พระองค์ทรงทำให้ทุกสิ่งสวยงามในสมัยของพระองค์ “วาระโปรยหินและวาระรวบรวมหิน” หมายความว่าอย่างไร คัมภีร์​ไบเบิล​บอก​อย่าง​ไร​เกี่ยว​กับ​ความ​อด​ทน

3:1 สำหรับทุกสิ่งมีเวลา และวาระสำหรับทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์
ดูเหมือนว่าหลายคนที่นี่โซโลมอนกำลังเตือนมนุษยชาติเกี่ยวกับชะตากรรม:
เวลาและฤดูกาลสำหรับทุกรายการด้านล่างถูกกำหนดโดยพระเจ้า (ใต้สวรรค์) และจัดตั้งขึ้นจากเบื้องบน ( เจนีวา ตัวอย่างเช่น )
อย่างไรก็ตาม หากเป็นเช่นนี้ ปรากฏว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดสงครามมนุษย์ การฆาตกรรม ความเกลียดชัง การทำลายล้าง และปัญหาอื่นๆ จากรายการที่ตามมา ซึ่งไม่สามารถมาจากพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก

ดังนั้น ประเด็นในที่นี้ไม่เกี่ยวกับพรหมลิขิต แต่เกี่ยวกับความจริงที่ว่าการกระทำ ความรู้สึก และเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลกกับสังคมมนุษย์และในสังคมมนุษย์ในหลักการ (ใต้สวรรค์) - เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งโดยมี การเปลี่ยนแปลงของเวลาสำหรับสิ่งนี้และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถูก จำกัด ด้วยเวลาของมันจะไม่คงอยู่ในยุคนี้อย่างไม่มีกำหนด ทุกสิ่งที่มีอยู่ - ครั้งหนึ่งเคยปรากฏตามพระประสงค์ของพระเจ้าและมีอยู่ตราบเท่าที่พระเจ้าต้องการ

Tanakh ในการแปลของโจเซฟ:
ทุกสิ่งมี (ของมัน) และเวลา (ของมัน) สำหรับทุกสิ่งภายใต้สวรรค์:
สำหรับบางสิ่ง พระเจ้าได้กำหนดความเป็นนิรันดร์ไว้สำหรับผู้อื่น - เศษเสี้ยววินาที และลำดับของการปรากฏตัวของพวกเขาหรือการหายตัวไปหรือการอยู่เชิงปริมาณ - ก็ถูกกำหนดโดยพระเจ้าเช่นกัน ถึงเวลาแล้วและมันก็เป็น เวลาจะมาถึง - มันจะแตกต่างออกไป

"กฎบัตร" ที่เป็นวัฏจักรของเวลาและเหตุการณ์ในชีวิตของบุคคลในยุคนี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยพระเจ้าสำหรับโลกเพื่อกระตุ้นให้เขาไตร่ตรองถึงความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นและเมื่อถึงเวลาในชีวิตของเขา ทำและคาดหวังสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น เพื่อที่บุคคลจะไม่กระทำการใดๆ ที่ไม่เหมาะสมและนอกสถานที่ และอย่างน้อยมีโอกาสที่จะวางแผนชีวิตของตนเพื่อประโยชน์ของตนเองและเพื่อนบ้าน

อะไรทำให้บุคคลเข้าใจ "กฎบัตร" นี้สำหรับชีวิตของเขา โซโลมอนชี้ต่อไป

3:2 มีวาระเกิด และวาระตาย
ใครก็ตามที่เคยเกิดในศตวรรษนี้สามารถตายได้ทุกเมื่อ
เมื่อเข้าใจกฎบัตรนี้ บุคคลสามารถรับรู้เส้นทางของทั้งโลกได้อย่างเพียงพอตั้งแต่การบังเกิดของพระเจ้าไปจนถึงการหายตัวไปในความหลงลืม ทุกคนที่สังเกต "กฎบัตร" นี้มีโอกาสคิดถึงความหมายของชีวิตระยะสั้นเพื่อเริ่มค้นหาความหมายนี้และค้นหา

มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูก
"กฎบัตร" นี้ช่วยให้บุคคลเข้าใจว่าผลทุกอย่างต้องมีเหตุและผลทุกผลต้องมีเงื่อนไข: IF .... แล้ว ....
และถ้าคุณไม่ปลูกก็จะไม่มีอะไรจะดึงออกมา
แต่แม้กระทั่งเมื่อปลูก คุณไม่สามารถรอผลเพราะด้วยเหตุผลใดก็ตาม - ไม่ใช่ทุกครั้งที่ถูกต้อง: คุณปลูกในเวลาที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้อยู่ในฤดูปลูกอย่างไม่ใส่ใจ - การปลูกจะหายไปและผลลัพธ์จะเป็นศูนย์

และถ้าคุณมองไปไกลกว่าสวน "กฎบัตร" นี้จะสอนให้คุณรับรู้เหตุการณ์ปัจจุบันที่คาดว่าจะได้รับอย่างใจเย็น: มันไม่มีประโยชน์ที่จะเร่ง "การเติบโต" ของการปลูกและพยายาม "ปรับปรุง" กระบวนการเหล่านั้น แนวทางที่บุคคลไม่สามารถโน้มน้าวให้เกิดประโยชน์ส่วนตนได้
ตัวอย่างเช่น เมล็ดพันธุ์แห่งพระวจนะของพระเจ้าที่ปลูกไว้ในใจของใครบางคนนั้นไม่คุ้มที่จะเล่นกับกรอบเวลาส่วนตัวของคุณอย่างไม่อดทน พยายามเร่งการเติบโตทางวิญญาณของใครบางคนและคาดหวังบางสิ่งจากเขาซึ่งบุคคลนั้นยังไม่พร้อม

3:3 เวลาฆ่า เวลารักษา ; ที่นี่โซโลมอนให้กำลังใจบุคคลโดยอธิบายว่าช่วงเวลาของการทำบาดแผลซึ่งในความรู้สึกทางวิญญาณหรือตามตัวอักษรทุกคนย่อมได้รับในกระบวนการของชีวิตมักจะถูกแทนที่ด้วยช่วงเวลาการรักษาของพวกเขาเสมอและหากไม่มีก็จะไม่มี บุคคลที่ถูกทิ้งไว้บนโลก
และสถานการณ์ดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการมองโลกในแง่ดีเพราะหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไป แม้แต่สงครามนองเลือดที่ "มีคุณภาพสูง" ที่สุด วันหนึ่งสงครามก็จบลง และช่วงเวลาแห่งความสงบก็เข้ามา คุณเพียงแค่ต้องเรียนรู้ที่จะรอและรอการขับกล่อมเสมอเพื่อที่จะได้หยุดพักและชนะตำแหน่งของคุณต่อไปภายใต้ดวงอาทิตย์ของพระเจ้า

มีวาระทำลาย และวาระสร้าง บางครั้งก็มีประโยชน์จากการทำลายล้าง โดยเฉพาะถ้า "อาคาร" สร้างขึ้นบนทรายหรือไม่มีรากฐานเลย ลมพัด มันก็จะทำลาย และเจ้าของที่ถูกทำลายจะถูกบังคับให้ยอมรับว่าเป็นไปไม่ได้ สร้างทุกสิ่งที่มั่นคงบนรากฐานที่ไม่ดี เขาจะถูกสอนว่าอย่าสร้างฐานที่ไม่ดีในครั้งต่อไป

การเข้าใจสิ่งนี้ช่วยให้บุคคลรับรู้ถึงความถูกต้องของความจริงที่ว่าบางครั้งการสร้างชีวิตใหม่ (ไม่ใช่แค่อาคาร) จะต้องเริ่มต้นใหม่จากการที่สิ่งเก่าและคุ้นเคยถูกทำลายด้วยเหตุผลหลายประการซึ่งมักจะเกินกว่าเรา ควบคุม. ตัวอย่างเช่นพวกเขาถูกไล่ออกจากงาน - จำเป็นต้อง "สร้าง" ใหม่ ป่วยหนัก - จำเป็นต้อง "สร้าง" ชีวิตใหม่ - ในสภาพเจ็บป่วย เสียเพื่อน - คุณต้อง "สร้าง" อีกชีวิตหนึ่ง - โดยไม่มีเขา ฯลฯ
หากบุคคลเข้าใจว่าเขาเพียงแค่ต้องตกลงกับสภาพนี้และไม่นั่งบนซากปรักหักพัง แต่สร้างใหม่ เขาจะได้รับประโยชน์ และใครก็ตามที่นั่งอยู่บนซากปรักหักพัง แยกซากของ "ซากปรักหักพัง" และโรยขี้เถ้าบนศีรษะของเขาโดยไม่สร้างสิ่งใหม่ ๆ ไม่ดีสำหรับเขา: เขาไม่มีทั้งอดีตและใหม่ - ไม่มีอะไรชีวิตของเขาคือ ว่างเปล่า.
แต่อนิจจาแม้ว่าคุณจะไม่ชอบชีวิต แต่ก็ยังผ่านไป ดังนั้นผู้ที่สร้างสิ่งใหม่ ๆ อย่างน้อยก็มีโอกาสที่จะทำให้ชีวิตของเขาในปัจจุบันน่าสนใจไม่มากก็น้อยโดยใช้ศรัทธาในอนาคตที่มีความสุข

3:4 มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ เวลาไว้ทุกข์และเวลาเต้นรำ ;
ทุกคนร้องไห้ในบางครั้ง ไม่ว่าจะด้วยความสุขหรือจากการขาดมัน แต่การที่การร้องไห้คร่ำครวญถึงแม้เราจะเศร้าโศกสักเพียงใด วันหนึ่งก็จะจบลง ทำให้เราพอใจ พระเจ้าจัดเตรียมบุคคลในลักษณะที่สภาพของการร้องไห้นิรันดร์นั้นไม่ปกติสำหรับเขา และถ้าใครเป็น พร้อมที่จะร้องไห้และทนทุกข์ตลอดไป นี่คือพยาธิสภาพของจิตใจ
และสำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง การร้องไห้จะสลับกับความสุขเสมอ เพื่อที่คนๆ หนึ่งจะได้รู้ราคาของความเศร้าโศกและความสุข การร้องไห้และเสียงหัวเราะ - และเลือกความสุขด้วยความสุขด้วยตนเองเพื่อตัวเอง ซึ่งเป็นชีวิตที่พระเจ้ามอบให้กับมนุษย์

3:5 เวลาโปรยหิน เวลารวบรวมก้อนหิน ;
ที่นี่ - เกี่ยวกับหลักการของความถี่ของการรวบรวมและการใช้จ่าย ไม่ว่าบุคคลจะรวบรวมหรือใช้อะไร: ข้อมูล ความรู้ทางจิตวิญญาณ ความแข็งแกร่ง เวลา หิน เงิน ฯลฯ บางครั้งมีข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจที่สำคัญ (ไม่ได้รวบรวม "หิน" ที่จำเป็น)
การทำความเข้าใจหลักการนี้จะช่วยให้บุคคลเรียนรู้ที่จะไม่ตัดสินใจอย่างรีบร้อน แต่ก่อนอื่น - รวบรวมข้อมูลให้เพียงพอเพื่อแก้ปัญหาของเขาจากนั้นใช้พวกเขา (กระจาย "หิน") การตัดสินใจที่ถูกต้องตาม "หิน" ที่รวบรวม
หรือเพื่อให้ "แม่น้ำแห่งน้ำดำรงชีวิตไหลออกจากครรภ์" - ก่อนอื่นคุณต้องรวบรวมเข้าไปในครรภ์จนสุด - "แม่น้ำ" เดียวกันนี้ตามพระวจนะของพระเจ้า: ถ้าคุณไม่รวบรวมจะไม่มีอะไรจะล้น ขอบไม่มีอะไรจะกระจัดกระจาย

ในแง่จิตวิญญาณ คริสเตียนสามารถเป็นศิลาได้เช่นกัน: พระเจ้ารวบรวมทีมผู้ช่วยจากหินมนุษย์เพื่อพระคริสต์ (2 เปโตร 2:5) และมารยังคงพยายามกระจายและกระจายพวกเขา และมีเวลาสำหรับสิ่งนี้อย่างที่เราเห็น

เวลากอดและวาระหลีกเลี่ยงการกอด ความเป็นจริงของชีวิตดังกล่าวช่วยทุกคนที่รัก - ให้เข้าใจเหตุผลในการหลีกเลี่ยงการแสดงออกของความรักที่ชัดเจน: คุณเพียงแค่ต้องคำนึงว่าหากใครบางคนที่มีความปรารถนาที่จะกอดหลีกเลี่ยงการกอดนี่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบลง แห่งความรักและการลืมเลือนอย่างสมบูรณ์ แต่มันหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่จะเลื่อนการกอดออกไปเพื่อให้พวกเขาได้พัก
เป็นที่ชัดเจนว่าคน ๆ หนึ่งต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะว่าการกอดอยู่ที่ไหนและเมื่อไหร่และที่ไหนและเมื่อใดไม่เหมาะสมอย่างสมบูรณ์

3:6 เวลาแสวงหา และเวลาที่สูญเสีย บุคคลไม่ควรมีชีวิตอยู่ด้วยทัศนคติเพียงเพื่อค้นหาและรับมิฉะนั้นความผิดหวังในชีวิตจะหลีกเลี่ยงไม่ได้: มันเกิดขึ้นมีเวลาและความสูญเสียของสิ่งที่พบและได้มา บางครั้ง แพ้อย่างฉลาด ดีกว่า พ่ายแพ้อย่างโง่เขลา พระคริสต์เสียชีวิต - การสูญเสียครั้งนี้กลายเป็นพรสำหรับผู้คน และอาดัมและเอวาพบว่า "มนต์เสน่ห์" ของความรู้ชั่วร้ายสำหรับตัวเอง และการได้มาครั้งนี้กลับกลายเป็นหายนะสำหรับพวกเขาและมนุษยชาติทั้งหมด
ตามหลักการแล้ว คงจะดีถ้าโลกที่อธรรมนี้หายไปเพื่อเรา และเราทุกคนต่างแสวงหาสวรรค์ พยายามเอาชนะพระบิดาบนสวรรค์ด้วยตัวเราเอง นี่เป็นวิธีที่ฉลาดที่สุดในการได้มาซึ่งมนุษย์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด

เวลาออม และวาระโยน ยังมีเวลาสำหรับความประหยัดและสิ้นเปลือง ตัวอย่างเช่น ภรรยาของโลตอฟไม่เห็นเวลาของเธอเพื่อทิ้งสิ่งที่เธอสะสมไว้เพื่อช่วยชีวิตเธอ หรือ: ดูแลหัวใจของคุณ แหล่งกำเนิดของชีวิต - สิ่งนี้มีและจะมีเวลาชั่วนิรันดร์ และเวลาในการละทิ้งความโน้มเอียงในบาปของคุณนั้นสัมพันธ์กับอายุที่ล่วงเลยไปนี้
หากบุคคลไม่เรียนรู้ที่จะแยกแยะหลักจากรอง อะไรและเมื่อใดที่เป็นประโยชน์ในการช่วยชีวิต และสิ่งที่ควรละเลยและสิ่งที่ต้องละทิ้งโดยไม่เสียใจ มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในชีวิต ใช่ และอาจสูญเสียชีวิตได้หากคุณช่วยชีวิต - ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วโยนทิ้ง - ไม่ใช่อย่างนั้น
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่รักษาความสัมพันธ์ของเขากับโลกและละเลยความสัมพันธ์ของเขากับพระเจ้ากำลังอยู่ในเส้นทางที่อันตราย

3:7 เวลาฉีกเป็นชิ้นๆ และวาระเย็บ
การทำลายล้างทั้งหมดไม่ได้เป็นอันตรายเสมอไป บางครั้งถ้าคุณไม่ฉีก คุณจะไม่รอด และบางครั้งถ้าคุณเย็บมันขึ้นมา คุณจะต้องทนทุกข์ทรมาน และเพื่อแยกแยะว่าแบ่งเวลาที่ไหนและเมื่อไหร่และที่ไหนและเมื่อไหร่ - เวลาที่จะเย็บเข้าด้วยกัน - ยังไม่เจ็บที่จะเรียนรู้
ตัวอย่างเช่น พระเจ้าฉีกม่านในพระวิหาร และทรงทำดีต่อชาวยิว
ในทางกลับกัน ชาวยิว "สาปแช่ง" ผ้าคลุมที่ฉีกขาดในพระวิหาร - พวกเขาทำชั่ว พวกเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระเจ้าฉีกขาดออกจากกันนั้นไม่อยู่ภายใต้การฟื้นฟู ดังนั้นพวกเขาจึงทนทุกข์กับความพยายามที่จะ "เย็บ" - สำหรับความพยายามที่จะทำความดีในความเข้าใจของตนเองและบนพื้นฐานที่ผิด

ดังนั้นในชีวิต ไม่เพียงแต่กับม่านเท่านั้น เราต้อง "ปะ" "หลุม" คริสเตียนของเราทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างขยันขันแข็ง และเราจำเป็นต้องทำลายความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับความคิดทางโลกเกี่ยวกับชีวิตตลอดชีวิตของเราโดยไม่เสียใจ

มีวาระนิ่ง และวาระพูด ตัวกำหนดผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง: พูดผิดเวลาและพูดอย่างไม่สมควร - คุณสามารถทำร้ายตัวเองและเพื่อนบ้านได้ และเพื่อกำหนดว่าเมื่อใดควรเงียบและเมื่อใดควรพูด - บุคคลต้องเรียนรู้เพื่อประโยชน์สุขของเขา

บางครั้งถ้าคุณไม่พูดอะไรเลย พวกเขาอาจคิดว่าคุณโง่ แต่จะดีกว่าถ้าคุณพูดออกมา - และขจัดความสงสัยในเรื่องนี้ทั้งหมด

ไม่ยากสำหรับคริสเตียนที่จะกำหนดเวลาที่จะเงียบและพูด: หากสิ่งที่เขาจะพูดจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือสนับสนุนให้ใครซักคนเป็นคริสเตียนหรือทำให้อารมณ์ดีขึ้นหรือช่วยแก้ปัญหาของใครบางคนอย่างมีประโยชน์ - แล้วใน กรณีเหล่านี้มีเวลาเสมอที่จะพูดเพราะจากคำพูดของเขา - ประโยชน์ของผู้ฟัง
ในกรณีอื่นๆ ถึงเวลาแล้วที่คริสเตียนจะต้องเงียบ

3:8 เวลารักและวาระเกลียด จากความรักสู่ความเกลียดชัง - ขั้นตอนเดียวและในทางกลับกัน ตัวอย่างเช่น อัครสาวกเปาโลข่มเหงคริสเตียนและเกลียดชัง "ศัตรูของประชาชน" ของพระเจ้า แล้วรักพวกเขามากจนอุทิศชีวิตที่เหลือเพื่อเดินในเส้นทางคริสเตียน
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรคาดหวังจากคนรักที่เขาจะเกลียดอย่างแน่นอนเช่นเดียวกับน้ำตาที่เขาจะเย็บอย่างแน่นอน นี่คือความจริงที่ว่ามีสถานที่ภายใต้ดวงอาทิตย์ของพระเจ้าสำหรับกลไกภายในที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ความก้าวหน้า" ของมนุษย์ทั้งสองนี้: ทั้งความรักและความเกลียดชัง - สามารถทำให้บุคคล "จัดเรียงภูเขาใหม่"
และอย่าแปลกใจถ้าวันหนึ่งคนที่เป็นเพื่อนจะกลายเป็นศัตรูและใครก็ตามที่เป็นศัตรูจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด

เวลาสำหรับสงครามและเวลาสำหรับสันติภาพ . ความเกลียดชังเป็นสหายของสงคราม ความรักเป็นสหายของสันติภาพ พระเจ้าทั้งสองให้ประสบการณ์แก่บุคคลเพื่อให้เขาตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่เขาชอบ - สำหรับเขา ความรักหรือความเกลียดชัง สงครามหรือสันติภาพ ในเงื่อนไขของการยอมจำนน แต่ละคนจะเปิดเผยแก่นแท้ภายในของเขาในรัศมีภาพทั้งหมดต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าจะทรงเข้าสู่ทุกคนที่เลือกความรักและสันติสุขในหนังสือที่น่าจดจำซึ่งเขานำมาจากจุดเริ่มต้นของโลก
และพวกที่ชอบทะเลาะวิวาท ต่อสู้และเกลียดชัง - เขาจะไม่ใส่มันเข้าไป เขาไม่จำเป็นต้องลบมันด้วยซ้ำ

3:9 คนงานมีประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เขาทำงานอยู่? โซโลมอนถามตัวเองเพราะเขาตอบเอง รูปแบบของการนำเสนอข้อมูลนี้ช่วยให้เน้นไปที่สิ่งสำคัญ: หลังจากคำถามดังกล่าว ผู้อ่านจะมองหาคำตอบเกี่ยวกับความหมายของงานในชีวิตของบุคคล - จากมุมมองของผู้ที่ฉลาดที่สุด

3:10 ข้าพเจ้าเห็นความห่วงใยนี้ซึ่งพระเจ้าประทานแก่บุตรทั้งหลายของมนุษย์ เพื่อพวกเขาจะได้ออกกำลังกายในสิ่งนี้ .
พระเจ้าเองทรงทำงานอย่างหนักและยาวนาน และทรงสร้างผู้คนที่มีความต้องการเช่นเดียวกัน
ดังนั้นความสามารถในการทำงานจึงอยู่ที่คนจำนวนมากจากพระเจ้าเพื่อให้ชีวิตของเขาไม่น่าเบื่อและดูเหมือนโรงยิม งานประเภทต่างๆ ก็เหมือนการออกกำลังกายที่แตกต่างกันสำหรับร่างกาย พวกเขาสร้างความอดทน ทำให้เกิดความพึงพอใจ เสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพิ่มความต้านทานต่อความยากลำบาก และช่วยลิ้มรสความหวานของการผ่อนคลายหลังจากวันอันเหน็ดเหนื่อย

3:11 พระองค์ทรงทำให้ทุกสิ่งสวยงามในสมัยนั้น ทุกสิ่งที่บุคคลต้องการสำหรับชีวิต - พระเจ้ามอบให้เขาเมื่อสร้างและนี่คือ "ทุกสิ่ง" ที่บุคคลใช้ในชีวิตของเขา - ตามแผนของผู้สร้างควรให้ความยินดีอย่างมากและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาในตัวบุคคลเท่านั้น ของบุคลิกภาพที่มีเหตุผลที่สร้างขึ้นตามแบบพระฉายของพระเจ้า

และวางโลก 05789 ไว้ในใจ
คำว่าโลก - ที่นี่ไม่ใช่ความหมายของ "ความสงบสุข" แต่ในความหมายของ "โลกทั้งใบ จักรวาล นิรันดร" ที่พระเจ้าใส่ไว้ในมนุษย์
M/lFwe
1. นาน นาน นาน
2. นิรันดร นิรันดร นิรันดร

ทานาค(แปลโดยรับบีเดวิด โยสิพล)
พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งที่สวยงามในสมัยนั้น กระทั่งใส่ความเป็นนิรันดร์ไว้ในใจพวกเขา แต่ในลักษณะที่งานที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้โดยบุคคลตั้งแต่ต้นจนจบ .
นั่นคือเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่จะตกลงกับความจริงที่ว่าเขาไม่นิรันดร์และถูกบังคับให้ตาย .. พระเจ้าไม่ได้วางแผนความตายสำหรับบุคคลดังนั้นเขาจึงส่งพระคริสต์มาที่โลกเพื่อแก้ไขสถานการณ์ด้วย ความไม่สมบูรณ์ของมนุษยชาติอันเนื่องมาจากบาปของอาดัมและคืนทุกสิ่งให้กับเขาตามที่วางแผนไว้สำหรับอาดัมและลูกหลานของเขาทั้งหมด: นิรันดร์

แม้ว่ามนุษย์จะไม่เข้าใจพระราชกิจที่พระเจ้าทำตั้งแต่ต้นจนจบ และถึงแม้สิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อมนุษย์ส่วนใหญ่ - มนุษย์เองก็ไม่เข้าใจหากพระเจ้าไม่อธิบายให้เขาฟัง - อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่ได้ทำให้ทุกสิ่งสวยงามในสมัยของเขา

3:12 ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้สนุกและทำดีในชีวิตของพวกเขา ในบรรดาสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหมดที่พระเจ้าทำเพื่อมนุษย์ โซโลมอนได้เลือกของขวัญพิเศษของพระเจ้าให้กับผู้คน: ความสามารถในการทำความดี เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและสิ่งแวดล้อมและชื่นชมยินดีในสิ่งนี้ โดยการทำสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อแผนการของพระเจ้า บุคคลจะได้รับความพึงพอใจอย่างแท้จริง นี่คือวิธีที่พระเจ้าสร้างบุคคล

3:13 และถ้าใครกินและดื่มและเห็นความดีในงานทั้งหมดของเขา นี่คือของขวัญจากพระเจ้า
แต่ปรากฎว่าไม่ใช่ทุกคนในยุคนี้ที่รู้ว่าการพอใจในชีวิตของคุณเป็นของขวัญจากพระเจ้าสำหรับมนุษย์ ไม่ใช่ทุกคนในศตวรรษนี้ถึงแม้จะได้รับพรเพียงแค่กิน ดื่ม และทำงาน ได้รับความสุขและความพึงพอใจจากมัน : มักต้องการมากกว่าแค่กิน ดื่ม และทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถสนุกไปกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ถ้าบางคนยังพอใจกับสิ่งเล็กน้อยและประสบปีติจากความต้องการและกระบวนการที่เรียบง่ายที่สุดของมนุษย์ เราสามารถพูดได้ว่าบุคคลนั้นได้รับพรจากพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัว

3:14 ฉันรู้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทำจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีอะไรจะเพิ่มเติมและไม่มีอะไรจะเอาไปจากมัน ,
อย่างที่คุณเห็น พระเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดชั่วคราวหรือเสื่อมสลาย แผนของพระองค์รวมถึงความกลมกลืนชั่วนิรันดร์ของทุกสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาลของพระองค์ การสร้างสรรค์ทั้งหมดของเขาเป็นมงกุฎแห่งความสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรเหลือเฟือในนั้น และไม่มีขาด: ทุกอย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อให้จักรวาลของพระเจ้ามีโอกาสเจริญรุ่งเรืองในการปฏิสัมพันธ์ของการสร้างสรรค์ที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
(เกี่ยวกับความจริงที่ว่าคน ๆ หนึ่งทำลายความสมดุลที่สร้างสรรค์ทั้งหมดด้วยความกลมกลืน - โซโลมอนยังคงนิ่งเงียบ)

และพระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาให้ยืนขึ้นด้วยความเกรงกลัวต่อการประทับอยู่ของพระองค์ ทำไมพระเจ้าไม่สร้างผลิตภัณฑ์ที่น่าเกลียดหรือชำรุดด้วยมือของเขาเอง? เหตุใดเขาจึงนำทุกสิ่งมาสู่ความสมบูรณ์แบบและจุดจบอันเป็นเหตุเป็นผล โดยไม่รีบร้อน แต่อย่างใด - เขาสร้าง แต่ด้วยความรับผิดชอบทั้งหมดต่อหน้าจักรวาลของพระองค์?
เพราะเขาแสดงให้เห็นตัวอย่างทัศนคติต่องานของเขา: บุคคลที่มองว่าพระเจ้าสร้างและเปรียบเทียบกับอย่างไรและสิ่งที่เขาสร้าง (รีบร้อนอย่างไม่ระมัดระวังโดยไม่เจาะลึกถึงห่วงโซ่ของความเชื่อมโยงของการสร้างสรรค์ของเขาเองเพราะเขาไม่ แม้กระทั่งเข้าใจว่ามันคืออะไรและควรคำนึงถึงอะไร) - โดยธรรมชาติแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีและคารวะต่อพระผู้สร้างที่แท้จริงของทุกสิ่ง
เฉพาะบุคคลเท่านั้นที่สามารถพูดปุนที่ไร้สาระ แต่จริง ๆ ได้:
คนคือคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เขาต้องการสร้าง และเขาต้องการที่จะทำมัน
แต่ถึงแม้เขาจะสร้าง เขาก็ยังสร้าง

3:15 สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้และสิ่งที่จะเป็นแล้วเป็นแล้ว
ทิวทัศน์บนเวทีของชีวิตบนโลกเปลี่ยนไป แต่สาระสำคัญของความหมายของการดำรงอยู่ของมนุษย์ในจักรวาลของพระเจ้านั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปชั่วนิรันดร์: บุคคลถูกสร้างขึ้นด้วยความต้องการกิน ดื่ม และพึงพอใจ ทำงาน พักผ่อน สนุกกับชีวิตและมีความสุข ความปรารถนาที่จะได้รับองค์ประกอบเหล่านี้เป็นเรื่องของกิจกรรมทั้งหมดของคนรุ่นใดในโลกตลอดเวลา

- และพระเจ้าจะทรงเรียกอดีต ไม่มีสิ่งใดจากอดีต - สำหรับพระเจ้าจะจมลงสู่การลืมเลือนและจะไม่หายไปตลอดกาล ทุกสิ่งที่พระองค์ต้องการชั่วนิรันดร์ - พระองค์จะทรงเรียกจากมุมที่ไกลที่สุดในอดีตของโลก ในคำพูดเหล่านี้ความหวังสำหรับการฟื้นคืนชีพของผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ในอดีตและการกลับไปสู่พระสัญญาแห่งสวรรค์ของพระเจ้า

3:16 ข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ เป็นที่พิพากษาและความชั่วช้าที่นั่น ที่แห่งความจริงและมีความเท็จ หากเราต้องเผชิญความอยุติธรรมดังเช่นที่โซโลมอนเขียนถึง เราไม่ควรแปลกใจ สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติมากสำหรับยุคที่ไร้ศีลธรรมนี้
แต่กษัตริย์กำลังพูดถึงอะไรที่นี่? สถานที่พิพากษาอยู่ที่ไหน? ความจริงอยู่ที่ไหน?
เรากำลังพูดถึงคนของพระเจ้า ผู้ดูแลการพิพากษาของพระเจ้า และความจริงของพระเจ้า แต่อนิจจาก็เกิดขึ้นเป็นระยะในหมู่คนของพระเจ้าตลอดเวลาของยุคนี้ว่าหลักการของพระเจ้าถูกละเมิดระหว่างการพิจารณาคดีผู้พิพากษารับสินบนและพ้นผิดและความจริงของพระเจ้า - พระวจนะของพระองค์ - ถูกบิดเบือนและแทนที่ด้วยความจริง ของมนุษย์
ดังนั้น หากแม้วันนี้เราสังเกตเห็นภาพดังกล่าวในหมู่ประชาชนของพระเจ้า เราก็ไม่ควรแปลกใจ แม้แต่โซโลมอนก็ยังสังเกตเห็นความยุ่งยากดังกล่าว

3:17 ข้าพเจ้ารำพึงในใจว่า "พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนชอบธรรมและคนอธรรม เพราะมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง และ [การพิพากษา] เหนือการกระทำทุกอย่าง"
โซโลมอนเข้าใจดีว่าไม่ว่าคนชั่วในหมู่คนของพระเจ้าจะประสบผลสำเร็จเพียงใด ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่เห็นหรือไม่เห็นชอบกับการกระทำของเขา แต่เพราะพระองค์เองทรงกำหนดเวลาและวันที่จะเข้าไปแทรกแซงและพิพากษาลงโทษ ชั่วร้าย
โซโลมอนรู้ว่าไม่ใช่คนนอกกฎหมายเพียงคนเดียวและไม่มีการละเลยกฎหมายแม้แต่คนเดียวที่จะเล็ดลอดผ่านความสนใจของพระเจ้า เวลาจะมาถึง - และทุกคนในโลกนี้จะให้การบัญชีต่อพระเจ้าสำหรับตัวเขาเอง ไม่ใช่เพื่อเพื่อนบ้านและไม่ใช่เพื่อเพื่อนร่วมความเชื่อ แต่จะตอบเฉพาะบาปของเขาเอง

3:18.19 ข้าพเจ้ารำพึงในใจเกี่ยวกับบุตรทั้งหลายของมนุษย์ เพื่อพระเจ้าจะทรงทดสอบพวกเขา และเพื่อพวกเขาจะได้เห็นว่าพวกเขาสัตว์เอง;

โซโลมอนตระหนักดีว่าพระเจ้ากำลังดำเนินการอย่างชาญฉลาดโดยเสนอ "การทดลอง" กิจกรรมประเภทต่างๆ ความหมายและการทดลองต่างๆ ให้กับบุคคลที่มีชีวิตอยู่: ตลอดช่วงชีวิตด้วยการสังเกตและผ่าน "เครื่องจำลอง" ต่างๆ บุคคลที่มีเหตุมีผลต้อง ได้ข้อสรุปว่าชีวิตของเขาไม่มีอะไรต่างไปจากชีวิตของสัตว์ โดยปราศจากการชี้นำจากพระเจ้า - ด้วยตัวเองมนุษย์ก็เหมือนกับสัตว์ เขามีความต้องการทางโลกเหมือนกัน (กิน ดื่ม นอน มีลูกหลาน จัดหาบ้าน ทำงานหาอาหาร ฯลฯ) ปัญหาทางโลกเช่นเดียวกัน (ความเจ็บป่วย วัยชรา ความชรา ความจำเป็นต้องได้รับสินค้าพื้นฐานสำหรับตัวเขาเอง ) และผลลัพธ์เดียวกัน - ความตาย:
19 เพราะชะตากรรมของบุตรมนุษย์และชะตากรรมของสัตว์เป็นชะตากรรมเดียวกัน เมื่อพวกเขาตาย สิ่งเหล่านี้ก็ตายด้วย

ดังนั้น หากบุคคลใดอยู่ด้วยตัวเขาเอง โดยปราศจากพระเจ้าในหัวและหัวใจ แท้จริงแล้วเขาคือสัตว์ และถึงแม้ใครจะจินตนาการว่าตัวเองเป็นพระเจ้า คุณจะไม่เคลื่อนไหวต่อต้านความเป็นจริงของโซโลมอน: บุคคลเป็นสัตว์ อันตรายยิ่งกว่าสำหรับจักรวาลของพระเจ้าเท่านั้น เพราะมันสามารถทำความชั่วได้เกินกว่าโปรแกรมของสัญชาตญาณ
และความจริงที่ว่ามนุษย์เป็นราชาและเทพเจ้าแห่งธรรมชาติที่มีมงกุฏแห่งการสร้างสรรค์อยู่บนศีรษะของเขานั้นล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาของความทะเยอทะยานของเขา

และหนึ่งลมหายใจ07307 ทุกคนและบุคคลไม่มีข้อได้เปรียบเหนือปศุสัตว์เพราะทุกสิ่งอนิจจัง!

คำ 07307 ในภาษาอินเทอร์ลิเนียร์ของ Strong หมายถึง:
x+wr
1. วิญญาณ;
2. ลม ลมหายใจ
3. อากาศ ;
4. ลมหายใจ

การเปรียบเทียบอย่างสมบูรณ์ระหว่างแก่นแท้ของลมหายใจของสัตว์และมนุษย์ ซึ่งทำให้พวกเขามีกระบวนการแห่งชีวิต ยังทำให้มนุษย์และสัตว์เท่าเทียมกันในระดับของการอยู่ในยุคนี้ มนุษย์ไม่ได้มาถึงจุดจบของเขาดีกว่าสัตว์ แต่ที่แย่ที่สุด - บางทีและบางทีถ้าเขาไม่หันไปหาพระเจ้า

3:20 ทุกอย่างไปในที่เดียว ทุกอย่างมาจากฝุ่นและทุกอย่างจะกลับเป็นฝุ่นธุลี
ความเป็นจริงของการสิ้นสุดของการดำรงอยู่ของมนุษย์และสัตว์ที่โซโลมอนบรรยายไว้ทำให้ทุกคนที่ฝันถึงชีวิตต่อไปหลังความตายมีชีวิตขึ้นมา ความหมายของความตายไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยของอาดัมตามที่พระเจ้าอธิบายกับอาดัมว่าเขาจะกลายเป็นฝุ่นของโลกและกลับสู่สภาพเดิมที่ไม่มีอยู่ โซโลมอนอธิบายความตายแบบเดียวกันและไม่สามารถพูดเป็นอย่างอื่นได้ เพราะพระองค์มิได้ทรงสั่งสอนชุมนุมชนด้วยพระองค์เอง แต่ทรงฟังด้วยพระปรีชาญาณของพระเจ้า
ดังนั้น ความเป็นจริงมีดังนี้ สัตว์และมนุษย์ - ที่สร้างขึ้นจากผงธุลีของดิน หลังความตาย - ทั้งคู่กลับสู่สภาพเดิมของการไม่มีอยู่และฝุ่นใต้เท้าของคนเป็น ทั้งสัตว์และมนุษย์ไม่ได้คาดหวังชีวิตหลังความตาย ดังนั้น การพูดถึงชีวิตหลังความตายจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าเทพนิยายของมนุษย์

3:21 ใครจะรู้: สปิริต07307 บุตรของมนุษย์ขึ้นไปหรือไม่ และวิญญาณของสัตว์ก็ลงไปในดินหรือไม่?
เวอร์ชันเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของวิญญาณมนุษย์ในฐานะวัตถุอมตะ - ขึ้นสู่สวรรค์ - อย่างที่เราเห็นนิทานของมนุษย์: โซโลมอนพูดตามพระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครรู้ว่าที่ไหนในตอนแรก วิญญาณของสัตว์หรือมนุษย์ไป เมื่อมันเปล่งออกมาเมื่อตาย

ประการที่สอง คำว่า 07307 ตามที่เราค้นพบ ในกรณีนี้หมายถึง "ลมหายใจ" ของบุคคลหรือสัตว์

เรากำลังพูดถึงการหายใจออกครั้งสุดท้ายของบุคคลหรือสัตว์ การสิ้นสุดชีวิตของบุคคล เนื่องจากไม่มีใครตายเมื่อสูดดม กระบวนการของกิจกรรมที่สำคัญจบลงด้วยการหายใจออกหรือการปล่อยลมหายใจส่วนสุดท้าย - อากาศออกจากปอดทำให้ผู้เสียชีวิตออกจากการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อทั้งหมด
เนื่องจากแม้แก่นแท้ของการหายใจในมนุษย์และสัตว์ก็เหมือนกัน (3:19) ปรากฎว่าทั้งสัตว์และมนุษย์เปล่งลมหายใจสุดท้ายหมดสิ้น - เท่ากันและลมหายใจสุดท้ายของทั้งมนุษย์และสัตว์ไม่ใช่ “สารที่สมเหตุสมผล” (ไม่น่าจะใช่ “วิญญาณ” ที่ออกจากร่างของผู้ตาย) แต่เพียงส่วนหนึ่งของอากาศเสียที่กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบทางเคมีเดียวกันทั้งในมนุษย์และสัตว์
ปอดที่ผ่อนคลายไม่สามารถเก็บก๊าซส่วนนี้ไว้ภายในได้อีกต่อไป ดังนั้นปอดจะออกจากปอดในช่วงเวลาที่บุคคลเสียชีวิต

เราสามารถพูดได้ว่าในระหว่างการตายของบุคคลหรือสัตว์ เศษของวิญญาณแห่งชีวิต (พลังชีวิต) ที่พระเจ้าประทานในขณะที่เกิดของเนื้อหนังทั้งหมดปล่อยให้พวกเขาหายใจออก (ดังที่เราจำได้ มันเป็นวิญญาณของ ชีวิตที่พระเจ้ามอบให้กับร่างกายของอาดัมที่พระองค์ทรงสร้าง หลังจากนั้นอาดัมก็กลายเป็น "บุคคล" ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิต ปฐมกาล 2:7)

3:22 ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าคนที่ชื่นชมในการกระทำของตน เพราะนี่คือส่วนแบ่งของเขา
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนเราเปรียบเสมือนสัตว์ในแทบทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่ทำให้เขาแตกต่างจากสัตว์ร้าย นั่นคือ จิตใจ บุคคลซึ่งแตกต่างจากสัตว์จะได้รับของกำนัลเพื่อรับความสุขอย่างมีสติจากผลของการกระทำของเขา เป็นของขวัญนี้ที่โซโลมอนเสนอให้ใช้กับบุคคลที่มีเหตุผลในช่วงชีวิตของเขา

ใครจะพาเขาไปดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากเขา? ตราบใดที่บุคคลยังมีชีวิตอยู่ มันก็สมเหตุสมผลที่จะได้รับประโยชน์จากการทำงานของเขา เพราะหลังจากความตาย บุคคลจะไม่มีโอกาสเช่นนั้น

นี่เป็นเพราะเวลาและโอกาส

สร้าง
ยูริ เอลิสตราตอฟ
Razvilka
20.12.2011

หมายเลขทะเบียน 0038591 ออกให้สำหรับงาน:

พระเจ้าให้สิทธิ์แก่มนุษย์ในการครอบครองทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างบนแผ่นดินโลก

“และพระเจ้าอวยพรพวกเขา และพระเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน และครอบครอง…” (ปฐมกาล 1.28)

สิทธินี้กำหนดความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ต่อผู้คน

พลังมหาศาลในการ "ครอบครอง" และ "ครอบครอง" ต้องการให้ผู้ปกครองคนนี้จัดการทุกอย่างที่อยู่ภายใต้เขาอย่างชาญฉลาด

ความบาปของโลกที่เราอาศัยอยู่ได้ "ทำลาย" พลังนี้ถึงระดับของ "ของเสีย" ที่เรียบง่ายและ "การบริโภค" ดั้งเดิมของทุกสิ่งที่มีชีวิตและเติบโตบนโลก แร่ธาตุ น้ำมัน ก๊าซ ซึ่งพระเจ้าได้ถ่ายโอนมาสู่มนุษย์เพื่อ การจัดการและการบริโภคอย่างรอบคอบ

ปัญหาเชิงนิเวศน์เป็นผลกรรมของมนุษยชาติสำหรับ "การพัฒนาการบริโภคที่มีอารยะธรรม"

อำนาจที่พระเจ้ามอบให้กับมนุษย์นั้นเรียบง่ายและลดลงเหลือ "การบริโภค" ที่เรียบง่ายและการสะสมความมั่งคั่งโดยคนกลุ่มเล็ก ๆ

การบริโภคและการสะสมทุนที่ไม่อาจต้านทานได้โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ ต่อความสมเหตุสมผลของขนาดของความมั่งคั่งเหล่านี้ที่อยู่ในมือของคนๆ เดียว เกิดขึ้นตรงกันข้ามกับพระบัญญัติของพระเจ้า

พอจะระลึกได้ว่าเลือดและการฆาตกรรมด้วยน้ำมือของผู้คนที่ทำสงครามเพื่อควบคุมน้ำมัน ก๊าซ และกระแสเงินสดมากน้อยเพียงใด

ความโลภ อิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท อุบาสิกาที่หนักหนาที่สุด อยู่รอบโภคทรัพย์นับไม่ถ้วน

และนี่คือความไร้สาระและความเศร้าหมองของจิตวิญญาณ เนื่องจากไม่มีคนตายสักคนเดียวที่ถือโลงศพพร้อมกับเงินของเขา

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้และในความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนสามารถประเมินได้จากความคิดของอัครสาวกเปาโล

“ทุกอย่างได้รับอนุญาตสำหรับฉัน แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทุกสิ่งได้รับอนุญาตสำหรับฉัน แต่ไม่มีสิ่งใดควรครอบครองฉัน (1 คร. 6.12).

อัครสาวกชี้ให้เห็นอีกครั้งว่าพระเจ้าอนุญาตให้ผู้คน "ครอบครอง" และกำจัดทุกสิ่งบนโลก แต่บุคคลแม้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าทุกอย่าง "อนุญาต" สำหรับเขา จำเป็นต้องมีข้อ จำกัด ทางศีลธรรมภายใน - แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง คือ “มีประโยชน์”!

แม้จะมีทุกสิ่งที่ "อนุญาต" สำหรับคน ๆ หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ดึงตัวเองเข้าสู่การสะสมความโลภเงิน

คนที่เคร่งศาสนารู้สึกดีอย่างยิ่งที่เส้นแบ่งระหว่างทุกสิ่งทุกอย่าง "อนุญาต" แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง "มีประโยชน์" และไม่ยอมให้สิ่งล่อใจทางโลก "ครอบครอง"

ทุกสิ่งเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และทุกสิ่งเป็นพระพรของพระเจ้า สิ่งนี้ประกาศโดยนักเทศน์

“มีเวลาสำหรับทุกสิ่ง และมีเวลาสำหรับทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์ มีวาระเกิด และวาระตาย มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูก มีวาระฆ่า และวาระรักษา มีวาระทำลาย และวาระสร้าง มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ เวลาไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ มีวาระกระจายหิน และวาระรวบรวมหิน เวลากอดและเวลาที่เบี่ยงเบนจากการกอด เวลาแสวงหาและเวลาที่จะสูญเสีย เวลาออม และวาระโยน เวลาฉีกและวาระเย็บ มีวาระนิ่ง และวาระพูด เวลารักและวาระเกลียด เวลาสำหรับสงครามและเวลาสำหรับสันติภาพ
... มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจงานที่พระเจ้าทำตั้งแต่ต้นจนจบ” (ปญจ. 3.1-11).

พระวรสารที่อ้างถึงมีความหมายลึกซึ้งและมุมมองเชิงปรัชญาเกี่ยวกับแก่นแท้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของบุคคล

ชะตาชีวิตมนุษย์ที่พระเจ้าประทานให้สามารถพลิกผันและเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงได้โดยสิ้นเชิง

อาจเกิดขึ้นได้ว่าบุคคลหนึ่งพบว่าตนเองอยู่ใน

และนี่อาจเกิดขึ้นได้ว่าคนฉลาด มีความสามารถ และกล้าหาญ ไม่ได้ในสิ่งที่เขาสมควรได้รับ

นี่เป็นเพราะเวลาและโอกาส

บุคคลอาจไม่เห็นการหลอกลวงและเล่ห์เหลี่ยม ตกไปใน "ตาข่ายอันตราย เหมือนนกที่ติดบ่วง" และ "จับ" ในสถานการณ์ทางโลกที่น่ารังเกียจบางประเภท

บุคคลไม่สามารถรู้ "เวลาของเขา"

เมื่อมัน "พบ" สิ่งที่ถูกต้องที่สุดในกรณีนี้โดยไม่คาดคิดจากเขา เพื่อให้ตระหนักถึงความบาปของเขา เป็นไปได้ว่าเขาทำสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตสำหรับเขา และพึ่งพาพระคุณของพระเจ้าด้วยความหวังและความรักต่อพระเจ้าพระบิดา .

“และข้าพเจ้าหันกลับมาเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ว่าวิ่งไม่คล่องตัว ไม่ใช่คนกล้าหาญ ชัยชนะ ไม่ใช่คนฉลาด ขนมปัง ไม่ใช่คนหยั่งรู้ ความมั่งคั่ง ไม่ใช่คนเก่ง ความปรารถนาดี แต่เวลาและโอกาส ทั้งหมด. เพราะมนุษย์ไม่รู้จักเวลาของเขา เมื่อปลาติดอยู่ในตาข่ายที่ทำลายล้าง และในขณะที่นกเข้าไปพัวพันกับบ่วง ลูกหลานของมนุษย์ก็ติดอยู่ในความทุกข์ใจเมื่อมันมาถึงพวกเขาโดยไม่คาดคิด
มนุษย์ไม่มีอำนาจเหนือวิญญาณในการรักษาวิญญาณ และเขาไม่มีอำนาจเหนือวันแห่งความตาย และการดิ้นรนนี้ไม่มีการปลดปล่อย และความชั่วร้ายของคนชั่วจะไม่ช่วยให้รอด (ผู้ป. 9.11-12; 8.8-9)

และนี่คือสิ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือ:

“ผู้ที่รักษาพระบัญญัติจะไม่ประสบความชั่วร้ายใดๆ จิตใจของปราชญ์รู้ทั้งเวลาและกฎ เพราะทุกสิ่งย่อมมีเวลาและกฎเกณฑ์ และเป็นการชั่วอย่างใหญ่หลวงสำหรับผู้ชายเพราะเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และจะเป็นอย่างไร - ใครจะเป็นคนบอกเขา? (ปญจ. 8.5).

พระเจ้าไม่ได้ประทานความเข้าใจในการกระทำของพระองค์แก่บุคคล ดังนั้น ทุกคนควรคาดหวังการจัดเตรียมของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพระองค์อย่างถ่อมตน

“เมื่อข้าพเจ้าหันใจให้เข้าใจปัญญาและสำรวจการงานที่ทำกันบนแผ่นดินโลกและในท่ามกลางที่คนไม่หลับใหลทั้งกลางวันและกลางคืน ข้าพเจ้าเห็นพระราชกิจทั้งสิ้นของพระเจ้าแล้วพบว่าบุคคลหนึ่งไม่เข้าใจงานนั้นคือ ทำขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่ว่าคนๆ หนึ่งจะค้นคว้าวิจัยมากแค่ไหน เขาก็ยังไม่บรรลุผลสำเร็จ และถ้าปราชญ์คนใดกล่าวว่าเขารู้ เขาก็ไม่เข้าใจ” (ผู้ป. 16-17)

แต่พระเจ้า "สร้างทุกสิ่ง ... สวยงามในเวลา และใส่โลก" ในใจของผู้คน (ผู้ป. 3.11)

มนุษย์ได้รับโอกาสอันยอดเยี่ยมจากพระเจ้าในการใช้ชีวิต ครอบครองทุกสิ่งบนแผ่นดินโลก ทุกสิ่งเป็นสิ่งที่อนุญาตสำหรับเขา

นักเทศน์ที่ซาบซึ้งในความรักของพระเจ้าที่มีต่อสิ่งมีชีวิตของเขา บอกให้ผู้คนสำนึกคุณต่อพระผู้สร้างของพวกเขา

“ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรดีสำหรับพวกเขา (เช่น สำหรับผู้คน) มากกว่าที่จะสนุกสนานและทำสิ่งดีๆ ในชีวิตของพวกเขา และถ้าใครกินและดื่มและเห็นความดีในงานของเขาทั้งหมด นี่เป็นของขวัญจากพระเจ้า (ผู้ป. 3:12).

ในความรักต่อผู้คนนี้ พระเจ้าจะทรง “เป็นนิตย์” (ผู้ป. 3.14) และความรอบคอบของพระองค์ในความรักนี้ทำให้ชาวออร์โธดอกซ์ “รู้สึกเกรงกลัวต่อพระพักตร์ของพระองค์” (ผู้ป. 3.14) พบสันติสุขในชีวิตนี้และด้วยเหตุนี้ รอดพ้นจากความกังวลและการล่อลวงทางโลก

“ฉันรู้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทำจะคงอยู่ตลอดไป: ไม่มีอะไรเพิ่มเติมและไม่มีอะไรจะเอาไปจากมัน และพระเจ้าทำในลักษณะที่พวกเขาเคารพต่อพระพักตร์ของพระองค์ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้และสิ่งที่จะเป็นเป็นไปแล้วและพระเจ้าจะทรงเรียกหาอดีต (ป. 3.15).

ผู้คนเกิดมาบนโลกและตายไป บางคนทำงานมาทั้งชีวิตและพบกับความสุขในนั้นและมีความสุข ในทางกลับกัน บางคนเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาให้แสวงหาความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตัวเองพบกับความเศร้าโศกและความวิตกกังวลอย่างต่อเนื่อง

มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสังเกตความพลุกพล่านของมนุษย์นี้ เห็น “สิ่งที่เป็นอยู่” และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว

วัฏจักรของโชคชะตาของมนุษย์บนโลกซ้ำรอยอดีต

ในวงจรนี้มีทั้งผู้เคร่งศาสนาที่พระเจ้ารักและหนุนใจ และคนบาปที่พระเจ้าลงโทษ

ความยุ่งเหยิงทางโลกดึงดูดผู้คนมากจนลืมคุณค่าทางศีลธรรมทั้งหมดที่พระเจ้าพอพระทัย

เป็นผลให้มีใครบางคนครอบงำอีกฝ่ายหนึ่งไปสู่ความเสียหายของเขา

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นมลทินและถูกลืม

นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นที่คนชอบธรรมต้องทนทุกข์ในสิ่งที่คนชั่วสมควรได้รับ และในทางกลับกัน

การพิพากษาของพระเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เพราะโดยความเมตตาของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงเปิดโอกาสให้คนบาปเปลี่ยนใจ ทูลขอการอภัยโทษจากพระองค์ และขอความเมตตาจากพระเจ้าในการยกโทษบาป

แต่พระคุณของพระเจ้านี่เองที่ทำให้คนบาปมีความมั่นใจในการไม่ต้องรับโทษ และพวกเขาไม่กลัวการพิพากษาของพระเจ้า คนบาป "ทำชั่วร้อยครั้งและซบเซา" (ผู้ป. 8.12)

ในความวุ่นวายทางโลกและความอยุติธรรมของมนุษย์ ผู้คนต้องการการลงโทษทันทีสำหรับความชั่วร้าย และลืมเรื่องความอดกลั้นของพระเจ้า พวกเขาร้องว่า "พระเจ้าของคุณอยู่ที่ไหน"

“มีบางครั้งที่คนๆ หนึ่งจะปกครองคนๆ หนึ่งเพื่อสร้างความเสียหายให้กับเขา ข้าพเจ้าเห็นว่าคนชั่วถูกฝังไว้ และพวกเขากลับมาจากสถานบริสุทธิ์ และถูกลืมในเมืองที่พวกเขาทำเช่นนั้น และนี่คือความไร้สาระ! การตัดสินความชั่วยังไม่เสร็จในเร็วๆ นี้ จากนี้ใจของบุตรมนุษย์ไม่กลัวที่จะทำชั่ว แม้ว่าคนบาปจะทำความชั่วร้อยครั้งและซบเซาในนั้น แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นการดีสำหรับผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าผู้ยำเกรงต่อพระพักตร์พระองค์ แต่คนชั่วจะไม่สบาย และเหมือนเงา ผู้ที่ไม่ยำเกรงพระเจ้าจะอยู่ได้ไม่นาน ความโกลาหลเกิดขึ้นบนโลกเช่นกัน คนชอบธรรมถูกรุมเร้าด้วยสิ่งที่คนชั่วสมควรได้รับ และสิ่งที่คนชอบธรรมสมควรได้รับ และฉันก็พูดว่า: นี่คือความไร้สาระ! (ผู้ป. 8.9-14).

ผู้เคร่งศาสนาและคนบาปจะต้องอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า - เมื่อพวกเขาบรรลุจุดประสงค์ของการอยู่ในโลกนี้

“ข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ด้วย เป็นที่พิพากษาและที่นั่นไม่มีกฎหมาย ที่แห่งความจริงและมีความเท็จ ข้าพเจ้ารำพึงในใจว่า “พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนชอบธรรมและคนอธรรม เพราะเวลาสำหรับทุกสิ่งและการตัดสินของการกระทำทุกอย่างอยู่ที่นั่น” (ผู้ป. 3:16-17)

และนี่คือสิ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือการพิพากษาของมนุษย์อีก:

“หากคุณเห็นว่าการกดขี่ของคนจนและการละเมิดคำพิพากษาและความจริงในด้านใด ก็อย่าแปลกใจกับสิ่งนี้ เพราะผู้สูงวัยกำลังเฝ้าดูที่สูง และผู้ที่สูงกว่า (เช่น การพิพากษาของพระเจ้า) กำลังเฝ้าดูเขาอยู่ ” (ปญจ. 5.7)

ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าถูกแทนที่บนโลก และในแต่ละรุ่นผู้คนทำบาปซ้ำซากที่บรรพบุรุษและปู่ของพวกเขาทำ

เป็นคนเช่นนั้นเองที่นักเทศน์ประณามและเปรียบเทียบพวกเขากับสัตว์ โดยกล่าวว่าพวกเขาไม่มี “ข้อได้เปรียบเหนือวัวควาย”:

“ข้าพเจ้าพูดในใจเกี่ยวกับบุตรของมนุษย์ (นั่นคือ คนบาป) เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงทดสอบพวกเขา และเพื่อพวกเขาจะเห็นว่าพวกเขาเองเป็นสัตว์ เพราะชะตากรรมของบุตรมนุษย์และชะตากรรมของสัตว์เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อพวกเขาตาย สิ่งเหล่านี้ก็ตายด้วย และทุกคนก็มีลมหายใจเดียวกัน และคนๆ หนึ่งไม่มีข้อได้เปรียบเหนือวัวควาย เพราะทุกสิ่งอนิจจัง! ทุกอย่างไปในที่เดียว ทุกอย่างมาจากฝุ่นและทุกอย่างจะกลับเป็นฝุ่นธุลี ใครจะรู้ว่าวิญญาณมนุษย์ขึ้นไปข้างบนหรือไม่และวิญญาณสัตว์ลงมายังโลกหรือไม่? (ผู้ป. 3.18-21).

ในการประณามของนักเทศน์นี้ ชะตากรรมของคนบาปเปรียบได้กับ "ชะตากรรมของสัตว์" แต่ไม่เหมือนคนบาป แม้แต่วิญญาณของสัตว์ "ลงดิน"

คำพยากรณ์นี้ยังสามารถเข้าใจได้ในลักษณะที่คนบาปไม่มีข้อได้เปรียบ "เหนือวัวควาย" ยิ่งกว่านั้น ยังไม่ทราบว่าพระพรของพระเจ้าจะกำจัด "และวิญญาณของสัตว์ลงสู่ดิน" และ วิญญาณของคนบาป "ขึ้นไป"?

เราเสริมส่วนนี้ด้วยคำจากสดุดี:

“...ผู้โง่เขลาและไร้สติพินาศและทิ้งทรัพย์สินของตนให้ผู้อื่น ในความคิดของพวกเขา บ้านของพวกเขาคงอยู่ชั่วนิรันดร์ และที่อยู่อาศัยของพวกเขามีรุ่นต่อรุ่น และพวกเขาเรียกดินแดนของพวกเขาด้วยชื่อของพวกเขาเอง แต่มนุษย์จะไม่ดำรงอยู่อย่างมีเกียรติ เขาจะเป็นเหมือนสัตว์ที่พินาศ วิธีของพวกเขานี้เป็นความโง่เขลาของพวกเขาแม้ว่าผู้ที่ปฏิบัติตามพวกเขาจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของพวกเขา ... เขาจะไปหาบรรพบุรุษของเขาซึ่งจะไม่มีวันเห็นแสงสว่าง คนที่มีเกียรติและโง่เขลาก็เหมือนสัตว์ที่พินาศ “(สดุดี 48.11-21)

มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และเขาไม่มีอำนาจเหนือจิตวิญญาณ และไม่มีอำนาจที่จะเลื่อนวันแห่งความตาย ไม่ว่ายาใหม่ ๆ ที่ผู้คนคิดค้นขึ้นก็ตาม

ได้เวลาโปรยหิน และเวลาเก็บหิน

ความลับของศตวรรษที่ยี่สิบ

1.

ความลับอะไรซ่อนอยู่และมีความลับในวลีนี้หรือไม่? หรือข้อมูลถูกเข้ารหัสตลอดหลายศตวรรษเพื่อลูกหลาน? หรือความหมายลับหรือเพียงปริศนาที่จะคาดเดามานานหลายศตวรรษ?
วลีนี้ดึงดูดจิตใต้สำนึกที่มีความหมายลึกซึ้ง มีบางอย่างที่มหัศจรรย์และน่าหลงใหลเกี่ยวกับเธอ ปรากฏขึ้นเป็นระยะๆ ปรากฏขึ้นระหว่างการสนทนา การสนทนา ข้อพิพาท บ่อยขึ้นในกลุ่มผู้ชาย
วลีโบราณ - อุปมาถูกขับเคลื่อนโดยจุดเริ่มต้นบางอย่าง เหตุการณ์ลึกลับ
ผู้ชายและผู้หญิงรู้สึกแตกต่างกัน

นิพจน์นี้หมายความว่าอย่างไร คุณสามารถพบการตีความที่ผิดปกติได้แม้กระทั่งจากผู้ที่จำเป็นต้องรู้ความหมาย เนื้อหาของวลีนี้
หากมีข้อมูลใด ๆ จากคณะสงฆ์ก็ต่างกัน คนงานของศาสนาไม่สามัคคี เราจะพูดอะไรเกี่ยวกับประชาชนได้
นิพจน์ที่น่าสนใจที่สุดได้รับความนิยมในสหภาพเพื่อหว่านความรู้นิรันดร์ (กระจาย) ให้กับครูแล้วรวบรวม (ผล) สมัยนั้นแม่เป็นครูและ “หว่านสิ่งมีเหตุมีผล ความดี นิรันดร์” ข้าพเจ้ามักได้ยินบ่อยๆ คำพูดของ Nekrasov แบบคลาสสิกที่มีต่อผู้หว่านในทุ่งนากลายเป็นวลีที่จับใจในการสอนของสหภาพตามที่ปรากฎพร้อมความหมายแฝงที่ผิดปกติ
ด้วยการถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ต ปรากฎว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีคำอธิบาย มีตัวเลือกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น ล่ามของพระคัมภีร์ในด้านนี้เพียง - หลีกเลี่ยงการสนทนา
เป็นที่ยอมรับว่ามีข้อโต้แย้งที่รอบคอบสวยงามของนักศาสนศาสตร์ นักศาสนศาสตร์ และพลเมืองทั่วไป บุคคล ชะตากรรมของเขา โลกภายใน เขาอยู่คนเดียวกับตัวเอง ในสังคม ในชีวิต แต่เป็นเพียงหนึ่งในหลายทางเลือก

รุ่นที่ผิดปกติ หนึ่งการผูกปม และ STONES?

วลีนี้เป็นคำอุปมาจาก "พระคัมภีร์ของชาวยิว" นั่นคือจากพระคัมภีร์ในภาษาฮีบรู ภาษาฮีบรู
"พระคัมภีร์ของชาวยิว" เรียกว่าพันธสัญญาเดิม
"จดหมายของชาวยิว" เรียกว่าพันธสัญญาใหม่และอยู่ในพระคัมภีร์ในภาษากรีกโบราณ ..
ในปี พ.ศ. 2419 พระคัมภีร์ได้รับการแปลเป็นภาษารัสเซีย การแปลเรียกว่า "เถรวาท" และดำเนินการด้วยความรู้และการควบคุมของเถร

หนังสือนักเทศน์ (ปัญญาจารย์) จากพระคัมภีร์ บทที่ 3 อุปมา 1 ถึง 22

1. มีเวลาสำหรับทุกสิ่ง และสำหรับทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์
2. เวลาเกิดและวาระตาย มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูก
3. เวลาฆ่า และวาระรักษา มีวาระทำลาย และวาระสร้าง
4. เวลาร้องไห้ เวลาหัวเราะ เวลาไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ
5. เวลากระจายหิน และเวลารวบรวมหิน
เวลากอดและวาระหลีกเลี่ยงการกอด
6. เวลาแสวงหา และเวลาเสีย เวลาออม และวาระโยน
7. มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ มีวาระนิ่ง และวาระพูด
8. เวลารัก เวลาเกลียด เวลาสงคราม และ เวลาสันติ

ปัญญาจารย์มีอีก 14 ประเด็น เราต้องการเพียงแปดเพื่อความเข้าใจ เพราะจุดเริ่มต้น คำว่า TIME และคำนี้อยู่ใน 8 แต้มแรก
มีเนื้อหาที่ชัดเจนมาก แม้แต่ในพระคัมภีร์สำหรับเด็กที่เป็นที่นิยม
ไม่มีใครสามารถอธิบายจุดที่ห้าได้ แต่มีเวอร์ชันทั่วไปหลายเวอร์ชัน

1. การทำนา ดินหิน เอาหินไปหว่าน
2. รวบรวมหินสร้างรั้ว
3. ความยุติธรรม พวกเขารวบรวม ขว้างก้อนหินใส่อาชญากร
4. หลังจากสงครามและพวกเขาอยู่ตลอดเวลาพวกเขารวบรวมหินที่พวกเขาต่อสู้สร้างบ้านเรือน
5. นักรบหยิบหินก้อนหนึ่ง โยนเข้ากอง โต้กลับ เอาหิน ที่เหลือก็ฆ่า
6. หนี้, หินกระจัดกระจาย, จ่ายแล้ว, รวบรวมหิน;
7. บาป บาป ถึงเวลาชดใช้บาปแล้ว

ทำงานเกี่ยวกับการประเมินการตายของกลุ่มนักท่องเที่ยว Dyatlov ในเทือกเขาอูราลการเชื่อมต่อเนื้อเพลงของ Vysotsky กับธีมรวมถึงการค้นหาเนื้อหาเกี่ยวกับตำนานนิทานของชาวอูราลในเอกสารอ้างอิงเกี่ยวกับ ตำนานของ Spirits of the Mountains ฉันพบข้อมูลที่น่าสนใจบางอย่าง
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือพวกเขาสะท้อนแนวความคิดจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับ ... หิน

จากภูมิศาสตร์ของพันธสัญญาเดิม
จากพระเจ้า อับราฮัมได้รับประเทศ ประเทศ นี่คือพระคัมภีร์ และในพระคัมภีร์ไบเบิล พันธสัญญาเดิม
ตัวอย่างเช่น ในพันธสัญญาเดิม บ่อน้ำคือภาชนะสำหรับเก็บน้ำ
หินก็คือหิน
บนภูเขาซีนาย โมเสสได้รับแผ่นจารึกแห่งพันธสัญญาจากพระเจ้า
มีหินมากมายบนภูเขาซีนาย ... ทางเดินหิน

กล่าวคือในพระคัมภีร์ หินมีไว้เพื่อจุดประสงค์ หินคือหิน และอยู่บนภูเขา

จากคำอธิบายในพระคัมภีร์
ภูเขาคือพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ ... พันธสัญญาใหม่ - พระคริสต์
คริสตจักรเป็นภูเขาสูงที่รดน้ำด้วยพระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์
การตีความสำนวนนี้ทำให้หินบนภูเขาสูง - โบสถ์ ฝูงสัตว์ ผู้คน

พระคัมภีร์มีไว้สำหรับมนุษย์
ในพระคัมภีร์ อับราฮัมเป็นมนุษย์ ได้รับประเทศจากพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ โมเสสเป็นมนุษย์ ได้รับแผ่นจารึกจากพระเจ้า

ในข้อมูลที่มีอยู่เกี่ยวกับพระวิญญาณ พวกเขาต่างกัน พูดและเขียนหลายครั้ง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาอยู่ที่นั่น ส่วนใหญ่ในตำนาน ในประเพณีพื้นบ้าน การบูชา ในตำนาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ในศาสนา
SPIRIT จิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งในเชิงความเข้าใจเสมือนจริงและจับต้องได้ จากคำว่า SPIRIT

ในวรรณคดีเกี่ยวกับวิญญาณที่ฉันอ่าน
“หนึ่งในชนชาติของโลกมีความเชื่อ… วิญญาณแห่งขุนเขา พระเจ้าเป็นคนแรกที่แกะสลักจากหิน หินแห่งภูเขา ยังไม่มีอดัมกับอีฟ...
พระองค์ทรงสร้างบุตรธิดาของพระวิญญาณ ศิลาบนภูเขา…”

ความเชื่อไม่ได้มีอยู่ในหมู่คนกลุ่มเดียวในการเล่าเรื่องเกี่ยวกับตำนานหลาย ๆ แบบผสมผสานกันในหลายเชื้อชาติ

2.
“วาระโปรยหิน และวาระรวบรวมหิน”

คำอุปมาของข้อความในพระคัมภีร์มักถูกเรียกว่าแปลก เหตุใดจึงกระจายหินเพื่อรวบรวมในภายหลัง

ความหมายที่ซ่อนเร้น อุปมาอุปมัยจากความเชื่อโบราณ ตำนานโบราณ เมื่อพระเจ้าไม่มีแม้แต่บุคคลในแผนการของเขา ไม่มีอดัม ไม่มีซี่โครง
ความหมายของคำอุปมาเกี่ยวกับหลักการทางกายภาพของผู้ชาย เมล็ดพันธุ์ของเขา ซึ่งให้ชีวิตแก่มนุษย์ใหม่ ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "หลักการของผู้ชาย"

หินตามตำนานเกี่ยวกับวิญญาณก่อนการสร้างมนุษย์คือเด็กเด็ก
จากความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณต่างๆ รวมถึงเขาศักดิ์สิทธิ์ หินบนภูเขาคือลูก พระเจ้าสร้างมันขึ้นมาก่อนที่มนุษย์จะปรากฏตัว และนี่คือลูกของวิญญาณแห่งขุนเขา
ความเข้าใจเป็นอุปมา ไม่มีเหตุผลที่จะจับผิดกับตัวอักษรแต่ละตัว ทุกอย่างมาจากตำนาน ตำนานเกี่ยวกับโลกยุคแรก หินเป็นเด็กในตำนานหินที่มีชีวิต
หินมีการเคลื่อนไหวตามความจริงในพระคัมภีร์ไม่มีคำพูดโดยตรงว่า "เด็ก ๆ เป็นดอกไม้แห่งชีวิต" แต่มีปีติและพวกเขาก็นำความสุขมาให้
ไม่ใช่เครื่องตกแต่งชีวิต ดอกไม้ก็คือลูกๆ

กษัตริย์โซโลมอนแห่งเยรูซาเลม ราชโอรสของดาวิด (ดาวิดอฟ) ได้รวบรวมคำอุปมาในพระคัมภีร์ไบเบิล ความจริงเชิงคำแนะนำที่บุคคลต้องการจากผู้เขียนหลายคน แต่ยังรวมถึงของเขาเองด้วย
ในคำอุปมาของเขา เขาสอน แนะนำ เตือน สั่งสอนบุคคล แต่ยังโต้แย้ง ปรัชญา
จากประสบการณ์ชีวิต คาดการณ์ลักษณะวัฏจักรของกระบวนการ
เขาไม่เชื่อในอาณาจักรของพระเจ้าที่อยู่นอกโลก แต่บนพื้นฐานของประเพณีที่เขาไตร่ตรอง เขาเป็นนักคิด ทำนายอนาคตอย่างชาญฉลาด
อนาคตคือ KIDS!

“ ถึงเวลาโปรยหิน…” - ผู้ชายเพื่อกระจาย SEED เมล็ดพันธุ์ชายลูกจากมัน
การหว่านเมล็ดมักกล่าวถึงการถอดรหัสซึ่งหมายถึงการเกษตร อันที่จริงเมล็ดพันธุ์อื่นสวนอื่น ไถเตียงแล้วคลายเตียงและมีรูสำหรับเมล็ดอื่น ๆ ของมนุษย์ซึ่งในตอนแรกให้ชีวิตแก่ชายร่างเล็ก

“...เวลาเก็บหิน” คือการรวบรวมลูกผลที่หว่านลงไป
เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น ถ้าโตมา จะยกย่องใคร กอด จะด่าใคร อบรมสั่งสอน กระทั่งกอด

เราอ่านย่อหน้าที่ 5 ของปัญญาจารย์

“วาระกระจายหิน และวาระรวบรวมหิน
มีวาระโอบกอด และวาระหลีกเลี่ยงการกอด”

เงื่อนงำสุดท้ายอยู่ในครึ่งหลังของอุปมานี้ และกษัตริย์โซโลมอนก็จงใจวางตามลำดับนั้น
พูดครึ่งแรกว่า "เวลาโปรยก้อนหิน และเวลาเก็บหิน" พวกเขาแค่ลืมเรื่องส่วนที่สองไป และมันเป็นกุญแจสำคัญในการไขส่วนแรกของคำอุปมา ..

"เวลากอด" ...เด็กดี
"...เลี่ยงการกอด"...เด็กดื้อ

ในทั้งสองกรณี "เมื่อคุณหว่าน คุณก็จะเก็บเกี่ยวอย่างนั้น!"
คำอุปมาที่มีอยู่ในความเชื่อใด ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ แต่ความหมายเหมือนกัน และตั้งแต่สมัยโบราณ เดิมทีมีความหมายว่า "หว่าน" ... เมล็ดพันธุ์ชาย
เมื่อเวลาผ่านไป มันถูกแปรสภาพเป็นพืชผล เกษตรกรรม เมล็ดพืชทางการเกษตร

การแปลหนังสือนักเทศน์เป็นการรวมกันอย่างแม่นยำในลำดับการสร้างวลีและคำตอบ ข้อความ
ส่วนที่สองของวลีพูดเพื่อตัวเองจำเป็นต้องเข้าใจว่าจะกอดใคร
เด็กดีทันที มีความสุขในวัยชรา ให้กำเนิดบุตรและอนาคต
ไม่ใช่ทันทีที่หลบอ้อมกอด...แต่...เด็กเลว ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

กอดใครได้บ้าง
เกี่ยวกับผู้หญิง ไม่ใช่คำใบ้ แม้แต่คำใบ้ เพื่อเป็นเกียรติแก่บิดามารดา บิดามารดา ในอุปมาอื่นๆ

หนังสือนักเทศน์สำหรับผู้ชาย
ภารกิจหลักของมนุษย์คือความต่อเนื่องของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ในคำอุปมาเรื่อง “เวลาโปรยก้อนหิน และเวลาเก็บก้อนหิน” วิญญาณชาย ความแข็งแกร่ง พลังแห่งความหนักหน่วงของคำว่า หิน พลังของสิ่งเร้าสู่ชีวิต ชีวิตเอง และนี่คือเมล็ดพืชของมันคือ ฝังตัว
ในย่อหน้าของบทที่ 3 ของปัญญาจารย์ที่เราเห็นและอ่าน
เรากำลังพูดถึงบุตรมนุษย์ ชะตากรรมของบุตรมนุษย์ วิญญาณของบุตรมนุษย์ ชะตากรรมของพวกเขา - ความต่อเนื่องของชีวิตบนโลก เผ่าพันธุ์มนุษย์
จุดที่ 18 ของปัญญาจารย์ “ข้าพเจ้าได้พูดในใจเกี่ยวกับบุตรมนุษย์…”

วัฏจักรนิรันดร์ของจักรวาลและมนุษย์ในนั้น
นักเทววิทยาโบราณเตือนว่าไม่ใช่ทุกสิ่งในแนวของปัญญาจารย์ควรได้รับการพิจารณาอย่างแท้จริง แม้จะมีทัศนะนอกรีตก็ตาม
STONE ความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งของมัน ต้านทาน ลองมันทำลายมัน
หินมีความแข็งแรงเหมือนเพชร ไม่มีสิ่งใดทำกับเขาในเปลวไฟ น้ำไม่ได้ทำให้เขาคม และปราชญ์โบราณระบุตัวเขา -
เมล็ดพันธุ์ชาย
ในตำนานของผู้คน ทุกสิ่งบนโลกล้วนมีชีวิต ก้อนหินเหล่านี้มีชีวิตและได้ลงทุนกับความหมายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว MOUNTAIN เป็นพ่อแม่ หินบนภูเขาคือลูกของเขา

คำสำคัญคือ "เวลา" ฉันจะอธิบายอีกครั้ง 8 คำอุปมา ที่คำว่า TIME

“ทุกสิ่งมีเวลาของมัน” ซึ่งเป็นวลีสำคัญของทั้งบทที่ 3 อยู่ในอุปมาแรกสุด และจัดส่วนที่เหลือไว้ในที่ที่จัดสรรไว้

คำอุปมาเรื่อง “เวลาโปรยก้อนหิน และวาระรวบรวมก้อนหิน” ในข้อความเกี่ยวกับเวลา ถูกวางไว้ใต้ 5 คะแนนจาก 8 เกือบจะอยู่ตรงกลาง
เฉลี่ยอายุที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ชายที่จะสร้างเด็กอย่างมีสติ
ในวัยนี้ ประเมินอย่างเป็นกลางว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ล้มเหลวมีเวลาที่จะแก้ไขการศึกษา

"...เวลากอด เวลาเลี่ยงกอด"
คำว่า "หลีกเลี่ยง" ไม่ใช่การปฏิเสธอย่างเด็ดขาด งดเว้นชั่วคราว

พระคัมภีร์จัดอยู่ในประเภท "วรรณกรรมแห่งปัญญาแห่งตะวันออกโบราณ" ปัญญา ความจริงในความหมายที่ลึกที่สุดของกระบวนการชีวิตมนุษย์บนโลก ภูมิปัญญาขึ้นอยู่กับประเพณี ตำนาน ตำนานของโลกโบราณ

เมื่อไม่เคารพอดีต ก็ไม่มีปัจจุบัน ไม่ใช่โดยตรง แต่ทั้งหมดมาจากการแปลพระคัมภีร์ทุกนิกาย
จดจำอดีต เข้าใจปัจจุบัน มองไปยังอนาคต

3.
คำพยากรณ์เป็นหนึ่งในของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

25 ธันวาคม 2014 บนเว็บไซต์ PROSE, POETRY ฉันตีพิมพ์บันทึกความทรงจำ
"กางเกงรัดรูปผู้หญิงมีพลังที่น่ากลัวและ ... สยองขวัญ!" ชื่อแปลกแต่มีความหมาย
ในปี พ.ศ. 2502 ภายใต้สถานการณ์ที่ผิดปกติอย่างลึกลับ กลุ่มนักท่องเที่ยวของสถาบันสารพัดช่าง Sverdlovsk เสียชีวิตในเทือกเขาอูราล โศกนาฏกรรมครั้งนี้เรียกว่าความลับของศตวรรษที่ยี่สิบ
ฉันรู้บางสิ่งบางอย่างตอนนี้อินเทอร์เน็ตให้โอกาสในการค้นหารายละเอียดของเหตุการณ์ไม่ จำกัด ฉันเขียนเผยแพร่
ในช่วงปลายยุค 50 ชาวบ้านในท้องถิ่นของการตั้งถิ่นฐานของอูราลทางเหนือ MANSI ผู้คนซึ่งปัจจุบันเป็นเขต Khanty-Mansiysk ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้
ผู้คนในธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกับพลังแห่งธรรมชาติ เข้าใจมัน รับของกำนัลจากมัน ให้มันสุดความสามารถ เขาอาศัยอยู่ในสมัยนั้นตามกฎของภูเขา เชื่อฟังหมอผี เคารพอดีตและสำคัญมาก - ประเพณีของสมัยโบราณ รวมถึง "อย่าไปที่นั่น ไปที่นี่"
เขาให้เกียรติคำทำนายในตำนานเกี่ยวกับ "ภูเขามรณะ" โฮลัต-ชาห์ล ซึ่งเสียชีวิตไปประมาณเก้ารายในช่วงน้ำท่วม เตือนกลุ่มทัวร์ว่า "อย่าไปที่นั่น" ในเวลานี้ มายังสถานที่แห่งนี้
กลุ่ม - เด็ก,
นักเรียนไม่เชื่อฟังผู้เฒ่าผู้รักษาตำนานไปและตาย
พวกเขาเสียชีวิตบนภูเขามันยังมีชีวิตอยู่ตาม MANSI หินบนภูเขานั้นมีชีวิตตามตำนาน - พวกเขาเป็นลูกของภูเขาลูกของภูเขา
ลูกของมนุษย์เสียชีวิต ลูกมนุษย์ เก้าชีวิต

คำทำนาย คำทำนายของนอสตราดามุส

“จากฝูงมนุษย์ NINE จะถูกแยกออก
พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้ยินคำแนะนำและความคิดเห็น
ชะตากรรมของพวกเขา...
- ฆ่า, ไล่ออก, สูญหาย ... "

คำทำนายมากมายขึ้นอยู่กับวัฏจักรของกระบวนการ นั่นคือ มันเคยเกิดขึ้นแล้ว
คำทำนายที่มีชื่อเสียง คำทำนาย - คำเตือนสำหรับมนุษยชาติ

คำทำนายต้องคลี่คลาย
เกิดขึ้นมากมายและ ... ความผิดหวังเพราะพระคัมภีร์หรือนอสตราดามุสเตือนเรื่องนี้

พระคัมภีร์ลงวันที่โดยหนังสือแต่ละเล่มจากคริสตศักราช ต้นฉบับที่รวบรวมโดยกษัตริย์โซโลมอนในช่วงปี 965-928 ปีก่อนคริสตกาล
การตีความหนังสือแตกต่างกัน ความลับ ปริศนา เวทย์มนต์ดึงดูดความอยากรู้อยากเห็น เบาะแสทำให้คุณนึกถึงปัญญา ความเรียบง่ายของความจริง

Nostradamus, 1503 - 1566, แพทย์, นักเล่นแร่แปรธาตุ, เภสัชกร, นักโหราศาสตร์, นักทำนาย, มีส่วนร่วมในการทำนายในช่วงชีวิตของเขา เขาออกแบบงานของเขาในปูมและตีพิมพ์
คำทำนายตั้งแต่สมัยโบราณถึงอนาคต ความลับและความลึกลับก่อนและกับมนุษย์นอสตราดามุสรู้ภูมิปัญญาของพระคัมภีร์เป็นอย่างดีใช้วิทยาศาสตร์ของปีเหล่านั้นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
แน่นอนสมมติฐานของกษัตริย์โซโลมอนการแสดงออกที่มีชื่อเสียงมานานหลายศตวรรษ - "การตัดสินใจของโซโลมอน"
การประนีประนอม การตัดสินใจที่ถูกต้องเท่านั้น "ไปที่จุดนั้น"

ฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันเชื่อในบางสิ่ง กระบวนการที่ผิดปกติมากมาย ... ฉันไม่เคยเรียนรู้ ... ที่จะเชื่อ
แต่ฉันคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เห็นได้ชัดในจิตใต้สำนึกบางสิ่งบางอย่างจากความอยากรู้อยากเห็นแน่นอนความปรารถนาที่จะค้นหาสิ่งที่ใช่ฉันค้นหาและพบความจริงในวัยของฉัน
ค้นเจอ บังเอิญ ได้ไอเดียมาร่วมไขปริศนาดังโบราณ
ความจริงตามพระคัมภีร์ - คำอุปมา
"เวลากระจายหิน และเวลาเก็บหิน"

ในหน้าของ PROSE ร.

ความคิดเห็น

คำพูด - คำอุปมาของข้อความในพระคัมภีร์มักถูกเรียกว่าแปลกทำไมหินกระจาย

ฉันจะบอกว่ากระพือปีกออกจากที่นั่นหรือวางไว้ที่นั่นเพื่อจุดประสงค์บางอย่างหรือพยายามซ่อนอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
คุณไม่ใช่คนแรกที่พยายามรับรู้ถึงสิ่งที่เข้าใจยาก - สง่าราศีและคำชมเชยสำหรับงานของคุณ

มีการแสดงออกที่คลุมเครือไม่มากนัก (ฉันจะบอกว่ามนุษย์ต่างดาวและหลุดออกมา) แต่ก็มีอยู่จริง
การคำนวณนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่านิพจน์ที่เข้าใจยากเหล่านี้จะเชื่อมโยงกับคำพูดที่มีเหตุผลมากขึ้นเพื่อให้เกิดความสับสนอย่างเหมาะสม

นี่เป็นวิธีการถ่ายทอด "ความรู้ที่มีชีวิต" ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาหลายศตวรรษในรูปแบบรังไหม และไม่สามารถเข้าถึงความเข้าใจด้วยจิตใจที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

มีเวลาโปรยหินและมีเวลาเก็บหิน

ทำไมหินกระจาย?
และยิ่งกว่านั้น ทำไมต้องเก็บหิน?
การสะสมและขว้างก้อนหินมีประโยชน์อย่างไร?
ทำไมคนพูดอย่างนั้น?

สำหรับคำตอบเกี่ยวกับหิน ดูโพสต์นี้

แหล่งที่มาหลักของการให้เหตุผลเกี่ยวกับหินคือบทที่ 3 ของปัญญาจารย์ กล่าวถึงหินในบริบทของการเปลี่ยนแปลงวัฏจักรที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ มนุษย์ และกิจกรรมของเขา ยิ่งกว่านั้น เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ กิจกรรมของมนุษย์ก็มีองค์ประกอบที่สร้างสรรค์และทำลายล้าง

ในธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไป ปรากฏการณ์บางอย่างจะถูกแทนที่ด้วยสิ่งที่ตรงกันข้าม และผลรวมของพวกมันแสดงถึงสองด้านของกระบวนการเดียว นี่คือวิธีที่โลกทำงาน ลมจะตามมาด้วยฝน ฝนจะตกตามดวงอาทิตย์ เป็นต้น

สิ่งที่คล้ายกันเกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์: เวลาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเหตุการณ์บางอย่างถูกแทนที่ด้วยเหตุการณ์ที่ตรงกันข้าม (“เวลาเกิดและวาระตาย”, “วาระเก็บและวาระใช้”, “วาระหนึ่ง” นิ่งเงียบและวารพูด”, “วาระปลูก และวาระถอนรากถอนโคน” “ถึงแม้เสียงหัวเราะ บางครั้งใจก็เจ็บ และสิ้นสุขก็ทุกข์”)

ทุกสิ่งในโลกล้วนมีจุดเริ่มต้นและทุกสิ่งมีจุดจบ นอกจากนั้น ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นตามเวลาที่กำหนด

ทุกสิ่งมาจากผงคลี และทุกสิ่งจะกลับเป็นผงธุลี (ปัญญาจารย์ 3:20)

ผู้สร้างมีประโยชน์อะไรในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่?
ฉันเข้าใจงานที่พระเจ้ามอบให้กับบุตรมนุษย์เพื่อแก้ปัญหา:
ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นสมบูรณ์แบบในสมัยของเขา (ปัญญาจารย์ ch. 3)

นั่นคือวิภาษวิธีของธรรมชาติและวิถีธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้เข้าใจได้ แต่หินเกี่ยวข้องอะไรกับมัน?

เห็นได้ชัดว่าครั้งหนึ่งการขว้างและเก็บหินเป็นการกระทำที่สำคัญ และในปัจจุบันก็ไร้ความหมายใดๆ ในทางปฏิบัติสำหรับเรา ในสมัยโบราณสำหรับการก่อสร้างโครงสร้างจำนวนมากจำเป็นต้องรวบรวมหินและเมื่อโครงสร้างเริ่มพังทลายลงเป็นครั้งคราวก็ต้องรื้อและรื้อถอน นอกจากนี้ ในระหว่างการจู่โจมของ "คนป่าเถื่อน" ทุกประเภทที่นั่น ศัตรูทำลายโครงสร้างเหล่านี้และกระจายส่วนประกอบของโครงสร้างเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพที่ไม่มี "หินบนหิน" (วัฏจักรของหินในธรรมชาติ 🙂)

นั่นคือทั้งหมดที่ สำหรับคนทันสมัย ​​คำพูดเกี่ยวกับหินเป็นอุปมานิทัศน์ กล่าวคือ สำนวนที่มีความหมายที่ซ่อนอยู่ และความหมายนี้มีดังต่อไปนี้ มีความจำเป็น เวลา และเงื่อนไขสำหรับการทำลาย มีความจำเป็น เวลา และเงื่อนไขสำหรับการสร้าง ไม่ก่อนหน้านี้ไม่ภายหลัง กิจกรรมของบุคคลที่มีเหตุมีผลสอดคล้องกับหลักการนี้อย่างสมบูรณ์ สำหรับคนโง่ เขาทำ "อย่างที่พระเจ้าใส่จิตวิญญาณของเขา" อันที่จริงเพราะพฤติกรรมนี้ เขาจึงกลายเป็นคนเย็นชา 🙂 “เมื่อวานเช้า พรุ่งนี้ก็สาย และวันนี้ก็ใช่!” - Vladimir Ilyich กล่าวและสั่งให้ยิงจากออโรรา 🙂

บางคนลงทุนในคำเหล่านี้นอกจากนี้ยังมีเหตุและผลมากมาย ในแง่ที่ว่าการกระทำทั้งหมดของเราเกิดผลในที่สุด พระองค์ทรงหว่านความดี ความดี และรวบรวมไว้ เมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายกระจัดกระจาย ... อย่าตำหนิฉัน - รับสิ่งที่คุณหว่าน

เมื่อคุณได้ยินคนพูดถึงหิน พยายามคิดให้ออกว่าเขาหมายถึงอะไร เป็นไปได้มากว่านี่คือนกแก้วธรรมดาที่ไม่เข้าใจคำศัพท์ที่ออกเสียง หากไม่มีวิธีถามคำถามที่ชัดเจนกับผู้พูด คุณก็เพิกเฉยต่อคำเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย ก็แค่ผู้ชายที่พยายามจะดูฉลาดมาก! และคนที่พยายามจะดูฉลาดมากมักจะสงสัยในความแข็งแกร่งของจิตใจ อย่าทำให้เขาเสียใจ! 🙂

บันทึก

2. บทความต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับหัวข้อในพระคัมภีร์ไบเบิลในบล็อก:
➡
➡
➡
➡
➡

คล้ายๆ กับ Postscript

จำเป็นต้องใช้หินเสมอ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาถูกรวบรวมอยู่เสมอ สิ่งแรกที่ชาวโรมันเริ่มต้นด้วยการพัฒนาดินแดนที่ถูกยึดครองคือการสร้างถนนและบนที่ตั้งของการตั้งถิ่นฐานถาวร - น้ำประปาและท่อน้ำทิ้ง นอกจากนี้ จำเป็นต้องสร้างป้อมปราการและป้อมปราการ เฉพาะกำแพงหินที่มีชื่อ "กำแพงเฮเดรียน" และ "กำแพงแอนโทนิน" ซึ่งปกป้องชาวโรมันจากกลุ่มคนป่าเถื่อนอังกฤษโบราณ ก้อนหินจำนวนมากถูกรวบรวมไว้ เพลาแต่ละอันมีปริมาตรประมาณลูกบาศก์ที่มีขอบยาว 100 เมตร เนื่องจากไม่มีหินในทุ่งนาและป่าไม้ พวกเขาจึงถูกลากไป "3-9 ดินแดน"

ในยุคกลางของอังกฤษ หินเกือบทั้งหมดถูกรวบรวมเพื่อสร้างปราสาทผีสิง ดังนั้นในปัจจุบันการก่อสร้างในสถานที่เหล่านั้นจึงดำเนินการเฉพาะจากคอนกรีตและไม้เท่านั้น

ในปี ค.ศ. 1714 ทางการได้สั่งให้ประชาชนรวบรวมก้อนหินและนำพวกเขาไปที่เมืองเพื่อปูถนนในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (แท้จริงแล้วหินมาจากไหนในหนองน้ำ?!) เรือที่มาถึงเมืองผ่านทะเลสาบลาโดกาขึ้นอยู่กับขนาดของพวกมัน ต้องนำหิน 10, 20 หรือ 30 ก้อน และเกวียนชาวนาแต่ละคัน - ก้อนหิน 3 ก้อนมีน้ำหนักอย่างน้อย 5 ปอนด์. หากไม่ปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกา ศิลาแต่ละก้อนจะถูกปรับเป็นจำนวนเงินหนึ่งฮรีฟเนีย ทุกคนก็เลยแบกมัน! สันนิษฐานว่าเอกอัครราชทูตสวีเดนก็เช่นกัน ทางเท้าถูกปูด้วยก้อนหินปูถนนก่อนแล้วจึงปูด้วยหินปู เมื่อเวลาผ่านไป ก้อนหินปูถนนกลายเป็นเครื่องมือของชนชั้นกรรมาชีพ และเจ้าหน้าที่ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะซ่อนก้อนหิน ดังนั้น ทางเท้าจึงถูกรีดเป็นยางมะตอยให้พ้นจากความบาป

กาลครั้งหนึ่งในปารีส มีเรือนจำป้อมปราการที่เรียกว่า Bastille ผู้คนเบื่อที่จะนั่งอย่างไร้ประโยชน์ในคุกนี้ และพวกเขาตัดสินใจว่า: "ได้เวลากระจาย Bastille แล้ว!" ผู้คนรวมตัวกันเป็นฝูง - และพวกเขาทุบหินอาคารที่เกลียดชังนี้ด้วยหินเพื่อเป็นของที่ระลึก

ทั้งหมด!

ในระนาบทางกายภาพ "รวบรวมหิน" หมายถึงการสร้างและ "กระจัดกระจาย" หมายถึงการทำลายล้าง

ในแง่สังคม การรวบรวมหินหมายถึงการรวมเป็นหนึ่ง และการกระจัดกระจายหมายถึงการแยกจากกัน

ในความหมายที่สำคัญ การกระจัดกระจาย - เพื่อทำงานและหว่าน "ความดีนิรันดร์" เพื่อรวบรวม - เพื่อเก็บเกี่ยวผลงานของตน

การบ้าน.

1. Google และเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค้นหาว่าหินก้อนไหนไม่เคยกระจัดกระจายและเพราะเหตุใด และหินที่นำโดยการสำรวจภายใต้โครงการ Apollo จากดวงจันทร์ไปที่ไหน?
2. คำนวณจำนวนหินที่ใช้สร้างกำแพงเมืองจีนและปิรามิดที่ตั้งชื่อตามสหาย Cheops

พลเมืองเหล่านั้นที่ยังจำความรุ่งโรจน์ได้ 90 -e พวกเขาสามารถบอกได้มากเกี่ยวกับโฆษณาที่ทำให้หน้าจอสีน้ำเงินท่วมท้นอย่างแท้จริง After 80 -x เมื่อไม่มีอะไรอยู่ในร้านและของทั้งหมดที่ถูกโยนทิ้งในร้านค้าก็ถูกกวาดออกจากชั้นวางอย่างรวดเร็ว
การโฆษณาเป็นกลไกของการค้าอย่างไรก็ตามใน 80 คุณไม่จำเป็นต้องโฆษณาอะไรเลย ทุกอย่างก็เรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
อีกอย่างคือ 90 พลเมืองที่ไม่คุ้นเคยกับการจลาจลของสีและรูปร่างมองด้วยปากที่เปิดกว้างที่ส่วนใหญ่เป็นโฆษณาคุณภาพต่ำและราคาถูก อย่างไรก็ตาม ในบรรดาโฆษณาดังกล่าวมีผลงานชิ้นเอก .
เมื่อกองทัพกลับมาพร้อมชัยชนะจากการจู่โจมโดยนักล่า ทหารก็เข้าใกล้เนินนี้และเริ่มเก็บหิน อย่างไรก็ตาม ก้อนหินจำนวนมากยังคงถูกแกะออก
นี่เป็นหนึ่งในการตีความวลีที่จับได้ ""

คำพูดนี้หมายความว่าคุณต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
ตัวอย่างเช่น ชาวนาต้องไถดินแล้วหว่านด้วยเมล็ดพืชที่เก็บไว้ตลอดฤดูหนาว ดูแลหูที่ยกขึ้น จากนั้นตัดข้าวสาลีแล้วส่งให้โรงสีเพื่อทำแป้งจากเมล็ดพืช
และตอนนี้คุณสามารถรวบรวมหินนั่นคืออบเค้กแสนอร่อยจากแป้งนี้

ที่มาของคำว่า "เวลาโปรยหิน และเวลาเก็บหิน"

ตามที่นักวิจัยกล่าวว่าวลีนี้ถูกเปล่งออกมาเป็นครั้งแรกในหนังสือของ Ecclesiastes นี่เป็นหนังสือพันธสัญญาเดิมเก่า ๆ นักประวัติศาสตร์มักจะคิดว่ามันถูกเขียนขึ้นประมาณศตวรรษที่สามก่อนคริสต์ศักราช
ชื่อของหนังสือเล่มนี้มาจากคำภาษาฮีบรูว่า "kohelet" ซึ่งแปลว่า "รวบรวม"

ใครเป็นคนเขียนหนังสือของปัญญาจารย์?

นักประวัติศาสตร์ดั้งเดิมถือว่าการประพันธ์หนังสือเล่มนี้เป็นของกษัตริย์โซโลมอนชาวยิว ผู้ซึ่งฉลาดมากจนจำการกระทำของเขาได้
ในหนังสือปัญญาจารย์ 12 บทที่ สำนวนที่เรากำลังพิจารณา " เวลาโปรยหิน เวลารวบรวมก้อนหิน" ถูกกล่าวถึงในบทที่สามซึ่งเรียกว่า "ถึงทุกสิ่งที่มีเวลาและสถานที่"

นอกจากคำพูดติดปากนี้ในหนังสือของปัญญาจารย์แล้ว คุณสามารถหาคำพูดที่ชาญฉลาดอีกมากมาย เช่น: "ผู้เพิ่มความรู้ จะเพิ่มความทุกข์", "และไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์ของเรา", "ผู้เพิ่มความรู้, ที่ทวีคูณ โทมนัส", "เมื่อนั้นเป็นอย่างไร เมื่อนั้นย่อมเป็นอีก" "อนิจจัง"