงความรัก จะกลายเป็นครอบครัวของเขา ต่อมาเขาสามารถเชี่ยวชาญภาษาอื่นๆ ได้ แต่จะง่ายกว่าเสมอสำหรับเขาที่จะพูดภาษาแม่ของเขา
สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักความรักของพ่อแม่ ภาษาแห่งความรักก็ก่อตัวขึ้นเช่นกัน แต่เขาไม่ถูกต้องทั้งหมด พวกเขาเป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้หนังสือที่มีคำศัพท์น้อย พวกเขาไม่ได้ลงทุนอะไรมากมายในพวกเขา แต่พวกเขาสามารถเอาชนะมันได้ พวกเขาแค่ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เด็กด้อยพัฒนาทางอารมณ์สามารถสัมผัสถึงความรักและเรียนรู้ที่จะแสดงออก แต่ยากสำหรับเขามากกว่าคนที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีความสุขและมีสุขภาพแข็งแรง
เป็นเรื่องยากมากที่สามีและภรรยาจะพูดภาษารักเดียวกัน ทุกคนใช้ของตัวเองและสงสัยว่าทำไมพวกเขาดูเหมือนจะไม่ได้ยินเขา และพวกเขาไม่เข้าใจซึ่งกันและกันเพราะพวกเขาพูดภาษาต่างกัน ปัญหาหลักที่นี่และฉันต้องการเสนอวิธีแก้ไข นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันเขียนหนังสือเกี่ยวกับความรักอีกเล่มหนึ่ง เมื่อเราเข้าใจภาษาที่เราพูดกับตัวเองและสิ่งที่เพื่อนพูด เราก็สามารถใช้คำแนะนำจากหนังสือและนิตยสารได้
ฉันคิดว่าความสามารถในการพูดภาษาแม่ของคู่สมรสเป็นกุญแจสำคัญสู่ชีวิตครอบครัวที่ยืนยาวอย่างมีความสุข ความรักไม่ได้หายไปทุกครั้งหลังการแต่งงาน แต่เพื่อที่จะรักษามันไว้ พวกเราเกือบทุกคนจะต้องทำงานและเรียนรู้ภาษารักอีกภาษาหนึ่ง เราไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้เมื่อเพื่อนของเราไม่เข้าใจ ถ้าเราอยากให้เขาสัมผัสถึงความรักของเรา เราต้องบอกมันด้วยภาษาของเขา
บทที่ 2
ภาชนะแห่งความรักที่ว่างเปล่า
ในภาษาของเรา คำว่า "รัก" อาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และมีความหมายมากที่สุด นักคิดทางโลกและศาสนาต่างเห็นพ้องกันว่าความรักมีบทบาทสำคัญในชีวิต เราได้ยิน: "ความรักคือความรู้สึกที่สวยงามที่สุด", "ความรักครองโลก" เราพบคำนี้ในหนังสือ เพลง นิตยสาร ภาพยนตร์ คำสอนทางปรัชญาและศาสนาจำนวนมากให้ความสำคัญกับความรักเป็นอันดับแรก พระองค์เองทรงต้องการให้สาวกของพระองค์รักกัน
นักจิตวิทยากล่าวว่าความต้องการความรักคือความต้องการทางอารมณ์ขั้นพื้นฐานของบุคคล เพื่อเห็นแก่ความรัก เราพิชิตภูเขา ข้ามทะเล ข้ามทะเลทราย ต่อสู้กับความยากลำบากที่คาดไม่ถึง หากไม่มีสิ่งนี้ เราก็ไม่สามารถเอาชนะภูเขา ทะเล และทะเลทรายได้ และความยากลำบากดูเหมือนจะตามหลอกหลอนเรา อัครสาวกของคนต่างชาติ เปาโล กล่าวสรรเสริญความรักด้วยว่า ไม่ว่าคนๆ หนึ่งจะทำอะไร ทุกอย่างก็ว่างเปล่า เว้นแต่ความรักจะเคลื่อนไหว เขากล่าวว่าคุณสมบัติสามประการที่สำคัญที่สุดในท้ายที่สุดคือ "ศรัทธา ความหวัง ความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่กว่าคุณสมบัติเหล่านี้"
ความรักจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนเราเมื่อก่อนเป็นอย่างนี้ แต่คุณต้องยอมรับว่าเราใช้คำนี้บ่อยเกินไปและทุกครั้งที่เราใส่ความหมายต่างกัน เราพูดว่า: "ฉันรักไส้กรอก" จากนั้น: "ฉันรักแม่ของฉัน" เรามีกิจกรรมที่ชอบ ว่ายน้ำ เล่นสกี ล่าสัตว์ เรารักสิ่งต่าง ๆ : อาหาร บ้าน รถยนต์ เรารักสัตว์: สุนัข แมว แม้แต่หอยทาก เรารักธรรมชาติ ต้นไม้ หญ้า ดอกไม้ อากาศดี เรารักผู้คน: แม่ พ่อ ลูก ญาติ ภรรยา สามี เพื่อน เรารักรักตัวเอง
และราวกับว่าต้องการทำให้ทุกอย่างสับสนมากยิ่งขึ้น เราอธิบายแม้กระทั่งการกระทำด้วยความรัก "ฉันทำเพื่อความรัก" คุณสามารถพูดอะไรก็ได้ สามีไปที่อื่นและเรียกมันว่าความรัก นักบวชเรียกมันว่าบาป ผู้ติดสุราโยนเรื่องอื้อฉาวให้ภรรยาของเขาอีกครั้งและหลังจากนั้นเธอก็ทำความสะอาดจานที่หัก เธอเรียกมันว่าความรัก นักจิตวิทยาจะเรียกการเสพติด พ่อตามใจลูกในทุกสิ่งและเรียกมันว่าความรัก ครูจะพูดว่า: การเลี้ยงดูที่ขาดความรับผิดชอบ แล้วคนที่รักเขาทำอย่างไร?
เมื่อฉันเขียนหนังสือเล่มนี้ ฉันไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะจัดการกับความสับสนทั้งหมดนี้ ฉันต้องการพูดเกี่ยวกับความรักที่มีความสำคัญต่อสุขภาพจิตของเรา นักจิตวิทยาเด็กเชื่อว่าเพื่อให้เด็กเติบโตอย่างมั่นคงทางอารมณ์ ความต้องการทางอารมณ์ขั้นพื้นฐานของเขาจะต้องได้รับการตอบสนอง ในหมู่พวกเขาสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความต้องการความรักและความเสน่หา เด็กจำเป็นต้องรู้สึกจำเป็นและเป็นที่ต้องการ ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาจะกลายเป็นคนที่เต็มเปี่ยม หากปราศจากความรัก พวกเขาจะตกเป็นเหยื่อทางอารมณ์และสังคม
เราต้องมีคนใกล้ตัวที่รักอยู่ใกล้ๆ นี่คือสิ่งที่การแต่งงานมีไว้เพื่อ
ฉันชอบคำอุปมาเรื่องหนึ่งมาก: "เด็กทุกคนเป็น "เรือ" ที่ต้องเต็มไปด้วยความรัก เด็กกระหายความรัก และเมื่อเขารู้สึกได้เขาก็พัฒนาตามปกติ ส่วนใหญ่เด็กมักทำผิดเมื่อ "ภาชนะแห่งความรัก" เป็น ว่างเปล่า. นี่คือคำพูดของ ดร. รอส แคมป์เบลล์ จิตแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น
ฉันฟังเขาและนึกถึงพ่อแม่หลายร้อยคนที่บ่นกับฉันเกี่ยวกับ "ลูกที่ชั่วร้าย" ของพวกเขา หลายครั้งที่ฉันเห็นความว่างเปล่าในตัวเด็กนี้นำไปสู่อะไร เขาไม่รู้สึกรัก เขาต้องการมันและกำลังมองหามันอยู่ แค่ไม่ได้อยู่ที่นั่นและไม่ใช่แบบนั้น
ฉันจำแอชลีย์ เด็กหญิงอายุสิบสามปีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกามโรคได้ พ่อแม่ก็ตกใจ พวกเขาตำหนิแอชลีย์ พวกเขาดุโรงเรียนที่ลูกสาวของพวกเขาถูกสอนเรื่องเลวร้าย “แล้วเธอทำไปทำไม” พวกเขาถาม
ฉันคุยกับแอชลีย์ เธออายุหกขวบเมื่อพ่อแม่หย่าร้าง “สำหรับผม ดูเหมือนพ่อทิ้งเราไปเพราะพ่อไม่รักผม ตอนผมอายุ 10 ขวบ แม่ของผมแต่งงานแล้ว บางคนก็รักเธออีกครั้ง ไม่มีใครรักเราเลย และผมก็อยากได้มันมาก ผมเจอเขาที่โรงเรียน “เขาแก่กว่า แต่เขาสังเกตเห็นฉัน เหลือเชื่อ เขาใส่ใจมาก ฉันรู้สึกว่าเขารักฉันจริงๆ ฉันต้องการความรัก ไม่ใช่เซ็กส์”
เป็นเวลาหลายปี "เรือแห่งความรัก" ของเธอยังคงว่างเปล่า แม่และพ่อเลี้ยงดูแลให้แอชลีย์ได้รับอาหาร แต่งกาย และไม่ได้สังเกตว่าเธอมีความตึงเครียดทางอารมณ์อย่างไร พวกเขารักแอชลีย์และคิดว่าเธอเห็นมัน เลยกลายเป็นว่าพวกเขาพูดคนละภาษากัน อีกหน่อยก็คงจะช้าไป
ความรักไม่ได้มีไว้สำหรับเด็กเท่านั้น ความต้องการนี้ดำรงอยู่ในตัวเรา ทั้งเมื่อเราโตขึ้นและเมื่อเราเข้าสู่การแต่งงาน ตกหลุมรักเราพอใจเธอ แต่เพียงชั่วขณะหนึ่ง ความรักนั้นอยู่ได้ไม่นาน ค่อยว่ากันทีหลัง ความหลงหายไปและความต้องการความรักก็ตื่นขึ้นในตัวเรา นี่เป็นสมบัติของธรรมชาติของเรา ความปรารถนาทั้งหมดของเรามุ่งเป้าไปที่สิ่งนี้ เราตกหลุมรักเพราะเราต้องการความรัก เราจะต้องการมันตลอดชีวิต
ในการแต่งงาน เราต้องรู้สึกถึงความรักของคู่สมรส เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้ชายคนหนึ่งพูดกับฉันว่า: "บ้าน, รถยนต์, ชายหาด ... จะมีประโยชน์อะไรถ้าภรรยาของคุณไม่รักคุณ" คุณรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดจริงๆ? "เหนือสิ่งอื่นใด ฉันอยากให้ภรรยารักฉัน" สิ่งต่าง ๆ จะไม่แทนที่ความอบอุ่นของมนุษย์
เมื่อฉันได้ยินจากผู้หญิงคนหนึ่ง: "ทั้งวันสามีของฉันไม่สังเกตเห็นฉันและในตอนเย็นเขาลากฉันเข้านอน ฉันเกลียดมัน" เธอเกลียดการไม่มีเพศสัมพันธ์ เธอขอความรักอย่างสิ้นหวัง
บางอย่างในตัวเรากระหายความรักของคนอื่น ความเหงาเป็นอันตรายต่อจิตใจมนุษย์ นั่นคือเหตุผลที่อาชญากรกลัวการอยู่คนเดียว นี่คือการลงโทษที่รุนแรงที่สุด เราต้องมีคนใกล้ตัวที่รักอยู่ใกล้ๆ นี่คือสิ่งที่การแต่งงานมีไว้เพื่อ พระคัมภีร์เรียกสามีและภรรยาว่า "เนื้อเดียวกัน" เพราะชีวิตของพวกเขาเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป พันธสัญญาใหม่เรียกร้องให้สามีและภรรยารักกัน จากเพลโตถึงเพ็ค นักเขียนได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความรักในการแต่งงาน
ความรักเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะรักษามันไว้ หลายคู่ได้แบ่งปันความคับข้องใจที่เป็นความลับกับฉัน มีคนมาเมื่อพวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเก็บความเจ็บปวดนี้ไว้ในตัวอีกต่อไป อื่น ๆ - ตระหนักว่าพวกเขากำลังทำลายการแต่งงานด้วยมือของพวกเขาเอง บางคนก็รายงานว่าพวกเขาไม่ต้องการอยู่ด้วยกันอีกต่อไป ความฝันของ "ความสุขนิรันดร์" ชนกับความเป็นจริงที่โหดร้าย ได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "รักหมดลง ไม่เหลืออะไร เราเคยสนิทกัน แต่ตอนนี้ ... เราเข้ากันไม่ได้ เราไม่คู่ควร" เรื่องราวเหล่านี้พิสูจน์ว่าในผู้ใหญ่ เช่นเดียวกับในเด็ก มี "ภาชนะแห่งความรัก" ที่มองไม่เห็น
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกศรของตัวบ่งชี้ที่แสดงระดับความรักในภาชนะนี้แข็งตัวที่ศูนย์? จะเกิดอะไรขึ้นหากความแปลกแยก ความหยาบคาย การดูถูกกัน ความโกรธ เป็นผลจากสิ่งนี้? และถ้าเราจัดการเติม "เรือแห่งความรัก" ได้หรือไม่? บางทีมันอาจจะช่วยการแต่งงาน? บางทีนี่อาจสร้างบรรยากาศทางอารมณ์ที่สามีและภรรยาจะหารือเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกัน แก้ไขข้อขัดแย้ง? บางทีนี่อาจเป็นกุญแจสู่ชีวิตที่มีความสุขร่วมกัน?
เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ ข้าพเจ้าเดินทางมายี่สิบปี เมื่อได้เดินทางไปทั่วอเมริกา ฉันได้ค้นพบสิ่งที่ได้อธิบายไว้ในหนังสือเล่มนี้ ในซีแอตเทิลและไมอามี ผู้คนต่างแบ่งปันสิ่งที่อยู่ลึกสุดของพวกเขากับฉัน ตัวอย่างในหนังสือเล่มนี้นำมาจากชีวิตจริง ฉันเปลี่ยนชื่อและสถานที่เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ที่พูดกับฉันอย่างเปิดเผยเท่านั้น
ฉันพบว่าระดับความรักมีความสำคัญต่อการแต่งงานพอๆ กับระดับน้ำมันที่มีต่อรถยนต์ การดำเนินชีวิตครอบครัวเมื่อ "เรือแห่งความรัก" ว่างเปล่า อันตรายยิ่งกว่าการขับรถโดยไม่เติมน้ำมัน ฉันหวังว่าหนังสือของฉันจะช่วยรักษาชีวิตคู่นับพันและปรับปรุงบรรยากาศทางอารมณ์แม้ในครอบครัวที่เจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าความสัมพันธ์ของคุณจะเป็นอย่างไรในตอนนี้ มันอาจจะดีขึ้นได้
เตรียมตัวให้พร้อม: เมื่อคุณพูดภาษาแม่ของคู่สมรส เขาก็สามารถเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ คนเราประพฤติต่างกันเมื่อภาชนะแห่งความรักเต็ม
ก่อนไปต่อกันที่ส่วนหลัก เรามาพิจารณาปรากฏการณ์ที่สำคัญและซับซ้อนอีกอย่างหนึ่งกันก่อน นั่นคือการตกหลุมรัก
หมายเหตุ
*ใน. 13:35
**1 ก. 13:13
บทที่ 3
รัก
เราไม่ได้นัดหมาย เจนิซมาที่สำนักงานของฉันและถามเลขานุการว่าฉันจะให้เวลาเธอสักสองสามนาทีได้ไหม ฉันรู้จักเจนิสมาสิบแปดปีแล้ว เธออายุสามสิบหก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอมีนวนิยายที่จริงจังหลายเรื่อง หนึ่งกินเวลาหกปี อีกสามปี ... แต่มันไม่เคยมาถึงงานแต่งงาน บางครั้งเธอก็ปรึกษากับฉัน โดยธรรมชาติแล้ว Janice ได้รับการรวบรวมจัดระเบียบและเอาใจใส่เป็นอย่างดี โผล่มาแบบนี้ไม่ต้องโทรก็ไม่เหมือนเธอเลย ฉันตัดสินใจว่า: "คงจะเป็นปัญหา ฉันเลยลืมโทรไป" และเตรียมฟังเรื่องเศร้าจากเจนิซที่กำลังร้องไห้ แต่แล้วประตูก็เปิดออก และเธอก็ยิ้มแย้มแจ่มใส กระพือปีกเข้าไปในห้องทำงาน
สบายดีไหม เจนิส ฉันถาม.
- ดีที่สุดเท่าที่จะได้รับ. จะแต่งงาน.
- อย่างแท้จริง? ฉันไม่ได้ซ่อนความประหลาดใจของฉัน - เพื่อใคร? เมื่อไร?
- ในเดือนกันยายน. ชื่อของเขาคือเดวิด เฮลเลสปี
- มหัศจรรย์. และรู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว?
- ผ่านมาสามสัปดาห์แล้ว
ฉันรู้ ฉันรู้ว่ามันบ้า ฉันเองก็ไม่เชื่อ ฉันใช้เวลานานมากในการตัดสินใจ ทุกอย่างหยุดฉัน ฉันสงสัย ใช่ คุณเองจำได้ ดร.แชปแมน ทุกครั้งที่มีบางอย่างผิดปกติ ตอนนี้มันแตกต่างกัน เราจะสบายดีกับเดวิด เราแต่งงานกัน เราทั้งคู่รู้เรื่องนี้ทันทีที่เราพบกัน หนึ่งสัปดาห์ต่อมาเขาเสนอให้ฉัน ฉันรู้สึกว่ามันจะเป็นอย่างนั้น และฉันรู้ว่าฉันจะเห็นด้วย นี่เป็นครั้งแรกกับฉัน
เจนิซไม่สามารถนั่งนิ่งๆ หัวเราะได้ เธอพูดซ้ำ: "ใช่! ฉันบ้าไปแล้ว แต่ฉันมีความสุขมาก มีความสุขมาก!"
เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? เจนิสกำลังมีความรัก เธอคิดว่าเดวิดเก่งที่สุดในโลก เขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ เขาจะเป็นสามีที่สมบูรณ์แบบ ทั้งวันเธอคิดถึงแต่เขา ไม่สำคัญหรอกว่าเดวิดแต่งงานสองครั้ง มีลูกสามคน เขาเปลี่ยนงานสามครั้งในปีที่แล้ว! เจนิซมั่นใจว่าพวกเขาจะมีความสุขกับเดวิด เธอตกหลุมรัก
พวกเราส่วนใหญ่แต่งงานเพื่อความรัก เราเจอคนที่มีเสน่ห์ทั้งภายนอกและภายใน เหมือนเราช็อค หัวใจเต้นรัว เราอยากรู้จักกันมากขึ้น เราสามารถทานอาหารเย็นด้วยกัน สเต็กเนื้อหรือแฮมเบอร์เกอร์ ไม่ว่าคุณสามารถจ่ายอะไรได้ อาหารไม่ใช่สิ่งสำคัญ เรากำลังมองหาความรัก "จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความรู้สึกอบอุ่นและสั่นไหวนี้คือ" ความรู้สึกนั้น ""
บางครั้งในวันแรกหัวใจหยุดเต้น เราพบว่าดาวเทียมของเราไม่มีอะไรพิเศษ อาการสั่นได้หายไป เราไม่อยากกินแฮมเบอร์เกอร์ด้วยกันแล้ว แต่บางครั้งหลังจากกินแฮมเบอร์เกอร์ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้น เรากำลังมองหาการพบปะครั้งใหม่ และก่อนที่ความรู้สึกจะเต็มเปี่ยม เราพูดกับตัวเองว่า "ดูเหมือนว่าฉันจะตกหลุมรักแล้ว" ในท้ายที่สุด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นเช่นนั้น เราเปิดตัวเองให้คนอื่นโดยหวังว่าจะได้รับการตอบแทนซึ่งกันและกัน หากเราไม่ได้ยิน แสดงว่าเราใจเย็นลงหรือพยายามเพิ่มความพยายามให้ได้รับความรักเป็นสองเท่า และถ้าความรู้สึกตรงกัน เราก็เริ่มคิดถึงการแต่งงาน เพราะเชื่อว่าการตกหลุมรักเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดสำหรับการแต่งงานที่ยั่งยืน
ก่อนวิวาห์เรามองชีวิตครอบครัวเป็นสีชมพู ... เมื่อรักแล้วคิดอย่างอื่นก็ยาก
การตกหลุมรักอยู่ใกล้ความอิ่มเอิบใจ เราดูเหมือนจะหมกมุ่นอยู่กับ เราผล็อยหลับไปและตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดถึงที่รักของเรา เราฝันถึงการพบกัน ร่วมกันเราเป็นเหมือนสวรรค์ เราจับมือกันและดูเหมือนว่าหัวใจของเราจะเต้นพร้อมกัน ถ้าเราจากกันก็เพียงเพราะเรายังต้องเรียนและทำงาน เรากำลังคิดถึงการแต่งงานและความสุขที่รอเราอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าคู่รักที่เขาเลือกนั้นไร้ที่ติ ผู้ปกครองสามารถเห็นข้อบกพร่อง แต่มันไม่มีประโยชน์ที่จะชี้ให้พวกเขาเห็น - ลูกชาย เธอใช้เวลาห้าปีในคลินิกจิตเวช คิด!
- แม่! เพียงพอ! สามเดือนแล้วที่เธอออกจากโรงพยาบาล
เพื่อนอาจสังเกตเห็นข้อบกพร่อง แต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะเงียบ แต่ตัวเขาเองจะไม่ถาม ท้ายที่สุด เธอคือความสมบูรณ์แบบ ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร
ก่อนแต่งงานเราเห็นชีวิตครอบครัวเป็นสีชมพู:“ เราจะมีความสุขด้วยกัน ใช่ คนอื่นมีเรื่องอื้อฉาว แต่เรารักกัน แน่นอนเราไม่ไร้เดียงสาเราเข้าใจว่าจะมีข้อพิพาท แต่คุณทำได้ ทำสัมปทานแล้วทุกอย่างจะดีเอง” ยากที่จะคิดอย่างอื่นเมื่อคุณมีความรัก
เราเคยคิดว่าถ้าคุณตกหลุมรักจริง - มันคือชีวิต เราจะรู้สึกเหมือนกันเสมอเหมือนที่เราทำอยู่ตอนนี้ ไม่มีอะไรจะแยกเราออกจากกัน ความรักของเราแข็งแกร่งขึ้น เราต่างหลงใหลซึ่งกันและกัน นี่คือความรู้สึกที่วิเศษที่สุด หลายครอบครัวดูเหมือนจะสูญเสียมันไป มันจะไม่เกิดขึ้นกับเรา “บางทีพวกเขาอาจจะไม่ชอบกันก็ได้”
น่าเสียดายที่นี่เป็นภาพลวงตา เราไม่ได้รักกันตลอดไป นักจิตวิทยา โดโรธี เทนนอฟ สังเกตมานานแล้วว่าความสัมพันธ์พัฒนาด้วยความรักอย่างไร และได้ข้อสรุปว่าความหลงใหลในความรักมักกินเวลาเฉลี่ย 2 ปี หากคุณต้องซ่อนความรู้สึก - นานขึ้นอีกนิด แต่ในท้ายที่สุด เราทุกคนลงมาจากก้อนเมฆลงสู่พื้นดิน ลืมตาขึ้นและพบว่ามีสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาอยู่ใกล้ๆ เธอทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ และเขาแค่มองหาวิธีตีให้หนักขึ้น สิ่งเล็กๆ ที่เราไม่เคยสังเกตมาก่อนจะกลายเป็นภูเขา เราจำแม่ของเราและพูดว่า: "ฉันเป็นคนงี่เง่า!"
ยินดีต้อนรับสู่ชีวิตครอบครัวที่แท้จริง! ที่อ่างมีผมอุดตันอยู่ตลอดเวลา และกระจกก็ประดับด้วยสบู่ที่กระเด็นใส่ ซึ่งพวกเขาโต้แย้งว่าควรยกฝารองนั่งชักโครกขึ้นหรือไม่ ในโลกที่รองเท้ากระจัดกระจายอยู่ด้านหน้า ลิ้นชักไม่ปิด ที่ซึ่งเสื้อโค้ตไม่รู้จักไม้แขวนเสื้อ และถุงเท้าก็หายไป ในโลกนี้คุณสามารถทำร้ายได้ด้วยสายตาและคำพูด ที่นั่น คู่รักสามารถกลายเป็นศัตรูได้ และบ้านสามารถกลายเป็นสนามรบได้
แต่ความรู้สึกหายไปไหน? อนิจจาเราผิด เราถูกหลอกล่อตามทางเดิน ไม่น่าแปลกใจที่หลายคนสาปแช่งคนที่พวกเขาเคยรักมาก พวกเขาถูกหลอก พวกเขามีสิทธิที่จะขุ่นเคือง และมีความรู้สึกอะไรไหม?
ฉันคิดว่ามี มีการหลอกลวงด้วย แต่เขาอยู่ในอย่างอื่น
เราคิดผิด เมื่อพิจารณาถึงความรักนิรันดร์ หากเราคิดสักนิด เราจะเข้าใจสิ่งที่คุกคาม หากโลกนี้เป็นที่อาศัยของคู่รัก วิกฤตจะกลืนกินอุตสาหกรรม ธุรกิจ คริสตจักร การศึกษา สังคมโดยรวม ทำไม คนรักหมดความสนใจในทุกสิ่งยกเว้นเป้าหมายของความรัก นั่นคือเหตุผลที่เราเรียกความรักว่าเป็นความหลงใหล นศ.ที่หลงรักจนสอบไม่ผ่าน มันยากที่จะเรียนรู้เมื่อคุณมีความรัก สงครามปี 1812 ถูกกำหนดไว้สำหรับวันพรุ่งนี้หรือไม่? ใครต้องการมัน! สำหรับคนรักแล้ว ทุกอย่างดูไม่สำคัญ
ชายคนหนึ่งบอกฉันว่า:
- ดร.แชปแมน สิ่งต่างๆ แย่ลงในที่ทำงาน
- ทำไม?
- ฉันพบผู้หญิงคนหนึ่งตกหลุมรัก ฉันไม่สามารถมีสมาธิ ไม่มีอะไรออกมา ทั้งวันฉันคิดถึงแต่เธอ
ความอิ่มเอิบของการมีความรักทำให้เราเห็นภาพมายาของความสนิทสนมอย่างไม่น่าเชื่อ เรารู้สึกว่าเราเป็นของกันและกัน เราเชื่อว่าเราจะเอาชนะความยากลำบากทั้งหมด เพื่อเห็นแก่ผู้อื่น เราพร้อมสำหรับการเสียสละใดๆ ดังที่ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดถึงคู่หมั้นของเขาว่า “ฉันจะไม่ทำอะไรที่อาจทำร้ายเธอได้ ฉันขอให้เธอมีความสุขเท่านั้น สำหรับสิ่งนี้ ฉันจะทำทุกอย่าง!” สำหรับเราดูเหมือนว่าไม่มีร่องรอยของความเห็นแก่ตัวของเรา เรากลายเป็นเหมือนแม่ชีเทเรซา เราจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น มันง่ายมากสำหรับเราที่จะเชื่อสิ่งนี้เพราะเราคิดว่าที่รักของเรากำลังประสบในสิ่งเดียวกัน เราเชื่อว่าพระองค์พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเรา พระองค์ทรงรักเรามากเท่ากับที่เรารักพระองค์ และจะไม่มีวันทำให้เราขุ่นเคือง
การคิดเช่นนั้นเป็นความผิดพลาด นี่ไม่ได้หมายความว่าความคิดและความรู้สึกของเราไม่จริงใจ พวกเขาไม่ตรงกับความเป็นจริง เราลืมธรรมชาติของเรา และเราทุกคนต่างมีอัตตา โลกหมุนรอบตัวเรา ไม่มีคนที่เสียสละอย่างสมบูรณ์ ความรักเท่านั้นที่สร้างภาพลวงตาเช่นนี้
และทันทีที่การตกหลุมรักหมดอายุการใช้งาน (จำไว้ว่าโดยเฉลี่ยสองปี) เราจะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงและเริ่มยืนยันสิทธิ์ของเรา เขาและเธอมีความปรารถนา แต่ต่างกัน เขาต้องการเซ็กส์ เธอเหนื่อยเกินไป เขาต้องการซื้อรถใหม่ เธอพูดว่า: "ไร้สาระ!" เธออยากไปเยี่ยมพ่อแม่ เขาไม่มีความสุข: "ยังไงเราก็เจอพวกเขาบ่อยเหมือนกัน" เขากำลังจะไปเล่นฟุตบอล เธอพูดว่า: "ฟุตบอลเป็นที่รักของคุณมากกว่าฉัน"
ทีละเล็กทีละน้อยความรู้สึกของความใกล้ชิดหายไปทำให้พฤติกรรมนิสัยความปรารถนาอารมณ์ความคิด คนเหล่านี้เป็นคนสองคนอยู่แล้ว และพวกเขาคิดต่างกัน พวกเขาเชื่อมต่อกันในมหาสมุทรแห่งความรักในช่วงเวลาสั้น ๆ และตอนนี้คลื่นแห่งความเป็นจริงกำลังแยกพวกเขาออกจากกัน พวกเขาไม่รักกันแล้ว ตอนนี้พวกเขาสามารถยอมแพ้ เลิกรา และไปหารักใหม่ หรือเริ่มต้นการทำงานหนักและเรียนรู้ที่จะรักกันเมื่อผ่านพ้นสภาวะแห่งความรักอันแสนสุขไปแล้ว
เมื่อเราตกหลุมรัก เราจะไม่แสวงหาการเติบโตส่วนตัวอีกต่อไป
ค่อนข้างดูเหมือนว่าเราประสบความสำเร็จทุกอย่างแล้ว
นักวิจัยบางคน รวมทั้งจิตแพทย์ Scott Peck และนักจิตวิทยา Dorothy Tennow กล่าวว่าการตกหลุมรักไม่ควรเรียกว่า "ความรัก" เลย ดร.เป๊ก เถียงว่าการตกหลุมรักไม่ใช่รักแท้ด้วยเหตุผลสามประการ ประการแรก การตกหลุมรักไม่ใช่การแสดงเจตจำนง ไม่ใช่การเลือกอย่างมีสติ ตราบใดที่เราอยากตกหลุมรัก มันก็ไม่ได้ผลเสมอไป ในทางกลับกัน การตกหลุมรักสามารถแซงหน้าเราได้เมื่อเราไม่ต้องการมันเลย บ่อยครั้งเราตกหลุมรักผิดเวลาและผิดคน
ประการที่สอง การตกหลุมรักไม่ใช่ความรักที่แท้จริง เพราะมันไม่ต้องการความพยายามอย่างมีสติจากเรา ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด การตกหลุมรัก ทุกสิ่งมาอย่างง่ายดาย เรามีการสนทนาทางโทรศัพท์ที่ยาวนาน เราพร้อมที่จะเอาชนะทุกระยะทางเพียงเพื่อพบกัน เราให้ของขวัญราคาแพง เราวางแผน และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ กับเรา สัญชาตญาณทำให้นกสร้างรัง สัญชาตญาณผลักดันให้คู่รักทำสิ่งแปลก ๆ ให้กับพวกเขา
ประการที่สามคนรักไม่สนใจว่าคู่ของเขาจะเติบโตและพัฒนาหรือไม่ “ถ้าเรากำลังไล่ตามเป้าหมายในการตกหลุมรัก นั่นคือการหลีกหนีความเหงาและอาจจะจบมันตลอดกาลด้วยการแต่งงาน” * เมื่อเราตกหลุมรัก เราจะไม่แสวงหาการเติบโตส่วนตัวอีกต่อไป ค่อนข้างดูเหมือนว่าเราประสบความสำเร็จทุกอย่างแล้วและไม่มีอะไรจะก้าวไปข้างหน้า เรามีความสุข เราอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว และความปรารถนาเดียวของเราคืออยู่ที่นั่น และที่รักของเราไม่สามารถดีขึ้นได้เธอมีความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว เราแค่หวังว่าพวกเขาจะยังคงอยู่
ถ้ารักไม่ใช่รักแท้มันคืออะไร? ดร.เป๊กกล่าวว่ามันเป็น "องค์ประกอบทางพันธุกรรมที่กำหนดโดยสัญชาตญาณของพฤติกรรมการผสมพันธุ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการทำลายขอบเขตของอัตตาชั่วคราว การตกหลุมรักเป็นปฏิกิริยามาตรฐานของมนุษย์ต่อแรงกระตุ้นทางเพศภายในและทางเพศภายนอก สิ่งเร้า มันเพิ่มโอกาสในการมีเพศสัมพันธ์ซึ่งมีส่วนช่วยในการให้กำเนิด" .**
ไม่ว่าเราจะยอมรับข้อสรุปนี้หรือไม่ก็ตาม คนที่เคยรักกันอาจยอมรับว่าความรู้สึกนี้หาที่เปรียบมิได้ ความสามารถในการใช้เหตุผลทิ้งเราไว้ เราพบว่าตัวเองพูดและทำสิ่งที่เราไม่เคยทำในสภาวะปกติและมีสติสัมปชัญญะ และตื่นจากความหมกมุ่น เรามักถามตัวเองว่าทำไมถึงทำ เมื่อคลื่นแห่งความรู้สึกสงบลงและเรากลับสู่โลกแห่งความจริงที่เราเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนหลายคนงงงวย: "ทำไมเราถึงแต่งงาน? เราต่างกันมากไหม" และเมื่อเรารักกันดูเหมือนว่าเรา ว่าความคิดเห็นของเราตรงกัน อย่างน้อยก็ที่สำคัญที่สุด
ความรู้สึกของเรากลับกลายเป็นภาพลวงตา และหลายคนเชื่อว่าเรามีสองทางข้างหน้าเรา: (1) ทนทุกข์ตลอดชีวิตกับคู่ครองที่ไม่มีใครรัก หรือ (2) ลองเสี่ยงโชคกับอีกทางหนึ่ง วันนี้เราเลือกอันที่สองบ่อยขึ้น พ่อแม่ของเราชอบอย่างแรก แต่ก่อนจะเถียงว่าเราเลือกดีกว่า มาดูตัวเลขกันก่อนดีกว่า วันนี้ในประเทศของเรา 40% ของการแต่งงานครั้งแรกจบลงด้วยการหย่าร้าง จุดจบแบบเดียวกันรอการแต่งงานครั้งที่สอง 60% และการแต่งงานครั้งที่สาม 74% ดังนั้นความน่าจะเป็นที่จะพบความสุขในการแต่งงานครั้งที่สองและครั้งที่สามจึงไม่ค่อยดีนัก
อย่างไรก็ตาม การวิจัยพบว่ามีทางเลือกที่ดีกว่า: ยอมรับว่าการตกหลุมรักเป็นอารมณ์ที่ระเบิดออกมาชั่วคราว และไปกับคู่สมรสของเราเพื่อค้นหาความรักที่แท้จริง ความรักซึ่งจะไม่ครอบงำจิตใจและความรู้สึกจะรวมกันเป็นหนึ่ง ความรักดังกล่าวเป็นการแสดงเจตจำนง ต้องมีวินัยและตระหนักถึงความจำเป็นในการเติบโต ความต้องการทางอารมณ์ขั้นพื้นฐานของเราไม่ใช่การตกหลุมรัก แต่เป็นการได้รับความรักอย่างแท้จริง การรู้ว่าไม่ใช่ความรักโดยสัญชาตญาณ แต่เป็นการเลือกใช้ความรัก ฉันต้องได้รับความรักจากคนที่อยากได้ เพราะฉันคู่ควรกับความรัก
ความรักดังกล่าวต้องการความเข้มแข็งและวินัย คุณพยายามเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น และถ้าคุณประสบความสำเร็จ ตัวคุณเองก็ชื่นชมยินดีเพราะคุณรักอย่างแท้จริง ไม่รู้สึกอิ่มเอมกับการตกหลุมรัก โดยทั่วไปแล้ว ความรักที่แท้จริงไม่สามารถเกิดขึ้นได้จนกว่าความรักจะดับลง
เป็นไปไม่ได้ที่จะสรรเสริญบุคคลสำหรับการกระทำอันเอื้อเฟื้อที่เขาทำภายใต้อำนาจของความหลงผิด เขาถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณและเขาก็ประพฤติตัวผิดปกติ แต่ถ้ากลับมาสู่โลกแห่งความจริงที่เขามีทางเลือก เขาเลือกความมีน้ำใจและความเอื้ออาทร นี่คือรักแท้
ความต้องการความรักจะต้องตอบสนองถ้าเราจะรักษาสุขภาพทางอารมณ์ คนที่แต่งงานแล้วกระหายความรักและความเสน่หาของคู่สมรส เรารู้สึกมั่นใจเมื่อรู้ว่าคู่ของเรายอมรับเรา ใส่ใจในความเป็นอยู่ที่ดีของเรา เมื่อเรารักกัน เราก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่มันไปแล้ว เราผิดที่คิดว่าเราตกหลุมรักตลอดไป
ความรักถูกกำหนดโดยเหตุผลและเจตจำนง สำหรับเธอนักปราชญ์เรียกเรา
ความลุ่มหลงไม่สามารถคงอยู่ตลอดไป ในตำราการแต่งงาน นี่เป็นเพียงคำนำ และหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักซึ่งกำหนดโดยเหตุผลและเจตจำนง นี่คือความรักแบบที่นักปราชญ์เรียกเรา นี่คือความรักที่มีสติสัมปชัญญะ
อย่าสิ้นหวังถ้าคุณดูเหมือนจะสูญเสียความรู้สึกทั้งหมด เนื่องจากความรักเป็นทางเลือก จึงเป็นไปได้ที่เราจะรักแม้ว่าความหลงใหลนั้นได้ตายไปแล้วและเรากลับมาสู่ความเป็นจริงแล้ว เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด คุณต้องรับตำแหน่งนี้: "เราแต่งงานกันแล้ว และตอนนี้ฉันจะดูแลผลประโยชน์ของคุณ" ใครก็ตามที่ต้องการความรักจะหาวิธีที่เหมาะสมในการตัดสินใจครั้งนี้
"โว้ว! จืดชืดแค่ไหน!" - ใครบางคนจะบอกว่า - "ความรักคือจุดยืนของเรา ... ความรักคือวิธีคิด ... และเดินในแสงจันทร์, การรอคอย, ความตื่นเต้น, ประกายในดวงตา, ความสุขของการจูบ, ความสนิทสนม ... จะเข้าใจได้อย่างไรว่าฉันเป็น แก่เขาก่อน” นี่คือสิ่งที่หนังสือทั้งหมดของฉันเกี่ยวกับ วิธีแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเขารักจะตอบสนองต่อความปรารถนาที่ลึกที่สุดนี้ได้อย่างไร ถ้าเราอยากเรียนเราก็ทำได้ และความรักนี้จะสูงกว่าความรักที่เรา "หลงทาง" มาก
เป็นเวลาหลายปีที่ฉันได้พูดเกี่ยวกับภาษารักในการสัมมนาและการสนทนาส่วนตัว ผู้คนหลายพันคนจะยืนยันประสิทธิภาพของคำแนะนำของฉัน ฉันได้รับจดหมายจากคนที่ฉันไม่เคยพบ ฉันอ่านว่า: "เพื่อนให้ฉันฟังบันทึกการสนทนาของคุณเกี่ยวกับภาษารัก ตั้งแต่นั้นมา ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นเวลาหลายปีที่เราพยายามจะรักกัน - ไม่ประสบความสำเร็จ ตอนนี้เราได้พบภาษากลางและ บรรยากาศทางอารมณ์ดีขึ้นอย่างมาก"
เมื่อคู่สมรสของคุณมั่นใจว่าคุณรักเขา และภาชนะแห่งความรักของเขาเต็ม โลกก็เต็มไปด้วยแสงแดด เขาจะสามารถตระหนักถึงความสามารถทั้งหมดของเขา แต่ถ้าภาชนะแห่งความรักของเขาว่างเปล่าและเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความรัก แต่ใช้แล้ว เขาไม่น่าจะบรรลุบางสิ่งในชีวิต ในห้าบทถัดไป เราจะพูดถึงรายละเอียดภาษารัก จากนั้นในบทที่เก้า ฉันจะบอกคุณว่า คุณสามารถแสดงความรักของคุณได้อย่างไร เมื่อรู้ภาษาแม่ของคู่สมรสของคุณ
หมายเหตุ
* Scott Peck, The Road Less Traveled (นิวยอร์ก: Simon & Schuster, 1978), pp. 89-90.
** อ้างแล้ว, น. 90.
บทที่ 4
ภาษารัก 1: ถ้อยคำแห่งกำลังใจ
Mark Twain เคยกล่าวไว้ว่า "ฉันกินคำที่ใจดีได้สองเดือน" หากพิจารณาตามตัวอักษร ปีละหกคำก็เพียงพอแล้วที่จะเติมเต็มภาชนะแห่งความรักของเขา คู่สมรสของคุณอาจต้องการมากกว่านี้
เราสามารถแสดงความรักของเราโดยสนับสนุนกันด้วยคำพูด ปราชญ์โซโลมอนเขียนว่า: "ความตายและชีวิตอยู่ในอำนาจของลิ้น" * หลายคนไม่สงสัยด้วยซ้ำว่าคำพูดมีพลังอะไร โซโลมอนยังกล่าวอีกว่า: "ความปวดร้าวในใจคนท่วมท้นเขา แต่คำพูดที่กรุณาทำให้เขายินดี"**
การสรรเสริญและความกตัญญูจะช่วยให้คุณแสดงความรักได้เสมอ และเป็นการดีกว่าที่จะสวมให้พวกเขาด้วยคำพูดที่เรียบง่ายและจริงใจ
ตัวอย่างเช่น:
“คุณชอบชุดนี้แค่ไหน”
"คุณสวยมากในชุดนั้น!"
"มันฝรั่งช่างอร่อยจริงๆ! คุณทำอาหารได้เยี่ยมมาก"
“ช่างเถอะ ล้างจาน!”
“ขอบคุณที่พาเด็กๆ ไปโรงเรียนอนุบาล”
"ขอบคุณที่ทิ้งขยะ"
ถ้าภรรยาและสามีได้ยินคำพูดนี้จากกันบ่อยๆ อากาศในบ้านอาจจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น?
สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ฉันอยู่คนเดียวในสำนักงาน ทันใดนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งมองที่ประตู:
- คุณมีเวลาสักนาทีไหม?
- แน่นอน มาเลย เธอนั่งลง
- ดร.แชปแมน ฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันไม่สามารถให้สามีทาสีห้องนอนได้ ฉันติดตามเขามาเก้าเดือนแล้ว เหมือนฉันไม่ได้ถาม ไร้ประโยชน์.
ฉันเกือบจะระเบิดออกมา: "ขออภัย คุณมีที่อยู่ที่ไม่ถูกต้อง นี่ไม่ใช่สำนักงานก่อสร้าง" แต่ฉันจับตัวเอง เธอพูดต่อ:
- ตัวอย่างเช่น เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว อากาศดีมาก คุณคิดว่าเขาทำอะไรทั้งวัน? ล้างรถ!
- แล้วคุณล่ะ?
- ฉันเข้าหาเขาหลายครั้งแล้วพูดว่า: "บ๊อบฉันไม่เข้าใจ ถึงเวลาทาสีห้องนอนแล้วคุณเล่นซอกับรถ"
- เขาไม่ได้ทาสี?
- ไม่. ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
- เสียใจ. คุณชอบรถสะอาดหรือไม่?
- ฉันรัก. แต่ห้องนอน...
- สามีของคุณทราบหรือไม่ว่าคุณต้องการซ่อมที่นั่น?
- แน่นอน ฉันบอกคุณมาเก้าเดือนแล้ว
- อีกหนึ่งคำถาม เขาเคยช่วยคุณไหม? เช่น ทิ้งขยะ เช็ดกระจกรถ เติมน้ำมัน จ่ายบิล ขนเสื้อผ้า?
- ใช่บางเวลา.
“งั้นฉันจะแนะนำอะไรให้นายล่ะ” ประการแรกไม่มีคำพูดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซ่อมแซม ฉันพูดซ้ำไม่เกี่ยวกับห้องนอน
- มันจะช่วยได้ไหม?
อย่าใช้คำชมเพื่อให้ได้มาซึ่งหนทางของคุณ นี่ไม่ใช่ความรัก สรรเสริญคู่สมรสของคุณ
เพื่อให้เขามีความสุข และนั่นคือกฎ: เมื่อเราได้รับการยกย่อง เรารู้สึกขอบคุณ และเรามีแนวโน้มที่จะต้องการปฏิบัติตามคำขอใดๆ
- ฟังนะ คุณบอกว่าคุณขอเขาซ่อมหลายครั้งแล้ว ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้ เขารู้แล้ว และอย่างที่สอง ครั้งต่อไปที่สามีของคุณทำอะไรให้คุณ ให้ชมเขา ถ้าเขาตัดสินใจที่จะทิ้งขยะ ให้พูดว่า: "บ๊อบ คุณทำได้ดีมาก!" อย่าพูดว่า: "เร็วเข้า! เราจะส่งคุณให้ตายเท่านั้น" เขาจ่ายเงินแล้ว ขอบคุณเขา: "ช่างดีเหลือเกิน เธอยังไม่ลืม เธอช่วยฉันมาก ไม่ใช่สามีทุกคนที่ทำ" สรรเสริญเขามากขึ้น
- และมันจะเร่งการซ่อมแซมหรือไม่? ฉันไม่เข้าใจ. ฉันพูดว่า:
- คุณต้องการคำแนะนำ ฉันให้มัน
เธอทิ้งความผิดหวัง แต่สามสัปดาห์ต่อมา เธอมองมาที่ฉันอีกครั้ง: "ได้ผล!" เธอเชื่อมั่นว่าสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยการสรรเสริญมากกว่าบ่น
ฉันไม่สนับสนุนให้คุณประจบสอพลอคู่ของคุณอย่างไม่รู้จบและบรรลุเป้าหมายของคุณ นี่ไม่ใช่ความรัก สรรเสริญให้เขาทำให้เขามีความสุข และนี่คือกฎหมาย: เมื่อเราได้รับการยกย่อง เรารู้สึกขอบคุณ และเรามีแนวโน้มที่จะต้องการปฏิบัติตามคำขอใดๆ
สนุกกับคำ
การสรรเสริญเป็นเพียงวิธีหนึ่งในการแสดงความรักด้วยคำพูด ภาษาถิ่นอื่นของภาษานี้คือคำพูดให้กำลังใจ "กำลังใจ" แปลว่า "ให้ความมีชีวิตชีวา ความกล้าหาญ" บางครั้งเรารู้สึกไม่ปลอดภัยในด้านใดด้านหนึ่ง เราขาดความกล้าหาญ และสิ่งนี้มักจะขัดขวางไม่ให้เราบรรลุสิ่งที่เราต้องการและสิ่งที่เราสามารถทำได้ บางทีคู่สมรสของคุณกำลังรอให้คุณสนับสนุนและให้กำลังใจเขา
อลิสันสนุกกับการเขียนมาโดยตลอด ในวิทยาลัย ในปีสุดท้าย เธอยังเข้าร่วมการบรรยายด้านวารสารศาสตร์อีกด้วย และในไม่ช้าเธอก็รู้ว่าเธอสนใจเรื่องนี้มากกว่าประวัติศาสตร์ หัวข้อหลักของเธอ แต่ก็สายเกินไปที่จะเปลี่ยนอาชีพ อย่างไรก็ตาม หลังจากเรียนจบ เธอยังคงเขียนต่อไปจนกระทั่งลูกของเธอเกิด เธอยังส่งบทความหนึ่งไปยังนิตยสาร รีวิวได้น่าผิดหวัง เธอไม่ลองแล้ว: เธอไม่มีความกล้า เมื่อลูกๆ โตขึ้นและเธอมีเวลา Alison ก็หยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้ง
สตีเฟน สามีของอลิสัน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เขายุ่งอยู่กับงานการเลื่อนตำแหน่ง แต่ทีละเล็กทีละน้อยฉันตระหนักว่าอาชีพในชีวิตไม่ใช่สิ่งสำคัญและเริ่มให้ความสำคัญกับครอบครัวและผลประโยชน์ของภรรยาของเขามากขึ้น เย็นวันหนึ่งเขาตัดสินใจดูบทความของเธอ เมื่อพูดจบเขาก็รีบไปหาอลิสัน เธออ่าน. สตีเว่นพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ฉันขอโทษที่ขัดจังหวะ แต่มันสำคัญมาก ฉันเพิ่งอ่านบทความของคุณเกี่ยวกับวันหยุด อลิสัน ทำไมเธอไม่ตีพิมพ์ล่ะ คุณเขียนได้เยี่ยมมาก เปรียบเปรยมาก ดูเหมือนฉันจะเห็นด้วยตัวเอง” สายตาที่ฉันกำลังอ่านอยู่ มันน่าสนใจมาก ส่งมันลงนิตยสารหน่อยเถอะ”
- ความจริง? คุณคิด? อลิสันถามอย่างลังเล
- แน่นอน! ฉันหมายถึงบทความที่ดี
เมื่อเขาจากไป อลิสันอ่านไม่ออกอีกต่อไป ขณะวางหนังสือไว้ เธอครุ่นคิดถึงคำพูดของสามี เขาชอบสิ่งนี้ บางทีคนอื่นจะชอบมันด้วยเหรอ? ใช่ เมื่อบรรณาธิการวิจารณ์บทความของเธอ แต่อลิสันให้เหตุผล หลายอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นมา เธอเขียนได้ดีขึ้น เธอมีประสบการณ์มากขึ้น เธอลุกขึ้นและเดินไปหยิบน้ำในครัว การตัดสินใจถูกนำมาใช้ เธอจะส่งบทความสองสามบทความถึงบรรณาธิการและดูว่าเกิดอะไรขึ้น
สิบสี่ปีผ่านไปตั้งแต่เย็นวันนั้น ตอนนี้บทความของ Alison สามารถพบได้ในนิตยสารหลายฉบับ เธอกำลังเขียนหนังสืออยู่ นี่เป็นนักข่าวที่มีความสามารถ แต่เธอคงไม่กล้าก้าวแรกหากสามีของเธอไม่สนับสนุนเธอ
ใครจะไปรู้ บางทีพรสวรรค์อาจซ่อนอยู่ในคู่สมรสของคุณ บางทีความสามารถหลายอย่างของเขาอาจไม่ต้องการ และเขากำลังรอการสนับสนุนของคุณ บางทีภรรยาของคุณอาจต้องการเรียนหลักสูตรเพื่อพัฒนาความสามารถของเธอ และสามีของคุณก็ต้องปรึกษากับคนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว คำพูดของคุณจะช่วยให้พวกเขาก้าวไปสู่ขั้นแรก
เราต้องมองโลกผ่านสายตาของคู่สมรสของเรา เราต้องหาสิ่งที่สำคัญสำหรับเขา เมื่อนั้นเราจะสามารถสนับสนุนเขาได้จริงๆ
แต่สังเกตว่าเมื่อฉันพูดว่า "เชียร์" ฉันหมายถึงการสนับสนุน โปรดอย่ากดดันคู่สมรสของคุณให้ทำบางสิ่งที่เขาไม่สนใจ ตัวอย่างเช่น สามีหลายคนบอกภรรยาเกี่ยวกับอาหารอย่างไม่รู้จบ สามีคนนี้อธิบายว่า “ใช่ ฉันแค่อยากทำให้เธอสบายใจ” และดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะถูกตำหนิ คุณสามารถให้กำลังใจเธอได้ก็ต่อเมื่อตัวเธอเองตัดสินใจที่จะลดน้ำหนักส่วนเกินเหล่านั้น ในระหว่างนี้ เธอไม่ต้องการ คำพูดของคุณฟังดูเหมือนเป็นสัญลักษณ์ โน้ตไม่ค่อยสร้างแรงบันดาลใจ นี่ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นการประณาม และบุคคลนั้นส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเขามีความผิด
แต่ถ้าภรรยาของคุณพูดว่า: "ฉันต้องลดน้ำหนัก ฤดูใบไม้ร่วงนี้ฉันต้องการไปที่ศูนย์พิเศษ" ก็สนับสนุนเธอ พูดอะไรแบบนี้: "ดีมาก ฉันแน่ใจว่าคุณทำได้ สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับคุณ: ถ้าคุณทำอะไร คุณมักจะทำมันให้สำเร็จ ฉันจะช่วยคุณอย่างแน่นอน ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน พวกเขา จะพบคุณถ้าคุณต้องการ ". คำพูดดังกล่าวจะทำให้เธอมีความมุ่งมั่นและเธอจะโทรหาศูนย์การแพทย์
เราต้องมองโลกผ่านสายตาของคู่สมรสของเรา เราต้องหาสิ่งที่สำคัญสำหรับเขา เมื่อนั้นเราจะสามารถสนับสนุนเขาได้จริงๆ และความหมายของคำพูดของเราคือ: "ฉันเข้าใจคุณ มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉัน ฉันอยู่กับคุณ ฉันจะช่วยคุณได้อย่างไร" เราแสดงให้คนเห็นว่าเราเชื่อในตัวเขาในความสามารถของเขา เราชื่นชมเขาล่วงหน้า
เรามีความสามารถหลายอย่าง แต่บ่อยครั้งที่การขาดความกล้าหาญขัดขวางเราไม่ให้ตระหนักถึงความสามารถของเรา คำพูดของคนที่คุณรักสามารถใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาได้ บางทีภาษานี้อาจเป็นภาษาต่างประเทศสำหรับคุณ และต้องใช้กำลังและความอดทนอย่างมากจึงจะเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณคุ้นเคยกับการวิจารณ์และประณาม แต่ฉันรับรองกับคุณว่ามันคุ้มค่ากับความพยายาม
คำที่ดี
ความรักเป็นสิ่งที่ดี และถ้าเราจะพูดถึงเรื่องนี้ เราต้องเลือกคำพูดที่สุภาพ วิธีที่เราพูดมีความสำคัญมาก วลีเดียวกันอาจฟังดูต่างกัน อ่อนโยนและเสน่หา "ฉันรักคุณ" เป็นการประกาศความรักที่แท้จริง แต่ถ้าคุณพูดว่า: "ฉันรักคุณ?" ความหมายจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บางครั้งคำพูดพูดอย่างหนึ่ง แต่น้ำเสียงพูดอีกอย่าง ข้อความของเราสามารถตีความได้สองวิธี แม้ว่าคนทั่วไปจะให้ความสนใจกับน้ำเสียงไม่ใช่คำพูด
“แน่นอน ฉันจะล้างจาน ด้วยความยินดี” สามีบ่น ไม่น่าเป็นไปได้ที่ภรรยาจะได้ยินความรักในคำพูดเหล่านี้ ในทางกลับกัน แม้ว่าเราถูกทำให้ขุ่นเคืองและโกรธ เราก็สามารถพูดในลักษณะที่กรุณาและด้วยเหตุนี้เพื่อแสดงความรัก “คุณไม่ต้องการช่วยฉัน แย่มาก!” คำพูดเหล่านี้เต็มไปด้วยความรักหากบุคคลพูดอย่างจริงใจและอ่อนโยน เขาแสวงหาความเข้าใจ เขาแบ่งปันความรู้สึกของเขา เขาไปข้างหน้า เขาต้องการเข้าใกล้ เขาเจ็บปวดและพูดถึงมันเพื่อที่จะหาทางรักษาได้ คำพูดเดียวกันที่พูดเสียงดังและแหลมคมไม่แสดงความรัก แต่เป็นการประณามและความเกลียดชัง