โรคติดเชื้อราของผิวเรียบ ICD โรคเชื้อรา

เกณฑ์การวินิจฉัย

การร้องเรียนและรำลึก:

1. การร้องเรียน - เกี่ยวกับผื่น คัน ผื่นคัน การเปลี่ยนแปลงของแผ่นเล็บ

2. ประวัติของโรค - การเกิดโรคมักเกี่ยวข้องกับการสัมผัสกับผู้ป่วย การไปอาบน้ำ ซาวน่า และการสวมรองเท้าที่ไม่มีตัวตน

การตรวจร่างกาย

1. เกลื้อน versicolor- จุดที่ไม่อักเสบจากสีเหลืองอ่อนถึงสีน้ำตาล ตั้งอยู่รอบ ๆ รูขุมขน มีแนวโน้มที่จะรวมตัวกันเป็นจุดโฟกัสที่มีโครงร่างสแกลลอปเล็ก ๆ โดยมีการลอกบนพื้นผิวปานกลาง การทดสอบ Balser เชิงบวกด้วยสารละลายไอโอดีน 5%; การตรวจหาองค์ประกอบของเชื้อราในตาชั่ง

2. Trichosporia nodosum (เปียดรา)- การปรากฏตัวของก้อนรูปไข่, รูปร่างแกนหรือผิดปกติบนพื้นผิวของเส้นผม; สีแตกต่างกันไปจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลอ่อน (สีขาว Piedra) และสีดำ (สีดำ Piedra) การตรวจหาสปอร์ของเชื้อราด้วยกล้องจุลทรรศน์

3. เท้าของนักกีฬา- การแปลโดยทั่วไปคือผิวหนังของรอยพับที่ขาหนีบและรอยพับระหว่างต่อมน้ำนมซึ่งพบได้น้อยในบริเวณซอกใบ จุดสีชมพูมนมีขอบเขตชัดเจน จุดโฟกัสของโครงร่างโพลีไซคลิกที่มีสันส่วนปลายบวมน้ำอย่างต่อเนื่องเด่นชัด ฟองอากาศ, micropustules, การกัดเซาะ, เปลือกโลก, เกล็ด; การตรวจหาไมซีเลียมสั้นที่แตกแขนงของผนังกั้นน้ำ

4. โรคติดเชื้อราที่เท้าและมือ- ผิวหนังมีเลือดคั่งมากและมีไลเคนปานกลาง hyperkeratosis, รูปแบบผิวหนังที่เพิ่มขึ้น, การลอกแป้ง; รอยโรคอาจเกี่ยวข้องกับรอยพับระหว่างดิจิทัล นิ้วมือ พื้นผิวด้านข้างของเท้าและมือ และด้านหลัง การเน่าเปื่อย, เศษของหนังกำพร้าขัดผิว; มักมีการสึกกร่อนและรอยแตกร้าว ส่วนตัว - มีอาการคันปานกลาง, แสบร้อน, ปวดบางครั้ง

5. โรคเชื้อราที่เล็บ(สามประเภท) - normotrophic: สีของเล็บเปลี่ยนไปมีจุดและแถบสีเหลืองตามความหนาของเล็บความเงางามและความหนาของเล็บไม่เปลี่ยนแปลง ประเภท Hypertrophic - เล็บมีสีน้ำตาลอมเทาหมองคล้ำหนาขึ้นและทำให้เสียรูปจนกระทั่งเกิดโรคเหงือกอักเสบและถูกทำลายบางส่วน (โดยเฉพาะที่ด้านข้าง) ประเภท onycholytic นั้นมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอมเทาของส่วนที่ได้รับผลกระทบจากเล็บการฝ่อและการปฏิเสธจากเตียงเล็บพื้นที่ที่ถูกสัมผัสถูกปกคลุมด้วยชั้นไขมันส่วนเกินที่หลวม

6.โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบ- จุดสีชมพูหรือสีชมพูแดงที่มีโทนสีน้ำเงินโค้งมนเป็นโครงร่างขอบเขตที่ชัดเจนพื้นผิวของจุดนั้นถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดเล็ก ๆ ตามแนวขอบมีสันของเลือดคั่งฉ่ำเป็นระยะ ๆ แผลขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงสแกลลอป

7.โรคติดเชื้อราของหนังศีรษะ- รอยโรคโค้งมนคั่นอย่างรุนแรง (เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2-3 ซม. ขึ้นไป) เกล็ด pityriasis ที่เกาะแน่นมีสีเทาอมขาว ผมหลุดออกในระดับเดียวกัน (เหนือผิวหนัง 3-4 มม.) "ตอ" ของเส้นผม
Trichophytosis infiltrative-suppurative (บริเวณหนังศีรษะ, เคราและหนวด): แบ่งเขตอย่างชัดเจนในซีกโลกหรือโหนดแบนที่มีสีฟ้าแดงและมีพื้นผิวเป็นหลุมเป็นบ่อ; โรคกระดูกพรุน, การกัดเซาะ, เปลือกโลก, เกล็ด; ปากของรูขุมขนขยายออกอย่างรวดเร็วซึ่งเต็มไปด้วยหนอง ผมหลวมและถอดออกได้ง่าย ต่อมน้ำเหลืองในภูมิภาคที่ขยายใหญ่และเจ็บปวด ในการวินิจฉัยไมโครสปอเรียของหนังศีรษะ จะใช้วิธีการเรืองแสง

8. Candidiasis ของผิวหนังเรียบและรอยพับ- ฟองอากาศขนาดเล็กที่มียางหย่อนยานบาง ๆ ซึ่งเปิดและก่อตัวได้ง่ายบริเวณที่ถูกกัดกร่อนมีสีแดงเข้มพร้อมโทนสีม่วงหรือของเหลว พื้นผิวเปียกมีความเงางามเป็นพิเศษ Candidiasis ของรอยพับเล็บและเล็บ: บวม, ภาวะเลือดคั่งของรอยพับ periungual; แผ่นเล็บมีสีน้ำตาล เป็นก้อน มีลายและรอยเว้า

การวิจัยในห้องปฏิบัติการ:การตรวจหาเส้นใยไมซีเลียม สปอร์ระหว่างการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ การเจริญเติบโตของโคโลนีของเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคระหว่างการตรวจทางแบคทีเรีย

หากตรวจพบการติดเชื้อราที่ชั้นบนของหนังกำพร้าผู้ป่วยอาจได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังเรียบ โรคนี้มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะด้วยภาพทางคลินิกที่เฉพาะเจาะจง ในกรณีที่ไม่มีการรักษาอย่างทันท่วงทีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคจะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์อันเป็นผลมาจากอวัยวะภายในที่ได้รับผลกระทบ

ในระบบที่เรียกว่าการจำแนกโรคระหว่างประเทศพบว่ามีโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังเรียบ โรคนี้กำหนดรหัส ICD 10 - B 35.4 พยาธิวิทยาเกิดจากเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคที่เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ระหว่างการสัมผัสกับพาหะของการติดเชื้อหรือวัตถุที่ปนเปื้อน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ใหญ่หรือเด็กจะติดเชื้อจากสัตว์

ผู้เชี่ยวชาญระบุปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบ:

1. การใช้ยาในระยะยาวที่อยู่ในกลุ่มของ cytostatics และยาปฏิชีวนะ
2. อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย (สารเคมีในอากาศ, รังสี);
3. โรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับระดับเมแทบอลิซึมและฮอร์โมน
4. โรคฟันผุ;
5. โรคของระบบทางเดินอาหาร
6. นิสัยที่ไม่พึงประสงค์
7. อาหารที่ไม่สมดุลซึ่งไม่ได้ชดเชยการขาดวิตามินและสารอื่น ๆ ในร่างกาย
8. ภูมิคุ้มกันบกพร่อง;
9. การไม่ปฏิบัติตามกฎสุขอนามัยส่วนบุคคล

หากบุคคลได้รับอิทธิพลจากปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยเหล่านี้โอกาสในการติดเชื้อเชื้อราจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า ในกรณีนี้โรคเหี่ยวของผิวหนังเรียบจะหลีกเลี่ยงได้ยากมาก โดยเฉพาะหากมีการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อหรือสัตว์

เชื้อราที่ผิวหนังมีลักษณะอย่างไร?

ไมโคเซสประเภทหนึ่ง

โรคเชื้อราซึ่งสามารถพบได้ในรายการลักษณนาม ICD 10 มักแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ละคนมีความแตกต่างกันด้วยอาการบางอย่างซึ่งผู้เชี่ยวชาญสามารถสันนิษฐานได้ว่ามีพยาธิสภาพในผู้ป่วยของตน

โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบมีอาการดังต่อไปนี้ซึ่งเป็นลักษณะของโรคบางประเภท:

• ไมโครสปอเรีย เป็นที่รู้จักจากรอยโรคกลมบนผิวหนัง โดยปกติจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2 ซม. และมีโทนสีแดง ตรงกลางแผลอาจลอกออกได้ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะค่อยๆ ผสานและแพร่กระจายไปยังบริเวณที่มีสุขภาพดีของร่างกาย
• ไตรโคไฟโตซิส มีลักษณะเป็นแผลอักเสบขนาดใหญ่ที่ปลายแขน ใบหน้า และลำคอ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีลักษณะเป็นวงรีหรือกลม มีขอบเขตชัดเจน และหลุดลอกตรงกลาง อาจมีหนองปรากฏบนหนังศีรษะซึ่งบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย
• โรคติดเชื้อราที่มือและเท้า ดูเหมือนลอกบริเวณที่ติดเชื้อ โรคนี้มาพร้อมกับรอยแดงของผิวหนัง
• เกลื้อน versicolor บริเวณที่ติดเชื้อจะปกคลุมไปด้วยจุดเล็กๆ ตอนแรกจะเป็นสีชมพู จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เมื่อเวลาผ่านไป จุดด่างดำเริ่มลอกออก
• Candidiasis ของผิวเรียบเนียน รับรู้ได้จากฟองอากาศเล็กๆ ในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อ ไม่สามารถตัดความแดงของผิวหนังออกได้ เมื่อดำเนินไป พื้นที่ที่มีปัญหาจะเริ่มลอกและเปียก แผลจะเกิดขึ้นในบริเวณเหล่านี้

อาการหลักของการติดเชื้อที่ผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ได้แก่ อาการคันและปวด

สีของจุดต่างๆ เปลี่ยนไป ซึ่งอธิบายชื่อได้

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยการติดเชื้อราที่ผิวหนังเรียบในเด็กและผู้ใหญ่ช่วยได้ซึ่งรวมถึงการทดสอบในห้องปฏิบัติการ หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อประเภทนี้ จะทำการตรวจวัฒนธรรมและกล้องจุลทรรศน์

เพื่อทำการทดสอบขั้นพื้นฐาน จำเป็นต้องนำวัสดุชีวภาพออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

หากจำเป็นผู้เชี่ยวชาญจะกำหนดให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยแยกโรคซึ่งจะช่วยแยกแยะโรคติดเชื้อราจากโรคผิวหนังอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน

การรักษา

โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบต้องได้รับการรักษาอย่างเพียงพอ เมื่อเลือกการบำบัดเพื่อกำจัดการติดเชื้อที่สามารถถ่ายทอดผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อจะต้องคำนึงถึงความแตกต่างบางประการด้วย คำนึงถึงวิธีการถ่ายทอดเชื้อราด้วย ประเด็นต่อไปนี้ก็มีความสำคัญเช่นกัน:

• ระยะเวลาของการเจ็บป่วย
• ระดับความเสียหายต่อผิวเรียบเนียน
• สถานะปัจจุบันของระบบภูมิคุ้มกัน
• ผู้ป่วยมีอาการแพ้ยาที่เสนอ
• การปรากฏตัวของโรคเรื้อรัง

จากข้อมูลที่ได้รับ แพทย์สามารถเลือกการรักษาด้วยยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยได้

ยาเสพติด

บริเวณที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการรักษาด้วยขี้ผึ้งและใช้ยาตามระบบเพิ่มเติม

ทางที่ดีควรรักษาการติดเชื้อราที่ผิวหนังเรียบเนียนด้วยยาปฏิชีวนะ โรคติดเชื้อรายังรักษาได้ด้วยยาที่เป็นระบบ สำหรับโรคนี้เป็นเรื่องปกติที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของสเปรย์ครีมและขี้ผึ้งเนื่องจากเหมาะที่สุดสำหรับการรักษาภายนอกบริเวณที่ติดเชื้อ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยาที่กำหนดนั้นมีส่วนประกอบออกฤทธิ์ที่สามารถระงับกิจกรรมและการแพร่กระจายของเชื้อราได้

สำหรับโรคติดเชื้อราของผิวหนังที่เรียบเนียนจำเป็นต้องมีการบำบัดอย่างเต็มรูปแบบ สามารถรวบรวมโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาผิวหนัง รอบการรักษาทั้งหมดจะใช้เวลาเฉลี่ยอย่างน้อย 1 เดือน ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ไม่ควรหยุดชะงักโดยไม่ได้รับความยินยอมจากแพทย์ที่เข้ารับการรักษา

เป็นเรื่องปกติที่จะใช้สิ่งต่อไปนี้เนื่องจากคลื่นความถี่ท้องถิ่นหมายถึง:

1. "โคลไตรมาโซล";
2. "ไบโฟนาโซล";
3. "เทอร์บินาฟีน";
4. "ลอเซอรีล";
5. "ไมโคนาโซล".

Clotrimazole มีประสิทธิภาพในการต่อต้านเชื้อราได้เกือบทุกประเภท

ยาทั่วร่างกายอาจมาในรูปแบบของยาเม็ดที่ช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อราจากภายใน ยายอดนิยมคือ:

1. "ฟลูโคนาโซล";
2. "อิทราโคนาโซล";
3. "เทอร์บินาโซล".

หากจำเป็นแพทย์ผิวหนังจะสั่งยาต้านฮีสตามีนให้กับผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังเรียบ:

1. "ไดอาโซลิน";
2. "ซูปราสติน";
3. "เซอร์เทค";
4. "ลอราทาดีน"

ในฐานะที่เป็นการบำบัดเสริมผู้ป่วยที่เป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนังเรียบจะได้รับวิตามินเชิงซ้อน ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีโอกาสต่อสู้กับปัญหาที่มีอยู่ได้อย่างอิสระ

วิธีการแบบดั้งเดิม

การติดเชื้อราที่ส่งผลต่อผิวเรียบเนียนสามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่แปลกใหม่หากได้รับการอนุมัติจากแพทย์ เพื่อเป็นการบำบัดเสริม หมอแผนโบราณแนะนำให้ใช้วิธีการรักษาที่ได้รับการพิสูจน์แล้วดังต่อไปนี้:

• ทิงเจอร์สน ในการเตรียมองค์ประกอบยาคุณจะต้องใช้โคนและเข็มสน 250 กรัม ต้องเติมแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ที่ไม่เจือปน 1 ลิตร ต้องใส่ทิงเจอร์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ในภาชนะแก้ว หลังจากช่วงเวลานี้ยาจะถูกกรองและเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้เป็นวิธีการรักษาภายนอกบริเวณที่ได้รับผลกระทบวันละสองครั้ง
• ส่วนผสมของเกลือและกระเทียม ในการทำเช่นนี้คุณต้องผสมพืชรสเผ็ด 2-3 ชิ้นกับส่วนผสมที่สอง 1 หยิบมือ ต้องบีบองค์ประกอบนี้ผ่านผ้ากอซหลายชั้น คุณต้องเติมเกลืออีกหยิบมือหนึ่งให้กับมวลผลลัพธ์ ขอแนะนำให้ใช้ส่วนผสมที่เตรียมไว้ภายใน 12 ชั่วโมงข้างหน้า หลังจากนั้นจะไม่เหมาะกับการรักษาเชื้อรา องค์ประกอบนี้ต้องรักษารอยโรคประมาณ 2-3 ครั้งต่อวัน

เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน คุณสามารถใช้ทิงเจอร์เอ็กไคนาเซีย โสม หรือโรเซียเรดิโอลา คุณจะต้องพิจารณาโภชนาการประจำวันของคุณด้วย ผู้ป่วยจะต้องได้รับอาหารสำหรับโรคติดเชื้อราซึ่งไม่รวมถึงการบริโภคอาหารที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรค

การป้องกัน

เพื่อป้องกันความเสียหายต่อผิวที่เรียบเนียนจากการติดเชื้อรา คุณต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์บางประการ ห้ามใช้สิ่งของของผู้อื่นโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งของด้านสุขอนามัยส่วนบุคคล การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นได้จากผ้าเช็ดตัว เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย คุณควรจำกัดตัวเองในการติดต่อกับสัตว์จรจัดซึ่งอาจเป็นพาหะของโรคต่างๆ

คุณควรใช้ความระมัดระวังเมื่อเยี่ยมชมสถานที่สาธารณะ เช่น ซาวน่า อ่างอาบน้ำ และสระว่ายน้ำ หลังจากทิ้งไว้แนะนำให้รักษามือและเท้าด้วยเจลฆ่าเชื้อ

หากคุณสงสัยว่าเป็นโรคติดเชื้อราที่ผิวหนัง คุณไม่ควรรักษาตัวเอง การกระทำที่ผิดจะทำให้กระบวนการทางพยาธิวิทยารุนแรงขึ้นเท่านั้น มีความจำเป็นต้องติดต่อผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถทันทีซึ่งสามารถระบุโรคได้อย่างถูกต้องและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราผิวหนัง โรคนี้เกิดได้กับผิวหนังเรียบทุกบริเวณ ทั้งใบหน้าและลำคอ ยกเว้นรอยพับขาหนีบ รักแร้ เท้า และฝ่ามือ โรคบางประเภทเป็นโรคติดต่อซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและการรักษาโรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบอย่างทันท่วงที

โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราผิวหนัง

Mycoses ของผิวเรียบเป็นกลุ่มของโรคผิวหนังที่เกิดจากการกระทำของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบถูกกำหนดไว้ในรหัสการจำแนกระหว่างประเทศตาม ICD-10 B35.4 ซึ่งสอดคล้องกับโรคติดเชื้อราของลำตัว โรคนี้เกิดจากเชื้อราหลายชนิด รวมถึงเชื้อรา ยีสต์ และเดอร์มาโทไฟต์ การติดเชื้อเกิดขึ้นด้วยวิธีต่อไปนี้:

• จากคนสู่คน;
• จากสัตว์ที่ติดเชื้อสู่คน
• ผ่านฝุ่นและดิน

ในบางกรณี โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบอาจเกิดจากเชื้อราที่ฉวยโอกาส โรคเชื้อราที่ผิวหนังเรียบสามารถจำแนกได้ในกลุ่มโรคนี้

ปัจจัยที่โน้มนำต่อการพัฒนาพยาธิสภาพผิวหนังนี้:

• ขาดสุขอนามัยส่วนบุคคล
• เหงื่อออกมาก;
• ความผิดปกติของการเผาผลาญและน้ำหนักส่วนเกิน
• ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
• ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อและความไม่สมดุลของฮอร์โมน
• โรคเรื้อรังบางชนิด

ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันในท้องถิ่นลดลง สภาพผิวจะถูกสร้างขึ้นซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาของเชื้อรา สถานที่พิเศษท่ามกลางสาเหตุของโรคเหี่ยวคือสุขอนามัยส่วนบุคคล การสัมผัสเหงื่อทางผิวหนังเป็นเวลานานทำให้เกิดการระคายเคือง เหงื่อทำหน้าที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์จุลินทรีย์และแบคทีเรียต่างๆ ที่ดีเยี่ยม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อราที่ผิวหนังชั้นนอกได้อย่างมาก

ดังนั้นการติดต่อกับพาหะเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอที่จะเป็นโรคเชื้อรา เนื่องจากพยาธิวิทยาไม่เพียงเกิดจากผิวหนังอักเสบเท่านั้นการพัฒนาของโรคติดเชื้อราจึงถูกสังเกตจากพื้นหลังของร่างกายที่อ่อนแอลงและการทำงานของการป้องกันของหนังกำพร้าลดลง

ประเภทของเชื้อราและอาการลักษณะเฉพาะ

Mycoses ของผิวหนังเรียบซึ่งอาการขึ้นอยู่กับเชื้อโรคควรได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคบางชนิดติดต่อได้ง่ายมาก ลักษณะทั่วไปของ mycoses ของผิวเรียบคือการทำลายเคราตินซึ่งเป็นผลมาจากการที่หนังกำพร้าบางลงเริ่มลอกและอาจมีอาการคันเกิดขึ้น

ประเภทของเชื้อรา:

• โรคผิวหนัง;
• keratomycosis;
• เชื้อรา

Dermatomycosis หรือ dermatophytosis เป็นแผลที่ผิวหนังเรียบและมีขนตามร่างกายโดยโรคผิวหนัง เชื้อราเหล่านี้แพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่าย เมื่อพยาธิสภาพส่งผลกระทบต่อผิวเรียบอาการบวมและแดงของหนังกำพร้าจะสังเกตเห็นการลอกและมีอาการคันมากเกินไป

โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบนั้นแยกแยะได้ยากจากโรคผิวหนังอื่น ๆ จากภาพถ่าย เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่แม่นยำแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

Keratomycosis เป็นกลุ่มของโรคที่มีความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีผิวเนื่องจากการทำลายเคราติน โรคที่พบบ่อยที่สุดของกลุ่มนี้คือไลเคนเวอร์ซิคัลเลอร์ซึ่งเป็นของเชื้อราที่ผิวหนังเรียบ โรคนี้มาพร้อมกับการปรากฏตัวของจุดสีน้ำตาลทุกเฉด จุดดังกล่าวโดดเด่นเหนือพื้นหลังของหนังกำพร้าที่มีสุขภาพดีโดยมีสีเท่านั้น ไม่มีอาการคันหรือบวม แต่อาจสังเกตเห็นการผอมบางและการหลุดลอกของผิวหนังในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ โรคนี้มักส่งผลต่อผิวหนังบริเวณหลัง หน้าอก หรือหน้าท้อง

เชื้อราที่ผิวหนังเรียบเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรายีสต์ในสกุล Candida ลักษณะอาการ : จุดแดงและแถบคล้ายผื่นผ้าอ้อม ผิวหนังบวม คันรุนแรง ผิวหนังลอกบริเวณจุดนั้น

โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบในเด็ก

อาการลักษณะคือการก่อตัวของจุดที่มีรูปร่างต่าง ๆ และการลอกของผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ

โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบในเด็กเป็นโรคที่พบบ่อยในทารกและเด็กอายุมากกว่าสามปี ในเด็กทารก โรคนี้สัมพันธ์กับความไม่สมบูรณ์ของระบบภูมิคุ้มกันของตนเอง เชื้อราส่งผลต่อผิวหนังตามร่างกาย ใบหน้า บั้นท้ายและขา สาเหตุคือการติดเชื้อเชื้อรายีสต์ Candida จากแม่ระหว่างคลอดบุตร บ่อยครั้งที่ผิวหนังที่เรียบเนียนของเชื้อราในทารกเกิดขึ้นเนื่องจากการระคายเคืองของหนังกำพร้ารวมถึงพื้นหลังของการสัมผัสหรือโรคผิวหนังจากผ้าอ้อม

เด็กอายุมากกว่า 3 ปีเริ่มสำรวจโลกอย่างกระตือรือร้น นี่คือยุคแห่งการสื่อสารกับสัตว์จรจัดและเด็กคนอื่นๆ โรคติดเชื้อราที่ผิวหนังเรียบเนียนไม่ใช่เรื่องแปลกในกลุ่มอายุนี้ เด็กส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคผิวหนังตามผิวหนังใบหน้าหรือมือ เป็นโรคติดต่อที่ติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คน Dermatophytosis ไม่เพียงส่งผลต่อผิวหนังที่เรียบเนียนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อบริเวณที่มีขนตามร่างกายด้วย โรคนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของหนังกำพร้าในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ผมร่วง และมีลักษณะเป็นผื่น อาการลักษณะคือการก่อตัวของจุดที่มีรูปร่างสม่ำเสมอมีอาการคันอย่างรุนแรงและการลอกของผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ

การวินิจฉัยโรค

สำหรับโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังเรียบ การรักษาขึ้นอยู่กับความถูกต้องของการวินิจฉัย เนื่องจาก mycoses เป็นกลุ่มของโรคขนาดใหญ่ที่มีอาการแตกต่างกันจึงจำเป็นต้องทำการวินิจฉัยแยกโรค ยกเว้นโรคผิวหนังที่ไม่ติดเชื้อ เช่น ผิวหนังอักเสบ กลาก โรคสะเก็ดเงิน

ขั้นตอนการตรวจผู้ป่วย:

• การซักประวัติและการตรวจสายตา
• การขูดเพื่อการวิเคราะห์
• การตรวจเลือดทั่วไปและทางชีวเคมี

ในการดำเนินการวิเคราะห์ เครื่องชั่งจะถูกนำออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จากนั้นจึงตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ การศึกษานี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีและช่วยให้คุณวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำอย่างรวดเร็ว

หลักการรักษา

อาการและสัญญาณของโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังเรียบนั้นค่อนข้างเฉพาะเจาะจงดังนั้นคุณควรปรึกษาแพทย์ทันทีที่มีอาการแรกเกิดขึ้น

Mycoses เองไม่เป็นอันตราย แต่ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเท่านั้น เชื้อราที่ถูกละเลยสามารถนำไปสู่การพัฒนาของโรคติดเชื้อราที่เป็นระบบซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยรวมรวมถึงอวัยวะภายในด้วย

การรักษาโรคติดเชื้อราที่ผิวหนัง ได้แก่ :

• การใช้โลชั่นเพื่อบรรเทาอาการคันและไม่สบาย
• การใช้ครีมและขี้ผึ้งป้องกันเชื้อรา
• การบำบัดอย่างเป็นระบบ (ในกรณีขั้นสูง);
• การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน (ถ้าจำเป็น);
• ปรับอาหาร (เพื่อเร่งการฟื้นตัว)

การติดเชื้อราที่ผิวหนังเรียบสามารถรักษาได้ง่ายด้วยวิธีภายนอก ด้วยการรักษาอย่างทันท่วงทีคุณสามารถกำจัดโรคติดเชื้อราได้ภายในเวลาเฉลี่ยสองสัปดาห์

การเตรียมการภายนอก

สำหรับโรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบในผู้ใหญ่และเด็กให้ใช้ยา

การเตรียมการในท้องถิ่น ได้แก่ เจลครีมและขี้ผึ้งสำหรับเชื้อราหลากหลายชนิด พวกเขาได้รับการคัดเลือกโดยคำนึงถึงสาเหตุของโรค สำหรับ dermatophytosis และ keratomycosis ของผิวหนังเรียบจะใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อราในวงกว้าง:

• ลามิซิล;
• เอ็กโซเดอริล;
• นาฟติฟิน;
• เทอร์บินาฟีน;
• กรีซีโอฟูลวิน.

ยาเหล่านี้จะนำไปใช้กับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากถึงวันละสองครั้ง นอกจากนี้แพทย์อาจสั่งยาฆ่าเชื้อด้วย ตัวอย่างเช่นสำหรับโรคผิวหนังอักเสบบนผิวหนังมักใช้สารละลายไอโอดีนซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและป้องกันการแพร่กระจายของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคไปยังบริเวณที่มีสุขภาพดีของหนังกำพร้า

เมื่อติดเชื้อรายีสต์ให้ใช้ยาต่อไปนี้:

• โคลไตรมาโซล;
• แคนดิด;
• พิมาฟูซิน;
• ไนโซรอล;
• คีโตโคนาโซล;
• นิสตาติน.

ยาเหล่านี้ยังมีประสิทธิภาพในการต่อต้านเชื้อมัยโคเซสจำนวนหนึ่ง แต่มีฤทธิ์ต้านเชื้อราในสกุล Candida ได้มากที่สุด

โดยเฉลี่ยแล้ว การรักษาด้วยขี้ผึ้งและครีมตามที่ระบุไว้จะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ การรักษาหนังกำพร้าควรดำเนินต่อไปเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังจากอาการของโรคหายไปเพื่อหลีกเลี่ยงการพัฒนาของโรคติดเชื้อราอีกครั้ง

โรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบในเด็กอายุมากกว่า 6 ปีได้รับการรักษาด้วยยาชนิดเดียวกัน ไม่แนะนำให้ใช้ยารักษาและการรักษาทางเลือกสำหรับทารกโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์

ยาที่เป็นระบบ

กำหนดยาเม็ดต้านเชื้อราหรือยาต้านเชื้อราที่เป็นระบบในกรณีต่อไปนี้:

• พื้นที่ได้รับผลกระทบขนาดใหญ่
• การพัฒนาเชื้อราอีกครั้ง
• โรคติดเชื้อราที่เป็นระบบลึก
• ภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง

เม็ดเชื้อรา: Fluconazole, Nystatin, Griseofulvin ระยะเวลาของการรักษาและปริมาณจะถูกเลือกเป็นรายบุคคลสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

การเยียวยาพื้นบ้าน

สูตรยาแผนโบราณเป็นวิธีการรักษาที่ขาดไม่ได้ในการรักษาโรคติดเชื้อรา

การรักษาสามารถเสริมด้วยการเยียวยาพื้นบ้าน สำหรับการดูแลรักษาเครื่องหนัง มีการใช้สิ่งต่อไปนี้:

• น้ำมันต้นชากับน้ำ (น้ำมัน 3 หยดต่อน้ำ 100 มล.)
• สารละลายเบกกิ้งโซดา (เบกกิ้งโซดา 1 ส่วนต่อน้ำ 1 ส่วน)
• ยาต้มราก Calamus (ราก 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนึ่งแก้ว)
• สารละลายไอโอดีนและโซดา (ไอโอดีนและโซดา 1 ส่วนต่อน้ำ 3 ส่วน)
• น้ำมะนาว.

โลชั่นและลูกประคบทำมาจากสารละลายเหล่านี้ ผลิตภัณฑ์ข้างต้นควรใช้เป็นเวลาสามสัปดาห์

นอกเหนือจากยาและการบำบัดพื้นบ้านแล้ว โภชนาการที่เหมาะสมยังเป็นสิ่งจำเป็น การรับประทานอาหารที่ต่อต้านเชื้อราและอาหารสำหรับโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังเรียบนั้นขึ้นอยู่กับการยกเว้นอาหารที่มีรสหวานไขมันและรสเผ็ด

การป้องกัน

เมื่อทราบว่าโรคติดเชื้อราของผิวหนังเรียบสามารถแพร่เชื้อได้อย่างไรคุณควรตรวจสอบสุขภาพของคุณเองอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันการพัฒนาของโรค กฎพื้นฐานของการป้องกัน:

• สุขอนามัยส่วนบุคคล
• สัมผัสกับสัตว์จรจัดน้อยที่สุด
• เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
• โภชนาการที่เหมาะสม

เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีต้องได้รับการอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับสุขอนามัยส่วนบุคคลโดยเฉพาะ และต้องไม่อนุญาตให้เด็กสัมผัสกับสัตว์ข้างถนน

หลักการสมัยใหม่ของการรักษาโรคผิวหนังควรมุ่งเป้าไปที่การกำจัดปัจจัยเชิงสาเหตุอย่างรวดเร็ว - เชื้อราที่ทำให้เกิดโรคจากบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากผิวหนังและเล็บรวมทั้งถ้าเป็นไปได้ให้กำจัดปัจจัยจูงใจ (การขับเหงื่อมากเกินไปการบาดเจ็บร่วมกัน โรค) ปัจจุบันมีวิธีการรักษาและวิธีการรักษาโรคเชื้อรามากมาย อย่างไรก็ตาม การบำบัดแบบ etiotropic เป็นวิธีเดียวที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคติดเชื้อรา สามารถทำได้ภายนอกเมื่อใช้ยาต้านเชื้อรากับบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากผิวหนังหรือแผ่นเล็บรวมทั้งเป็นระบบเมื่อกำหนดให้ยาทางปาก
การบำบัดแบบเป็นระบบถูกกำหนดไว้สำหรับความเสียหายต่อเล็บ ผม และบริเวณผิวหนังขนาดใหญ่ในสภาวะที่ใกล้เคียงกับเม็ดเลือดแดงบางส่วนหรือทั้งหมด การบำบัดแบบเป็นระบบช่วยให้มั่นใจได้ถึงการแทรกซึมและการสะสมของยาต้านเชื้อราในสารที่มีเขาผ่านทางเลือด ยาที่เป็นระบบจะสะสมในบริเวณที่มีการติดเชื้อราในระดับความเข้มข้นที่เกินกว่าความเข้มข้นขั้นต่ำในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และสามารถคงอยู่ที่นั่นได้หลังจากสิ้นสุดการให้ยา ในทางการแพทย์สมัยใหม่มีการใช้ยาต่อไปนี้อย่างกว้างขวาง: griseofulvin - ส่วนใหญ่ในการปฏิบัติในเด็กปลอดภัยที่สุด; เทอร์บินาฟีน (ลามิซิล); คีโตโคนาโซล (ไนโซรอล); ไอทราโคนาโซล (orungal) การเลือกใช้ยาจะขึ้นอยู่กับประเภทของการติดเชื้อราเป็นหลัก (หากไม่ได้ระบุชนิดของเชื้อโรคให้กำหนดยาในวงกว้าง) เกณฑ์สำคัญคือตำแหน่ง ความชุก และความรุนแรงของโรค การใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเป็นระบบมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดพิษและผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาในระยะยาวเป็นเวลาหลายเดือน เกณฑ์การคัดเลือกที่สำคัญมากคือความปลอดภัยของการรักษา กล่าวคือ การลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและผลข้างเคียงให้เหลือน้อยที่สุด ดังนั้นจึงไม่ได้ระบุการบำบัดอย่างเป็นระบบสำหรับมารดาที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตรตลอดจนผู้ที่เป็นโรคตับและไตร่วมด้วยอาการแพ้ยา
การรักษาในท้องถิ่นเป็นส่วนสำคัญของการรักษาโรคเชื้อรา การเตรียมยาต้านเชื้อราภายนอกประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูงมากต่อเชื้อโรคของมัยโคสซึ่งถูกสร้างขึ้นบนพื้นผิวของรอยโรคซึ่งเป็นที่ตั้งของเชื้อราที่มีชีวิตมากที่สุด ด้วยการรักษาในท้องถิ่นจะไม่ค่อยสังเกตเห็นการพัฒนาของอาการไม่พึงประสงค์แม้ว่าจะมีการใช้ยาต้านเชื้อราในระยะยาวก็ตาม ใบสั่งยาของการบำบัดภายนอกไม่ได้จำกัดอยู่ที่พยาธิสภาพทางร่างกายร่วม อายุของผู้ป่วย หรือการพัฒนาปฏิสัมพันธ์ที่เป็นไปได้เมื่อใช้ยาอื่นพร้อมกัน ในกรณีส่วนใหญ่ยาต้านเชื้อราในท้องถิ่นมีฤทธิ์ต้านเชื้อราไม่เพียง แต่ฤทธิ์ต้านจุลชีพและต้านการอักเสบซึ่งมีความสำคัญมากเนื่องจากแบคทีเรียมักจะมาพร้อมกับเชื้อราและทำให้กระบวนการของโรคติดเชื้อรามีความซับซ้อนมาก ปัจจุบันผู้ปฏิบัติงานมียาต้านเชื้อราเฉพาะที่ให้เลือกมากมายทั้งในรูปแบบของสารละลาย ครีม ขี้ผึ้งและผง ยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือยาอย่างเป็นทางการซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในรูปแบบของครีมและสารละลาย: clotrimazole, ketoconazole, terbinafine, bifonazole, oxyconazole, miconazole, econazole (Ecodax) ยาที่ระบุไว้เกือบทั้งหมดมีฤทธิ์สูงต่อเชื้อไมโคสส่วนใหญ่และความเข้มข้นของสารต้านเชื้อราที่สร้างขึ้นบนพื้นผิวของรอยโรคก็เพียงพอที่จะระงับกิจกรรมที่สำคัญของเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการรักษาควรดำเนินการเป็นเวลานานพอสมควร (เป็นเวลา 3-4 สัปดาห์) ในระบบการปกครอง 2 ครั้งต่อวัน เกณฑ์การคัดเลือกที่สำคัญคือต้นทุนและด้วยเหตุนี้ความพร้อมของยาสำหรับผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง econazole (Ecodax) มีฤทธิ์ต้านเชื้อราในวงกว้าง มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาโรคผิวหนังและราคาไม่แพง จากการศึกษาของ E. A. Batkaev และ I. M. Korsunskaya จากภาควิชาโรคผิวหนังของ Russian Medical Academy of Postgraduate Education ในผู้ป่วย 22 รายที่มีเชื้อราที่เท้าและผิวหนังเรียบเนียน การใช้ครีม Ecodax 1% เป็นเวลาสามสัปดาห์นำไปสู่ทางคลินิก และการรักษาตามสาเหตุในผู้ป่วยทุกราย ผู้ป่วยเพียงรายเดียวในกลุ่มนี้มีอาการคันและภาวะเลือดคั่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงเริ่มต้นของการรักษา ซึ่งอาการจะค่อยๆ หายไปเองระหว่างการรักษา การใช้ครีม Ecodax 1% ในเด็ก 11 รายที่มี microsporia ผิวเรียบ (8 ในนั้นมีรอยโรคบนหนังศีรษะ) ซึ่งได้รับ griseofulvin ในปริมาณเฉพาะอายุควบคู่ไปกับการรักษาในท้องถิ่นหลังจากการรักษาสามสัปดาห์ เป็นไปได้ที่จะ บรรลุการรักษาทางคลินิกและเชื้อราในผู้ป่วยทุกราย ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ใดๆ ทั้งสิ้น